ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ปัญหาสำหรับคนจัดฟัน ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือหรือการกินอาหารแล้วเศษอาหารชอบติดตามซอกเหล็ก แต่อีกหนึ่งเรื่องคือปัญหาฟันล้ม จัดฟันมาแล้วฟันล้ม แต่รู้หรือไม่คะว่าปัญหาฟันล้มไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนจัดฟันอย่างเดียว แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับคนทั่วไปได้อีกด้วย เราจะมาดูกันค่ะว่าฟันล้มที่ว่าเป็นอย่างไร สาเหตุ และวิธีป้องกันจะมีอะไรบ้าง

ฟันล้มเป็นอย่างไร

ฟันล้ม เป็นการเคลื่อนที่ของฟันที่ล้มหรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อหาความสมดุลหรือเพื่อยึดเกาะฟันซี่ที่อยู่ข้างเคียงหรือที่เราเรียกกันว่าฟันเกนั่นเอง มักจะพบได้ในฟันซี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ฟันที่ถูกถอนออกไปจนเกิดช่องว่างระหว่างฟัน  แล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอมทดแทน หรือหลังจัดฟันแล้ว ไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันเอาไว้

เราต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าโดยปกติแล้วฟันของคนเราจะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัญหาช่องปากของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

สาเหตุที่ทำให้เกิดฟันล้ม

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าฟันล้มไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในคนที่จัดฟันเท่านั้น แต่ในคนทั่ว ๆ ไปก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งจะมีสาเหตุดังนี้

  1. ถอนฟันออกไปแล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอม
  2. จัดฟันเสร็จแล้วแต่ไม่ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟัน
  3. อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  4. มีความผิดปกติของขากรรไกร ซึ่งอาจจะเป็นตั้งแต่กำเนิดหรือเพิ่งมาเป็น

การแก้ไขภาวะฟันล้ม

ในเมื่อเรามีภาวะฟันล้มไปแล้ว การป้องกันอาจจะสายเกินไป เราควรมาดูวิธีแก้ปัญหาฟันล้มกันค่ะ ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • ใส่ฟันปลอม เป็นการรักษาภาวะฟันล้มได้เป็นอย่างดี เพราะการใส่ฟันปลอมถือว่าเป็นการปิด

ช่องว่างระหว่างฟันเพื่อป้องกันการล้มเอียงของฟันได้ ซึ่งฟันปลอมจะมีทั้งแบบฟันปลอมถาวรและแบบชั่วคราว ฉะนั้นแล้วเราควรเลือกใส่ฟันปลอมที่เหมาะกับเราเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยฟันปลอมทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการยอมรับ ก็คือการทำรากฟันเทียม

  • จัดฟัน อย่าลืมว่าฟันล้มก็คือฟันเก ดังนั้นการจัดฟันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ค่ะ เพราะการจัดฟัน

เป็นการใช้เหล็กหรือลวดดึงฟันให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือตำแหน่งเดิม ซึ่งการจัดฟันก็มีหลายรูปแบบ และมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป

วิธีป้องกันฟันล้ม

การเกิดภาวะฟันล้มไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน หากเกิดขึ้นแล้วต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่ทั้งนี้เราสามารถป้องกันฟันล้มได้ด้วยค่ะ ซึ่งมีวิธีดังนี้

  • ใส่รีเทนเนอร์ ในคนที่จัดฟันเสร็จแล้ว ไม่ควรละเลยการใส่รีเทนเนอร์ เพราะหลังจากที่เราถอดเครื่องมือ

จัดฟันแล้ว ฟันของเราก็เสี่ยงที่ล้มเอียงได้ ดังนั้นเราจึงต้องใส่เครื่องมือกันฟันล้มเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดฟันใหม่อีกรอบ จะกลายเป็นเรื่องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

  • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดฟันและสุขอนามัยภายในช่องปาก เพราะการดูแลความสะอาดถือเป็น

ขั้นตอนแรกที่สำคัญ สามรถตัดปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ฟันผุจนต้องถอนฟันและนำมาซึ่งปัญหาฟันล้มเอียงได้

  • ควรไปพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันและช่องปาก หากพบความผิดปกติจะได้

สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที

เมื่อรู้อย่างนี้ การไม่ปล่อยให้ฟันล้มน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ อย่าลืมหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของฟัน หมั่นใส่รีเทนเนอร์เป็นประจำ เพื่อคงสภาพฟันเอาไว้ เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครที่อยากจะจัดฟันซ้ำไปมาอย่างแน่นอน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#จัดฟัน #ดัดฟัน #ฟันล้ม

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

ข้อเท็จจริง เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

เดี๋ยวนี้ไม่ว่ามองไปทางไหน เราก็มักจะเจอกับยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ก็ดูจะเป็นเรื่องง่ายดีนะคะ ที่ฟันของเราจะได้รับการเคลือบฟลูออไรด์ แค่เพียงแปรงฟันเท่านั้นเอง หรือฟลูออไรด์ในรูปแบบเจลที่เรามักเห็นในคลินิกทำฟันนั่นล่ะ เราสามารถซื้อมาเพื่อเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือเปล่า?

เพราะฟลูออไรด์เป็นสิ่งสำคัญต่อฟันของเรา เป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวฟันของเราไม่ให้ถูกทำลายโดยคราบแบคทีเรียจากการทานอาหารต่าง ๆ เข้าไป และเราอาจจะแปรงฟันไม่สะอาด ทำให้เกิดแบคทีเรียตกค้าง สะสมอยู่บนผิวฟันจนเกิดเป็นฟันผุได้อย่างง่าย ๆ

ฟลูออไรด์มีกี่ประเภท

โดยทั่วไปตามคลินิกทันตกรรมจะพบฟลูออไรด์อยู่ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่

  1. ฟลูออไรด์ชนิดรับประทาน : เราสามารถพบได้ในน้ำดื่ม หรือน้ำปะปา ในต่างประเทศมักจะมีการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำดื่ม อีกทั้ง เรายังพบฟลูออไรด์ชนิดรับประทานได้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ฟลูออไรด์ชนิดเม็ด, ฟลูออไรด์ชนิดน้ำ
  2. ฟลูออไรด์ชนิดเฉพาะที่ : เราจะสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ชนิด คือ
  3. ฟลูออไรด์เจล : นิยมใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับการเคลือบฟลูออไรด์ทุก ๆ 6 เดือน ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุได้ง่าย ทันตแพทย์จะพิจารณาให้เคลือบถี่ขึ้น
  4. ฟลูออไรด์ที่ผสมในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก : จะมีค่าฟลูออไรด์อยู่ที่ 1,000-1,500 PPM หรือส่วนในล้านส่วน โดยในยาสีฟันเด็กจะต้องมีค่าตัวนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 PPM

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

สำหรับคำถามนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันมากเลยค่ะ ซึ่งคำตอบคือ ขึ้นอยู่กับประเภทของฟลูออไรด์ที่ใช้ หากเป็นฟลูออไรด์เจล จะต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ทำให้ แต่หากเป็นฟลูออไรด์ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก รวมถึง ฟลูออไรด์อีกประเภทที่เราเรียกว่า ฟลูออไรด์วานิช (fluoride varnish) ซึ่งเหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี และผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดฟันผุสูง โดยฟลูออไรด์ตัวนี้สามารถป้องกันฟันผุในฟันแท้ได้ 46% และในฟันน้ำนม 33% ซึ่งเราสามารถทำได้เองง่าย ๆ เลยค่ะ

จะทำอย่างไรให้ฟลูออไรด์อยู่ในปากได้นานๆ

ภายหลังจากการเคลือบฟลูออไรด์หรือแปรงฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ งดการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารหลังจากการเคลือบอย่างน้อย 30 นาที เนื่องจากหากเราดื่มหรือรับประทานอาหารทันที ฟลูออไรด์ก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเราสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการแปรงแห้ง ดังนี้

  1. บ้วนน้ำสะอาดก่อนแปรง เพื่อเอาคราบอาหารชิ้นใหญ่ ๆ ออกไปก่อน
  2. บีบยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ โดยแปรงสีฟันไม่ต้องผ่านน้ำ และแปรงได้เลย
  3. ควรแปรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2 นาที แปรงแบบขยับปัดทุกด้าน และอย่าลืมแปรงลิ้นด้วยนะคะ
  4. ถุยฟองออกมาให้มากที่สุด หรือบ้วนน้ำเพียง 1 ครั้งหลังการแปรงฟัน
  5. ไม่ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหลังจากแปรงฟันในทันที นั่นทำให้การแปรงฟันของเราไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

หลังจากขูดหินปูน เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ต่อได้หรือไม่

การเคลือบฟลูออไรด์หลังการขูดหินปูน จะช่วยป้องกันการเกิดอาการเสียวฟัน แต่ทั้งนี้การเคลือบฟลูออไรด์จะมีในส่วนของค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้นการจะเคลือบหรือการแปรงฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เห็นผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

เราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับประเภทของฟลูออไรด์และความเหมาะสมในการใช้เป็นสำคัญ ทั้งนี้เราสามารถป้องกันฟันผุได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการแปรงฟันให้สะอาดสม่ำเสมอด้วยวิธีการแปรงแห้งนั่นเอง ฟลูออไรด์เป็นเพียงตัวช่วยให้มากขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #เคลือบฟลูออไรด์ #เคลือบฟันเอง

จัดฟัน invisalign คืออะไร

จัดฟัน invisalign คืออะไร

จัดฟัน invisalign คืออะไร

เดี๋ยวนี้ฟันไม่สวยก็ไม่น่ากังวลเพราะเราสามารถจัดฟันได้ แต่หลายครั้งการจัดฟันแบบโลหะที่ต้องติดเครื่องมือไว้กับฟัน ก็กลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของใครหลายคน ที่อาจจะต้องใช้หน้าตา หรือกับบางคนที่รู้สึกว่าดูแลยาก ทำความสะอาดแต่ละทีก็แสนจะยากเย็น และหากดูแลไม่ดีพอ ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาอีกด้วย ดังนั้นจึงมีนวัตกรรมที่มาตอบโจทย์ปัญหานี้โดยเฉพาะ ที่เราเรียกว่า “Invisalign” จัดฟันเหมือนไม่ได้จัด จะเป็นอย่างไร ไปทำความรู้จักพร้อมกันค่ะ

จัดฟัน Invisalign คืออะไร

จัดฟันแบบใส (Invisalign) เป็นการจัดฟันที่สามารถถอดได้ โดยผู้ทำสามารถทราบผลล่วงหน้าด้วยระบบการรักษา 3 มิติ เทคโนโลยี 3-D ที่ส่งข้อมูลฟันคนไข้ไปยังห้องปฏิบัติการที่ประเทศสหรัฐเพื่อทำการผลิตรูปแบบฟันออกมาเป็นแบบรายบุคคลทำให้การจัดฟันมีประสิทธิภาพสูง

การจัดฟัน invisalign ดีกว่าการจัดฟันรูปแบบอื่นอย่างไร

  • ด้วยเครื่องมือแบบใส ทำให้ดูสวยงามกว่าการจัดฟันแบบธรรมดา ซึ่งเหมาะมากสำหรับใครที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าไปจัดฟันมา
  • มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ฟันเรียงตัวสวย
  • ลดการเกิดแผลและการระคายเคืองภายในช่องปากจากเครื่องมือที่จะมาเกี่ยว
  • สามารถถอดออกได้ และทำความสะอาดฟันได้สะดวกมากขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาการสบฟันได้หลายประเภท
  • แก้ปัญหาฟันเก ฟันห่าง ตั้งแต่ความผิดปกติน้อย ๆ ไปยังความผิดปกติที่รุนแรง
  • ไม่ต้องเสียเวลาไปพบทันตแพทย์บ่อย ๆ

ประเภทของการจัดฟัน Invisalign

สำหรับการจัดฟัน Invisalign เราสามารถแยกประเภทย่อย ๆ ออกมาได้อีก 3 ประเภท ดังนี้

1. Invisalign Express การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันเพียงเล็กน้อย หรือผู้ที่มีการคืนกลับของฟันภายหลังจากการจัดฟัน เนื่องจากไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์

2. Invisalign Lite การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน เหมาะกับผู้ที่มีฟันห่าง ฟันซ้อนเก ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น

3. Invisalign Full การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี สำหรับผู้ที่มีฟันซ้อนเก หรือความซับซ้อนค่อนข้างมาก อาจเป็นผู้ที่เคยจัดฟันมาก่อน

อายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะที่จะจัดฟัน Invisalign

การจัดฟันแบบใสสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ฟันแท้เริ่มขึ้นจนครับ และขากรรไกรเริ่มมีการเจริญเติบโต ทำให้การขยายหรือลดรูปร่างขากรรไกรเป็นไปได้ง่าย หรือจะรอให้มีการเจริญเติบโตเต็มที่ ช่วงอายุ 18 ปี ก็ได้เช่นกัน

ขั้นตอนในการจัดฟันแบบใส

1. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก พร้อมถ่ายภาพใบหน้า เอกซเรย์ พิมพ์ฟัน และทันตแพทย์จะวางแผนรักษาร่วมกับคนไข้

2. ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3D เพื่อสร้างชุดเครื่องมือจัดฟัน ที่ความใส และบาง พอดีกับฟันแต่ละซี่ ซึ่งเราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งก่อนและหลังการจัดฟันได้

3. จัดส่งทำเครื่องมือจัดฟันแบบใส พร้อมนัดคนไข้เข้ามาเพื่อเตรียมช่องปากและรับเครื่องมือจัดฟัน

4. คนไข้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบการใส่เครื่องมือจัดฟันแบบใสตามตารางที่ทันตแพทย์กำหนด

5. เมื่อจัดฟันแบบใสเสร็จแล้ว ควรใส่รีเทรนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันเหมือนการจัดฟันประเภทอื่น ๆ

การจัดฟัน Invisalign ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่ต้องการความสวยงามและดูแลง่าย รวมถึงมีกำลังมากพอจะจ่าย เพราะปลายทางของการจัดฟันก็ให้ผลที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือการมีฟันที่เรียงตัวสวย และลดปัญหาต่าง ๆ ที่เคยมีลงไปได้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญการดูแลฟันให้ดีก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าคุณจะจัดฟันแบบไหนมาก็ตาม เพียงแค่แปรงฟันอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยดูแลฟันของเราได้แล้วค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน

จัดฟันราคานักเรียนมีอยู่จริง

สวยได้ไม่ต้องจ่ายแพง จัดฟันราคานักเรียนมีอยู่จริง

สวยได้ไม่ต้องจ่ายแพง จัดฟันราคานักเรียนมีอยู่จริง

อยากสวย อยากหล่อ แต่ไม่อยากจ่ายแพง มันมีอยู่จริงไหม? นี่คงจะเป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ โดยเฉพาะน้อง ๆ วัยเรียน นักเรียน นักศึกษา เป็นช่วงวัยที่สนใจเรื่องความสวยความงามมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ แต่ติดปัญหาที่น้อง ๆ ยังไม่มีรายได้ของตัวเอง บวกกับค่าใช่จ่ายในการจัดฟันเดี๋ยวก็สูงเอาเรื่อง 3-4 หมื่น มันจะมีไหมที่ราคาหมื่นต้นๆ หรือจัดฟันราคานักเรียน เรามาดูกันค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้ราคาจัดฟันแพง

เคยสงสัยกันไหมคะ ว่าเพราะอะไรราคาค่าจัดฟันถึงแพง จนหลายคนกลัวที่จะจ่ายเงินหลักหลายหมื่นไปกับการจัดฟัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาแพงมีดังนี้

  1. สถานที่ให้บริการ

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานที่ให้บริการมีผลต่อเรทราคาอย่างแน่นอน กล่าวคือ ในโรงพยาบาลรัฐราคาก็จะถูกกว่า อยู่ในช่วงราคาประมาณ 10,000 – 20,000 บาท แต่ราคาที่ถูกกว่าก็จะแลกมาด้วยระยะเวลาในการรอคอยค่ะ เพราะคิวโรงพยาบาลรัฐยาวและรอนานมาก ซึ่งโรงเรียนแพทย์ส่วนใหญ่มักจะให้นักศึกษาทันตแพทย์เป็นผู้ให้บริการ ส่วนคลินิกเอกชนทั่วไป ค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็แลกมาด้วยคิวที่ได้เร็ว โดยค่าใช้จ่ายจะเริ่มต้นที่ 40,000 – 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุและรูปแบบของการจัดฟัน

  • วัสดุที่ใช้ในการจัดฟัน

อย่างที่เราได้พูดถึงคร่าว ๆ คือ การจัดฟันมีหลายรูปแบบ วัสดุที่แตกต่างกันย่อมส่งผลต่อราคาในการจัดฟันอย่างแน่นอน หากจะเอาเรทที่ถูกสุด ก็จะเป็นการจัดฟันแบบโลหะ หรือที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป ที่จะมีโลหะเครื่องมือติดอยู่กับผิวฟันแบบไม่สามารถถอดออกเองได้

  • ราคาการเคลียร์ช่องปาก

แต่ละคนจะมีเงื่อนไขและข้อจำกัดของสภาพปัญหาช่องปากที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก่อนจะเริ่มจัดฟัน จะต้องมีการเคลียร์ช่องปากเพื่อแก้ปัญหาภายในช่องปาก หากใครพบปัญหาเยอะ ก็จะต้องเสียเงินในส่วนนี้ที่เยอะกว่า หลายคนสงสัยว่าไม่เคลียร์ได้ไหมช่องปาก ต้องบอกเลยว่าไม่ควรค่ะ เพราะเมื่อเราเริ่มจัดฟัน ติดเครื่องมือ การทำความสะอาดฟันจะเป็นไปได้ยากมาก หากใครมีปัญหาช่องปากอยู่แล้ว การไม่เคลียร์จะเท่ากับไปเพิ่มภาระให้กับฟันของเรา และอาจจะทำให้ผลลัพธ์แย่ลง รวมถึงอาการภายในช่องปากเป็นมากขึ้นได้ด้วยค่ะ

  • การจ่ายเงินค่าจัดฟัน

สถานบริการ โรงพยาบาล คลินิก จะมีรูปแบบการจ่ายเงินค่าจัดฟันที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางที่จะมีให้แบ่งจ่าย อาจจะแบ่งจ่ายตั้งแต่ครั้งแรก และผ่อนรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน จนครบยอดชำระ แต่บางที่ก็จะให้มัดจำก่อนครึ่งหนึ่ง บางที่จะให้จ่ายเป็นเงินก้อนเลยทีเดียว แน่นอนว่าหากใครอยากได้ราคานักเรียน แนะนำให้เลือกแบบแบ่งจ่ายดีกว่าค่ะ ซึ่งเรทช่วงราคาในการผ่อนจ่ายจะเริ่มต้นที่เดือนละ 1,000 – 2,000 บาท

  • คุณภาพของวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือ

อย่างที่เราทราบกันดีว่า วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นั่นแปลว่าต้นทุนของสถานบริการย่อมสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนของเอกชนอย่างคลินิกทันตกรรมต่าง ๆ ที่ทางทันแพทย์จะต้องจ่ายเงินลงทุนซื้อมาเอง ราคาแลกมาด้วยคุณภาพและความปลอดภัย เพราะอย่าลืมว่าวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือนั้นจะต้องนำมาใช้ภายในช่องปาก จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด

ดังนั้นหากน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษาที่สนใจอยากจะจัดฟัน แต่ไม่อยากรบกวนผู้ปกครองมากเกินไป แนะนำให้เลือกทำที่โรงพยาบาลรัฐ การจัดฟันแบบโลหะ และแบ่งจ่าย ก็จะช่วยประหยัดเงินได้อีกมากเลยค่ะ ที่สำคัญอย่าลืมที่จะดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเองให้มาก ๆ เพื่อลดภาระการเคลียร์และดูแลช่องปากในภายหลัง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน #จัดฟันนักเรียน

เคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม

หาคำตอบ การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม?

หาคำตอบ การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม?

เราอาจจะเคยได้ยิน ยาสีฟันต้องมีฟลูออไรด์ แล้วนอกจากฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ฟลูออไรด์แบบอื่น ๆ จำเป็นต้องเคลือบไหม? มีใครสงสัยเหมือนกันบ้างหรือเปล่าคะ ว่าตัวช่วยป้องกันฟันผุของเรามีแค่การแปรงฟันอย่างเดียวจริงหรือ เราจะไปหาคำตอบด้วยกันค่ะ

ฟลูออไรด์คืออะไร

ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการศึกษาวิจัยพบว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ โดยเราสามารถพบได้ในน้ำดื่ม น้ำตามธรรมชาติทั่วไป กระบวนการทำงานของมัน คือ ฟลูออไรด์จะเข้าไปจับตามผิวฟันซึ่งมีแคลเซียมกับฟอสฟอรัส ผิวฟันจะมีความต้านทานต่อกรดได้มากขึ้น นั่นก็จะช่วยทำให้โครงสร้างของผิวฟันแข็งแรงขึ้นได้ ลองคิดง่าย ๆ ดูว่า ฟันผุเกิดจากแผ่นคราบจุลินทรีย์ อาจจะมาจากการที่เราแปรงฟันไม่สะอาด มีแบคทีเรียที่ใช้น้ำตาลจากการที่เราทานเข้าไป จากนั้นก็จะปล่อยกรดมาที่ผิวฟัน เมื่อเกิดการสะสมนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้ผิวฟันเป็นรู รูก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นการป้องกันฟันผุจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ๆ เราต้องพยายามไม่ให้ฟันหรือภายในช่องปากของเรามีแบคทีเรียหรือแผ่นคราบจุลินทรีย์ ซึ่งการแปรงฟันให้สะอาดคือการป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี อีกอย่างคือ จะต้องไม่ให้อาหารแบคทีเรีย อย่างการทานอาหารหวานให้น้อยลง และอย่างสุดท้ายคือการทำให้ผิวฟันแข็งแรง นั่นแปลว่าเราจะต้องได้รับฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์ส่วนเรื่องอะไรได้บ้าง

อย่างที่เรารู้กันดี ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุ จากการที่ฟลูออไรด์เข้าไปจับกับผิวฟันที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส อีกทั้งฟลูออไรด์ยังสามารถดึงทั้งสองแร่ธาตุนั้นเข้ามาในเนื้อฟันได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการฟันผุในระยะแรกเริ่มให้กลับมาเป็นปกติได้

ใครบ้างที่ควรเคลือบฟลูออไรด์

  • กลุ่มแรก เด็กอายุ 6 เดือน – 3 ปี หรือเด็กที่กำลังมีฟันน้ำนมซี่แรก ควรจะได้รับการเคลือบฟลูออไรด์โดยการใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ ซึ่งโดยมากทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้ปกครองแปรงฟันให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น ควรใช้ยาสีฟันเพียงเล็กน้อย อาจจะแตะ ๆ นิดหน่อย สำหรับแปรงฟัน
  • กลุ่ม 2 เด็กอายุ 3 ปี สามารถที่จะแปรงฟันได้เองบ้าง เน้นการใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่ส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่มีค่าอยู่ที่ 1,000 PPM
  • กลุ่ม 3 เด็กอายุ 6 ปี – 18 ปี จะใช้เป็นฟลูออไรด์อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าฟลูออไรด์เจล จะมีค่าฟลูออไรด์มากกว่า 10,000 PPM ซึ่งไม่สามารถทำได้เอง จะต้องทำโดยทันตแพทย์เท่านั้น ดังนั้นจึงควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อพิจารณว่าควรจำหรือไม่ โดยทั่วไปจะนิยมทำ 1-2 ครั้งต่อปี
  • กลุ่ม 4 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อฟันผุ เช่น อาจจะเป็นผู้สูงอายุที่มีภาวะน้ำลายน้อย หรือได้รับยาบางชนิดทำให้น้ำลายน้อยซึ่งจะทำให้เกิดภาวะฟันผุได้ง่าย เนื่องจากน้ำลายเป็นตัวชะล้างให้ผิวฟันสะอาด, ผู้ที่ฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ซึ่งส่งผลให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อย ทำให้ปากแห้ง ส่งผลให้ฟันผุง่ายขึ้น
  • กลุ่ม 5 ผู้ที่มีปัญหาด้านช่องปาก เช่น ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหงือกร่น มีรากฟันโผล่ และเสี่ยงต่อรากฟันผุ

เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้หรือไม่

จริง ๆ ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้ค่ะ ซึ่งจะใช้เป็นฟลูออไรด์ที่เข้มข้นสูงทาลงบนผิวฟัน แนะนำให้ผู้ปกครองปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ทันตแพทย์พิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องทำหรือไม่

สรุปแล้ว การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบุคคล หากเป็นในเด็กควรที่จะต้องเคลือบเพื่อป้องกัน ส่วนในวัยผู้ใหญ่ จะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทันตแพทย์ว่าแต่ละคนนั้นมีความจำเป็นหรือเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#เคลือบฟัน #เคลือบฟลูออไรด์

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

มีไหมคะ ใครที่กำลังเครียดและกังวลว่าจะมีเงินจ่ายค่าจัดฟันไหม จะแพงหรือเปล่า แต่ก็อยากสวย อยากหล่อ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเงินในกระเป๋า ใครที่อยากมีฟันสวยจะต้องไม่พลาดบทความนี้เลย

จัดฟันแพงไหม?

คำถามที่หลายคนให้ความสนใจกันมาก เมื่อต้องถึงเวลาตัดสินใจจัดฟัน คือเรื่องของค่าใช้จ่าย จัดฟันแพงไหม? ซึ่งต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ค่าใช้จ่ายของการจัดฟันไม่ได้มีแค่เครื่องมือที่ใช้สำหรับจัดฟันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เราจึงขออธิบายค่าใช้จ่ายตามขั้นตอนดังนี้

  1. พบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการจัดฟัน รวมถึงการ X-ray ช่องปาก เพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้า ขากรรไกร และฟันทั้งปาก รวมถึงการพิมพ์ช่องปาก ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 – 3,000 บาท
  2. เคลียร์ช่องปาก ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะนำไปสู่ขั้นตอนของการจัดฟันและติดเครื่องมือซึ่งแต่ละบุคคลก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น อุดฟันผุ ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ฯลฯ โดยจะมีค่าใช้จ่ายราว ๆ 1,000 – 8,000 บาท
  3. ติดเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายครั้งแรกในแต่ละคลินิกก็จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไปค่ะ บางแห่งก็แบ่งจ่าย แต่บางแห่งก็ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนทีเดียว หากเป็นกรณีแบ่งจ่ายจะเริ่มต้นค่าใช้จ่ายประมาณ  1,500 – 3,000 บาท ส่วนราคาเงินก้อนเริ่มต้น 38,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดฟัน ซึ่งจะมีปัจจัยข้อดีข้อเสียและระยะเวลาในการจัดที่แตกต่างกันออกไป

จัดฟันครั้งแรกปวดกี่วันถึงจะหาย

สำหรับใครที่สงสัยว่า จัดฟันครั้งแรกปวดไหม บอกเลยว่าอาการปวดมากน้อยแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่มีอาการปวดแน่นอนค่ะ จึงมีคำถามตามมาอีกว่าถ้าปวดจะปวดต่อไปอีกกี่วัน การปวดฟันหลังการจัดฟันมีสาเหตุมาจากการติดหรือปรับเครื่องมือจัดฟัน ใหม่ ๆ หลอดเลือดถูกกดจากแรงดัดฟัน จึงทำให้รู้สึกเจ็บ ซึ่งอาการปวด เหล่านี้จะค่อยดีขึ้นภายใน 3-5 วัน ช่วงที่รู้สึกปวด สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยง การเคี้ยวอาหารที่แข็งและเหนียว เพราะจะทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดได้

จัดฟันต้องถอนฟันไหม

นี่คือหนึ่งในคำถามที่มีคนสงสัยกันมากที่สุด ซึ่งอาจจะเคยเห็นบางคนก็ต้องถอนฟัน บางคนก็ไม่ต้อง ทั้งที่ใครจะถูกถอนหรือไม่ จะต้องให้ทันตแพทย์ตรวจสภาพช่องปากและฟัน ด้วยการถ่ายภาพเอกซเรย์ฟันเพื่อดูโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกร ทำแบบหล่อปูนจำลองฟันอย่างละเอียด ก่อนถึงจะวิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละรายจำเป็นต้องถอนฟันหรือไม่ แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความผิดปกติของคนไข้แต่ละคน ถ้าจำเป็นต้องถอน ทันตแพทย์จะแจ้งอีกครั้งพร้อมระบุจำนวนซี่ในการถอน ถอนซี่ใดบ้าง จากนั้นจะมีการวางแผนขั้นตอนการรักษาตามลำดับ

ค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน เราสามารถวางแผน พร้อมคิดไว้ล่วงหน้าได้ว่าเราต้องการจัดฟันในรูปแบบใด ซึ่งแต่ละแบบก็มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • การจัดฟันแบบโลหะ มีช่วงราคาอยู่ที่ 38,000 – 47,000 บาท
  • การจัดฟันแบบดามอน มีช่วงราคาอยู่ที่ 76,000 – 78,000 บาท
  • การจัดฟันแบบใส Invisalign มีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาท

ดังนั้นหากใครอยากมีฟันสวย ก็จะต้องวางแผนค่าใช้จ่ายเอาไว้ให้ดี ๆ เลยค่ะ เลือกรูปแบบการจัดฟันพร้อมค่าใช้จ่ายที่คิดว่าเรามีกำลังมากพอจะจ่าย เพราะหากเราเลือกรูปแบบที่ค่าใช้จ่ายเกินกำลัง ก็จะส่งผลต่อแผนการจัดฟันในอนาคต อาจจะต้องหยุดไป ทำไม่ต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่เป็นไปตามที่หวัง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม?

มีใครเคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าที่เราแปรงฟันกันอยู่ทุกวันนี้ แปรงฟันกันถูกวิธีแล้วหรือยัง และเวลาหลังแปรงฟันเราควรบ้วนน้ำหรือไม่ นับว่าเป็นข้อถกเถียงกันมามากว่า บ้วนน้ำหลังแปรงฟันแบบไหนถึงจะดี หรือการบ้วนน้ำหลังแปรงฟันจริง ๆ แล้วมันสำคัญจริง ๆ หรือเปล่า

การบ้วนน้ำหลังแปรง = ความเข้าใจผิด

ในช่วงหลังที่ทันตแพทย์ออกมารณรงค์และแนะนำให้คนแปรงฟันโดยไม่บ้วนปาก หรือที่เราเรียกว่า “แปรงแห้ง” เพื่อป้องกันฟันผุ หลายคนมักเอาแปรงไปจุ่มน้ำก่อนแปรงฟัน พอแปรงเปียก น้ำในปากก็เยอะ ยาสีฟันก็เจือจางลงเร็ว โดยมีงานวิจัยในระยะหลังออกมาว่า ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์สามารถป้องกันฟันผุได้ดีขึ้น ถ้าบ้วนน้ำหลังการแปรงฟันเพียงครั้งเดียว ตามวิจัยระบุเปรียบเทียบการบ้วนน้ำจากแก้ว (น้ำ 1 แก้ว บ้วนหลายครั้ง) และการบ้วนน้ำครั้งเดียวจากอุ้งมือ พบว่า การบ้วนน้ำหลาย ๆ ครั้ง จะชะล้างเอาฟลูออไรด์ที่เกาะติดผิวฟันออกไป ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุลดลง

บ้วนน้ำหลังแปรงฟันแบบไหนถึงจะดี?

แน่นอนว่าสำหรับใครที่แปรงฟันแบบบ้วนน้ำมาตลอดชีวิต จะให้มาแปรงแห้งก็คงจะเป็นอะไรที่ทำใจกันได้ยาก หากคุณเป็นคนที่ติดการบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน เราแนะนำว่า ให้ใช้เทคนิค “ถุยทิ้ง” พยายามถุยฟองทิ้งให้หมดแต่หากใครรู้สึก แหยะในปาก ให้ใช้วิธีเริ่มจากฝึกบ้วนน้ำครั้งเดียวหลังแปรงฟันเสร็จแล้ว โดยบ้วนฟองออกก่อนให้ได้มากที่สุดแบบไม่ต้องใช้น้ำ จากนั้นค่อยบ้วนน้ำครั้งเดียว ถ้าทำแบบนี้จะทำให้รู้สึกสบายในช่องปากยิ่งขึ้น ไม่มีฟองของยาสีฟันตกค้างอยู่ในช่องปาก ลองฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องสัก 3 สัปดาห์ ร่างกายก็ปรับให้คุ้นชินกับการแปรงฟันด้วยวิธีดังกล่าว เพราะจงจำไว้ว่า บ้วนน้ำเยอะ ฟันผุเยอะ บ้วนน้ำน้อย ฟันผุน้อย ไม่บ้วนเลยฟันผุน้อยที่สุด โดยปริมาณน้ำที่ใช้ในการบ้วนปากมีผล กับการเกิดฟันผุ แต่ระยะเวลาที่บ้วนทิ้งไม่มีผล

เศษอาหารที่หลุดจากการแปรงควรทำอย่างไร

การแนะนำแปรงแห้ง อาจจะทำให้ใครที่ไม่คุ้นชินรู้สึกว่ายังแปรงได้ไม่สะอาด เพราะมีเศษอาหารเหลืออยู่ภายในช่องปาก แต่บ้วนน้ำไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดี แนะนำให้กำจัดเศษอาหารตั้งแต่ก่อนแปรงฟันค่ะ เช่น บ้วนน้ำแรง ๆ ใช้ไหมขัดฟัน ในกรณีที่ใช้ไหมขัดฟัน ให้ใช้ก่อนแปรงฟันเพื่อเปิดผิวฟันออกให้สัมผัสกับฟลูออไรด์จากยาสีฟันมากขึ้น ใช้เสร็จก็บ้วนน้ำทิ้งไป

การบ้วนน้ำหลังแปรงฟันน้อย จะเป็นอันตรายต่อช่องปากหรือไม่

นอกจากความไม่คุ้นชินกับการแปรงแห้งแล้ว ยังมีเรื่องของความกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ว่าถ้าเราทิ้งยาสีฟันค้างไว้ภายในปาก จะเป็นอันตรายต่อช่องปากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวหรือเปล่า สารเคมีที่กล่าวถึงกันมากที่สุด ได้แก่ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่นิยมใช้ในเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่วนผสมในยาสีฟันนั้น จะถูกควบคุม ทั้งชนิดและปริมาณที่ใช้ให้ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก จะถูกกำหนดปริมาณที่เผื่อการกินลงไปแล้วโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

โบกมือลาฟลูออไรด์ เมื่อบ้วนน้ำหลายครั้ง

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในยาสีฟันมีฟลูออไรด์ที่ช่วยป้องกันฟันผุ การจะป้องกันได้ก็ต้องมีสารฟลูออไรด์เหลือเกาะผิวฟันให้มากที่สุด นั่นแปลว่า ถ้าบ้วนน้ำหลาย ๆ ครั้ง เราก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรในการป้องกันฟันผุจากฟลูออไรด์ได้เลย

สรุปได้ว่า การบ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยชินกับการแปรงแห้งนั่นเอง เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ จะทำได้ดีที่สุดเมื่อเราไม่บ้วนน้ำเลยค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ตรวจสุขภาพฟัน #ทำฟัน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี

รู้หรือไม่ว่าแค่แปรงฟันอย่างเดียว ไม่ช่วยให้ช่องปากของเรามีสุขภาพที่ดี นั่นเป็นเพราะนอกจากการแปรงฟันแล้ว เรายังต้อง “ขูดหินปูน” ด้วยค่ะ คราบหินปูนเป็นคราบที่ใช้แค่เพียงขนแปรงสีฟันไม่สามารถที่จะขัดออกได้ โดยเฉพาะหากใครที่ปล่อยคราบหินปูนนั้นเกาะแน่นเป็นเวลานาน ทำให้หลายคนจึงต้องไปขูดหินปูน แต่ทำไมบางคนก็ขูดบ่อย บางคนก็แทบจะไม่ขูดเลย จริง ๆ แล้ว เราควรขูดหินปูนบ่อยแค่ไหน เราจะมาหาคำตอบ พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กัน

จุลินทรีย์ในช่องปากเกิดขึ้นได้อย่างไร

อาหารชั้นดีของจุลินทรีย์คือน้ำตาล ที่จะสร้างกรดและสารพิษ ซึ่งกรดตัวนี้จะเป็นตัวทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุและเหงือกอักเสบ หากใครที่มีคราบหินปูนที่หนา ลองเอาลิ้นสัมผัสไปตามฟันจะรู้สึกได้เลยว่ามีคราบหินปูนเกาะอยู่ ถ้าเราแปรงฟันไม่สะอาด ก็จะเกิดการสะสมของหินปูนหนาและแข็งมากขึ้นจนไม่สามารถเอาออกได้ด้วยแค่การแปรงฟัน จะต้องใช้เครื่องมือของทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูนที่อยู่ทั้งเหนือและใต้เหงือก

ผลข้างเคียงจากคราบหินปูน

เมื่อคราบหินปูนปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน จะทำให้เหงือกอักเสบ ละเมื่อปล่อยออกมานาน ๆ กระดูกที่รองรับรากฟันจะค่อย ๆ ละลาย ทำให้ฟันโยกไม่แข็งแรง โดยปัญหาที่เกิดจากคราบหินปูน ได้แก่ เลือดออกขณะแปรงฟัน มีกลิ่นปาก เหงือกร่น โรคปริทันต์  ฟันผุ ฯลฯ

ขูดหินปูน ควรทำบ่อยแค่ไหน?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันมากว่า ขูดหินปูน ควรทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี ในความเป็นจริงแล้ว การขูดหินปูนอาจไม่จำเป็นต้องขูดกันบ่อย ๆ สามารถขูดปีละครั้ง หรือ 6 เดือนครั้งก็ได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูนภายในช่องปากด้วยค่ะ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง หรือจะไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและเหงือกเป็นประจำ จะทำให้เราทราบว่าเราจำเป็นต้องขูดหินปูนไหม

การขูดหินปูนสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ส่วนการจะขูดบ่อยแค่ไหนนั้น  ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถดูแลรักษาฟันได้ดีแค่ไหน และหากสามารถทำความสะอาดได้ดี ไม่มีโรคเหงือกอักเสบและไม่มีร่องลึกปริทันต์ การ
ขูดหินปูนอาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้ค่ะ

โดยปกติแล้ว ทันตแพทย์มักจะแนะนำให้มาตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูน ปีละ 1 ครั้ง สำหรับการดูแลสุขภาพช่องปากเบื้องต้นที่ทุกคนก็ทำได้ คือ การแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และไม่ลืมที่จะใช้ไหมขัดฟันแซะเศษอาหารตามซอกฟันก่อนแปรงฟันในช่วงเวลาเย็นเป็นประจำ รวมถึงการแปรงลิ้น จะทำให้ไม่มีเศษอาหารตกค้าง ซึ่งจะเอื้อต่อการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหินปูน และเหงือกอักเสบตามมา

ขูดหินปูนบ่อย ๆ ทำให้ฟันสึกจริงหรือ?

หลายคนไม่กล้าไปขูดหินปูนเพราะกลัวว่าขูดไปแล้วฟันสึกบ้าง ฟันบางบ้าง หรือบางคนที่กังวลว่าขูดหินปูนบ่อย ๆ โอกาสจะทำให้ฟันเป็นแบบนั้นมันจริงหรือเปล่า ต้องบอกเลยค่ะว่า การขูดหินปูน เป็นการใช้ความถี่ในการสั่นของเครื่องมือ เพื่อเป็นการกะเทาะให้หินปูนแตก และร่อนเป็นแผ่น ๆ ออกมา ไม่ใช่เป็นการไปขูด หรือไปทำการกรอฟัน ดังนั้น การขูดหินปูน จะไม่ทำให้เนื้อฟันสึกกร่อน หรือฟันบางได้เลยค่ะ แต่อาจจะมีความรู้สึกว่าขูดหินปูนแล้วฟันสะอาดขึ้น รู้สึกโล่งมากขึ้น และเมื่อเอาลิ้นสัมผัสตามร่องฟันแต่ละซี่ได้ จะรู้สึกว่าเหมือนฟันกำลังสึกกร่อน ฟันบางลงนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยที่ว่า ขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนถึงจะดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าดูแลรักษาฟันอย่างไร มีพฤติกรรมอะไรที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดคราบหินปูนหนาหรือไม่ หากไม่มี อัตราความถี่ในการขูดหินปูนก็จะน้อยลงตามไปด้วย โดยทั่วไปแล้วก็มักจะทำหลังจากการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพช่องปากประจำปี

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายขูดหินปูน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#หินปูน #ขูดหินปูน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

เชื่อว่า ใครที่ฟันขาว ยิ้มสวยได้ เป็นอะไรที่หลายคนต่างอิจฉา เพราะคุณจะสามารถยิ้มได้ออกมาอย่างมั่นใจ นั่นจะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้น่าดึงดูดใจมากขึ้น แต่ถ้าใครฟันไม่ขาวอย่างใจ ไม่ว่าจะเหลืองหรือมีสีคล้ำ เดี๋ยวนี้คลินิกทันตกรรมมีนวัตกรรมที่เรียกว่า “ฟอกสีฟัน” ที่จะเนรมิตฟันของคุณให้กลับมาขาวได้เหมือนเดิมแล้วค่ะ ว่าแต่ อะไรบ้างล่ะที่เราจะต้องรู้ ก่อนตัดสินใจไปฟอกสีฟัน?

การฟอกสีฟัน คืออะไร

การฟอกสีฟัน คือ การทำให้ฟันเกิดการเปลี่ยนแปลงสีหรือการทำให้ขาวขึ้น โดยใช้น้ำยาฟอกสีฟัน และกระตุ้นการแตกตัวของน้ำยาฟอกสีฟันด้วยแสง Cool Light LED หรือเลเซอร์

อะไรทำให้สีฟันเข้มขึ้นได้บ้าง

ก่อนที่เราจะตัดสินใจไปฟอกสีฟัน เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันของเราเปลี่ยนสีไป เพื่อที่เราจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันมีสีเข้มมาจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  1. การเปลี่ยนสีฟันที่เกิดขึ้นภายในตัวฟัน

อาจจะเกิดจากการดื่มน้ำหรือรับประทานสารที่มีฟลูออไรด์มากเกินไป ทำให้ฟันตกกระ รวมถึงภาวะ

ฟันตาย (ฟันที่ไม่มีเส้นเลือดหรือเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง ทำให้ฟันมีสีไม่ขาวเป็นธรรมชาติ) เนื่องจากถูกกระทบกระแทก ซึ่งสาเหตุนี้ส่วนใหญ่มักไม่สามารถใช้วิธีฟอกสีฟันให้กลับมาขาวได้

  • การเปลี่ยนสีของฟันที่เกิดขึ้นภายนอกตัวฟัน

ได้แก่ การมีคราบหินปูนหรือคราบน้ำลาย คราบชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์แดง แกงต่าง ๆ การสูบบุหรี่

รวมถึง การแปรงฟันที่ผิดวิธี ทำให้เกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์และหินปูนไปเกาะที่ผิวนอกของตัวฟันทีละน้อย ๆ จนทำให้ฟันค่อย ๆ มีสีเหลืองเข้มขึ้น สาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก ทั้งการฟอกสีฟัน ขัดฟัน ขูดหินปูน

  • การเปลี่ยนสีของฟันที่เกี่ยวข้องกับอายุ

เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น เคลือบฟันจะบางลงทำให้เห็นเนื้อฟันที่อยู่ชั้นในและมีสีเหลืองที่ชัดเจน

ขึ้น หากเป็นฟันที่เหลืองตามธรรมชาติ จะฟอกสีฟันได้ ทั้งนี้ทันตแพทย์จะต้องตรวจดูสภาพเหงือกและฟัน รวมถึงรอยร้าวต่าง ๆ บนตัวฟันก่อน

วิธีในการฟอกสีฟัน

สำหรับวิธีการฟอกสีฟัน โดยทั่วไปเราสามารถปรึกษาทัตแพทย์เพื่อเลือกวิธีการฟอกสีฟันที่เหมาะสมกับเคสของตัวเราเอง เราจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. In-office Bleaching (การฟอกสีฟันในคลินิก) ทำได้ 2 วิธี
  2. การฟอกสีฟันโดยใช้เลเซอร์ฟอกสีฟัน เป็นการใช้แสงที่ให้ความร้อนต่ำมากระตุ้นปฏิกิริยาเคมี ในเจลฟอกสีฟันที่จะทำหน้าที่ดึงเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
  3. การฟอกสีฟันโดยใช้แสงเย็น (Cold Light) เป็นการใช้แสง LED ในอุณหภูมิที่ต่ำ ฉายลงบนฟันที่ทาน้ำยาฟอกสีฟันเรียบร้อยแล้ว แสงจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของน้ำยาฟอกสีฟัน ให้เม็ดสีหนาทึบของฟันแตกตัว ทำให้ฟันดูขาวกระจ่างขึ้น ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
  4. การฟอกสีฟันโดยใช้เครื่องฉายแสง UV (แสงสีฟ้า) เป็นการฟอกสีฟันด้วยพลังงานแสงความร้อน เพื่อไปกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในเจลฟอกสีฟัน ซึ่งสามารถเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เหงือกเจ็บแสบ แดง หรืออักเสบ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

  5. At home Bleaching (การกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน)

วิธีนี้เป็นการฟอกสีฟัน โดยการนำน้ำยาฟอกสีฟันกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน ภายใต้การควบคุมดูแล

ของทันตแพทย์เป็นระยะ ๆ ซึ่งจะต้องไปพบทันตแพทย์ในครั้งแรกเพื่อพิมพ์ปาก ทำถาดสำหรับใส่สารฟอกสีฟัน โดยถาดจะต้องแนบพอดีกับตัวฟันและเหงือก โดยต้องใส่ทิ้งไว้ตลอดคืน นาน 10-15 วัน ข้อดีของวิธีนี้คือ ราคาถูก และสะดวกสบายมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาพร้อมความมีวินัยในการทำ

ฟอกสีฟัน ทำให้ฟันขาวขึ้นได้จริงไหม อยู่ได้นานแค่ไหน

การฟอกสีฟันทำให้ฟันขาวขึ้นได้จริงค่ะ ส่วนผลลัพธ์จากการฟอกสีฟันจะอยู่ได้ยาวนานแค่ไหนต้องขึ้นอยู่กับสภาพฟันของเรา รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราด้วย แต่โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี

รู้อย่างนี้แล้ว หากใครสนใจที่จะฟอกสีฟัน เบื้องต้นแนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อพิจารณาสภาพฟันและวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายฟอกสีฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ฟันขาว #ฟอกสีฟัน

ดัดฟันตอนแก่ต้องดู!! ทำได้จริงไหม และจะส่งผลเสียอะไรบ้าง

ดัดฟันตอนแก่ต้องดู!! ทำได้จริงไหม และจะส่งผลเสียอะไรบ้าง

ใคร ๆ ก็อยากสวย ยิ้มมาแล้ว ฟันเรียงตัวกันสวย แต่หลายครั้งช่วงวัยรุ่นหรือเด็ก ๆ การเงินอาจจะไม่เอื้อทำให้ไปดัดฟันไม่ได้ กว่าจะมีเงินก็อายุมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ นะคะที่อยากมีฟันที่สวย หลายคนก็อายเด็กบ้างที่จะดัดฟันตอนแก่ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าดัดฟันตอนแก่จะส่งผลอะไรกับฟันบ้างหรือเปล่า หรือจะได้ผลดีเท่ากับดัดฟันตอนเด็กไหม เราจะไปหาคำตอบนั้นพร้อมกันค่ะ

จุดประสงค์ของการดัดฟัน

คุณจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะดัดฟันไปเพื่ออะไร เพื่อความสวยงาม? หรือมีปัญหาการสบฟัน ปัญหาการบดเคี้ยว หากไม่ร้ายแรงหรือไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่จำเป็นต้องดัดฟันก็ได้ค่ะ เพราะการดัดฟัน ไม่จบลงแค่ที่การดัดฟัน หลังจากดัดฟันเสร็จ คุณจะต้องใส่รีเทรนเนอร์ตลอดชีวิต และยังต้องดูแลฟันมากกว่าปกติ คุณพร้อมการดูแลส่วนนั้นหรือยัง

คาดหวังมากเกินไปกับการดัดฟัน

หลายครั้งเราพบว่าคนที่มาดัดฟันตอนอายุมากขึ้น มาจากความคาดหวังว่าถ้าดัดฟันแล้ว หน้าจะเรียวขึ้น โหนกหน้าลดลง จมูกโด่ง ฯลฯ ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นความเชื่อและความคาดหวังที่เกินจริงไปหน่อย เพราะการดัดฟันไม่ได้ช่วยเรื่องที่ว่ามาเลยค่ะ การดัดฟันช่วยรักษาฟันซ้อน ฟันเก การสบฟัน หรือการบดเคี้ยวที่ผิดปกติ ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ส่วนหากเคยเห็นใครดัดฟันแล้วหน้าเรียวขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเค้าโครงหน้าของผู้ทำและการจัดเรียงของฟันที่ดีขึ้นนั่นเอง

อายุมากสามารถดัดฟันได้ไหม?

จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีข้อกำหนดว่าอายุเท่าไหร่ถึงจะดัดฟันไม่ได้ เพียงแต่ว่าประสิทธิผลจากการดัดฟัน และผลที่ตามมาอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเท่ากับเด็ก ซึ่งการดัดฟัน มีเงินอย่างเดียวไม่ประสบความสำเร็จนะคะ เพราะการดัดฟันมาซึ่งความรับผิดชอบในการดูแลฟันมากกว่าปกติ มาจากเศษอาหารสามารถติดตามเหล็กดัดฟันได้ง่าย หากทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ ก็จะนำมาซึ่งโรคต่าง ๆ เกี่ยวกับฟัน

ผู้ใหญ่หลายคนอายที่จะดัดฟัน หรือการใส่ยางสี ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้การดัดฟันก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งแบบเดมอน ที่ใช้เป็นโลหะ หรือจะดัดฟันแบบใส ที่สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจโดยไม่เห็นเหล็กและยางสี

ปัญหาที่พบได้บ่อยของคนที่ดัดฟันตอนอายุมาก

ปัญหาช่องปากที่พบได้บ่อยมากเมื่อดัดฟันคือ รึเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์อักเสบ เพราะเมื่อติดเครื่องมือดัดฟันไปแล้ว การทำความสะอาดฟันที่ไม่ดีพอ จะเกิดโรคดังกล่าวตามมาได้ แต่ปัญหานี้จะหมดไป หากคุณเลือกที่จะดัดฟันแบบใสเพราะสามารถถอดเข้าถอดออกได้เอง ทำให้ทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้นด้วย ข้อเสียคือ ราคาแพงมาก ๆ

โรคปริทันต์อักเสบนับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นโตของผู้ใหญ่ที่คิดจะดัดฟันเลยค่ะ เพราะทำให้เกิดข้อจำกัดในการรักษา นั่นคือไม่สามารถถอนฟันออกได้ พูดง่าย ๆ คือ ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนั่นเอง ซึ่งโรคนี้หากเป็นแล้ว ฟันจะโยกจนแทบจะหลุดออกมาทั้งแผงเลย โดยเฉพาะหากใครที่เป็นโรคปริทันต์รุนแรงด้วยแล้ว คงต้องบอกว่า บอกลาการดัดฟันและเก็บฟันไว้กินข้าวจะดีกว่าค่ะ

นอกจากนี้ อีกปัญหาที่พบบ่อยจริง ๆ สำหรับการดัดฟันในผู้ใหญ่ คือ ข้อจำกัดของร่างกาย ในร่างกายเด็กที่กำลังโตจะมีความสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีกว่า การเคลื่อนฟันในเด็กจึงทำได้ง่ายกว่า ผลแทรกซ้อนก็มีน้อยกว่า แต่ร่างกายของผู้ใหญ่เริ่มมีภาวะเสื่อมถอย ซึ่งถ้าหากทันตแพทย์แนะนำ จะแนะนำให้เด็กดัดฟันมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะดัดฟันไม่ได้นะคะ ยังต้องขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย

ผู้ใหญ่คนไหนที่อยากจะดัดฟัน ทางที่ดีแนะนำว่าให้ปรึกษาทันตแพทย์ใกล้บ้านดูก่อน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน