คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมช่องปาก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมช่องปาก

คำถามที่พบบ่อย ศัลยกรรมช่องปาก: คลายทุกข้อสงสัย ก้าวสู่รอยยิ้มที่มั่นใจ

ศัลยกรรมช่องปาก เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสุขภาพช่องปากและความงามของรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ปัญหากรามที่ไม่สมดุล หรือปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการยิ้ม อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้ารับการศัลยกรรมช่องปากนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

บทความนี้จะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมช่องปาก เพื่อให้คุณมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าการศัลยกรรมช่องปากเหมาะสมกับคุณหรือไม่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมช่องปาก

1. ศัลยกรรมช่องปากคืออะไร?

ศัลยกรรมช่องปากคือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่องปากและขากรรไกร ซึ่งอาจรวมถึง:

  • การจัดฟันผ่าตัด: แก้ไขปัญหาฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบร่วมกับความผิดปกติของขากรรไกร
  • การผ่าตัดขากรรไกร: แก้ไขปัญหาขากรรไกรที่ไม่สมดุล เช่น คางยื่น คางสั้น หรือขากรรไกรเบี้ยว
  • การผ่าตัดแก้ไขเหงือ: แก้ไขปัญหาเหงือที่มากหรือน้อยเกินไป
  • การผ่าตัดใส่รากฟันเทียม: ใส่รากฟันเทียมเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป
  • การผ่าตัดรักษาโรคในช่องปาก: เช่น การผ่าตัดถุงน้ำหรือเนื้องอกในช่องปาก

2. ใครบ้างที่ควรพิจารณาเข้ารับการศัลยกรรมช่องปาก?

ผู้ที่ควรพิจารณาเข้ารับการศัลยกรรมช่องปาก ได้แก่:

  • ผู้ที่มีปัญหาฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบร่วมกับความผิดปกติของขากรรไกร ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันเพียงอย่างเดียว
  • ผู้ที่มีปัญหาขากรรไกรที่ไม่สมดุล ซึ่งส่งผลต่อการสบฟัน การเคี้ยวอาหาร หรือการพูด
  • ผู้ที่มีปัญหาเหงือที่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งส่งผลต่อความสวยงามของรอยยิ้ม
  • ผู้ที่สูญเสียฟันและต้องการใส่รากฟันเทียมเพื่อทดแทน
  • ผู้ที่มีโรคในช่องปากที่ต้องได้รับการผ่าตัดรักษา

3. การศัลยกรรมช่องปากมีความเสี่ยงหรือไม่?

เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ การศัลยกรรมช่องปากมีความเสี่ยงบางอย่าง ซึ่งอาจรวมถึง:

  • การติดเชื้อ
  • เลือดออก
  • อาการบวมและปวด
  • การชาบริเวณใบหน้าหรือริมฝีปาก
  • ความเสียหายต่อเส้นประสาทหรือฟัน

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้โดยการเลือกศัลยแพทย์ช่องปากที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด

4. การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมช่องปาก

ก่อนเข้ารับการศัลยกรรมช่องปาก คุณควร:

  • ปรึกษาศัลยแพทย์ช่องปากเพื่อประเมินสภาพช่องปากและวางแผนการรักษา
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาหรืออาหารเสริมให้ศัลยแพทย์ทราบ
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • งดยาบางชนิด เช่น แอสไพริน หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ตามคำแนะนำของศัลยแพทย์
  • จัดเตรียมอาหารอ่อน ๆ และของใช้ที่จำเป็นสำหรับช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัด

5. การดูแลหลังการศัลยกรรมช่องปาก

หลังการศัลยกรรมช่องปาก คุณควร:

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
  • รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่ง
  • ทำความสะอาดช่องปากตามคำแนะนำของศัลยแพทย์
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงพักฟื้น
  • ไปพบศัลยแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา

6. ค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรมช่องปาก

ค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรมช่องปากจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

  • ประเภทของการผ่าตัด
  • ความซับซ้อนของปัญหา
  • ค่าธรรมเนียมของศัลยแพทย์
  • ค่าใช้จ่ายในการรักษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

คุณควรปรึกษาศัลยแพทย์ช่องปากเพื่อขอทราบค่าใช้จ่ายที่แน่นอนในการรักษาของคุณ

7. การเลือกศัลยแพทย์ช่องปาก

การเลือกศัลยแพทย์ช่องปากที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย คุณควร:

  • ตรวจสอบว่าศัลยแพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพถูกต้อง
  • สอบถามประสบการณ์ของศัลยแพทย์ในการผ่าตัดประเภทที่คุณต้องการ
  • อ่านรีวิวจากผู้ป่วยคนอื่น ๆ
  • ปรึกษาศัลยแพทย์โดยตรงเพื่อสอบถามข้อสงสัยและประเมินความเข้ากันได้

ที่คลินิกทันตกรรมบางพลี เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมช่องปาก “คุณหมอมด” Oral Surgeon ทันตแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรม
ช่องปากและรากเทียม

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รีเทนเนอร์แบบต่างๆ เลือกแบบไหนดี

รีเทนเนอร์แบบต่างๆ เลือกแบบไหนดี?

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจัดฟัน การดูแลรักษาฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งวิธีหนึ่งในการรักษาความสวยงามของฟันหลังจากการจัดฟันคือการใส่รีเทนเนอร์ รีเทนเนอร์คืออุปกรณ์ที่ช่วยรักษาตำแหน่งฟันไม่ให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนการจัดฟัน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงรีเทนเนอร์แบบต่างๆ ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงคำแนะนำในการเลือกรีเทนเนอร์ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

รีเทนเนอร์คืออะไร?

รีเทนเนอร์ (Retainer) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คงสภาพฟันในตำแหน่งที่ถูกต้องหลังจากการจัดฟัน โดยรีเทนเนอร์จะช่วยให้ฟันไม่เคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิมก่อนการจัดฟัน การใส่รีเทนเนอร์เป็นสิ่งที่สำคัญมากในช่วงหลังการจัดฟัน เพราะฟันของเรามีแนวโน้มที่จะกลับไปยังตำแหน่งเดิมตามธรรมชาติ หากไม่ใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ ฟันอาจกลับมาเคลื่อนที่ทำให้เกิดปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ไม่สวยงามเหมือนก่อน

ประเภทของรีเทนเนอร์

รีเทนเนอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ รีเทนเนอร์แบบลวด รีเทนเนอร์แบบใส และรีเทนเนอร์ติดแน่น ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป เรามาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกันค่ะ

1. รีเทนเนอร์แบบลวด (Hawley Retainer)

รีเทนเนอร์แบบลวด หรือที่เรียกว่า Hawley Retainer เป็นรีเทนเนอร์ที่ทำจากลวดเหล็กและอะคริลิกที่หล่อขึ้นรูปตามฟันของผู้ใช้งาน ส่วนอะคริลิกจะวางอยู่บนเพดานปากหรือหลังฟันล่างเพื่อช่วยให้ฟันอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ส่วนลวดจะทำหน้าที่คงตำแหน่งฟันที่จัดเรียงไว้

ข้อดี:

  • แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นาน
  • สามารถถอดและใส่ได้สะดวก
  • สามารถปรับแต่งให้เข้ากับฟันได้ดี

ข้อเสีย:

  • มองเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากมีลวดโลหะ
  • อาจทำให้รู้สึกไม่สะดวกในขณะพูดหรือรับประทานอาหาร
  • อาจเกิดการระคายเคืองที่เหงือกหรือลิ้นได้

2. รีเทนเนอร์แบบใส (Clear Retainer)

รีเทนเนอร์แบบใส หรือที่เรียกว่า Essix Retainer ทำจากพลาสติกใสที่พอดีกับฟัน รีเทนเนอร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมมากเนื่องจากมีความสวยงามและมองเห็นได้น้อย

ข้อดี:

  • ไม่มองเห็นได้ชัดเจน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ
  • ใส่และถอดได้ง่าย
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสวยงามในขณะใส่รีเทนเนอร์

ข้อเสีย:

  • อายุการใช้งานสั้น เนื่องจากวัสดุพลาสติกมีโอกาสเปลี่ยนสีหรือเสื่อมสภาพได้เร็ว
  • อาจแตกหรือหักได้หากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม
  • ไม่สามารถปรับแต่งได้เหมือนรีเทนเนอร์แบบลวด

3. รีเทนเนอร์ติดแน่น (Fixed Retainer)

รีเทนเนอร์ติดแน่น เป็นรีเทนเนอร์ที่ติดแน่นกับฟันด้วยลวดบางๆ และกาว โดยจะติดที่ด้านหลังของฟันหน้า มักใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงที่ฟันจะกลับมาเคลื่อนที่หลังจากการจัดฟันสูง

ข้อดี:

  • ไม่ต้องกังวลเรื่องการถอดใส่ เพราะติดอยู่กับฟันตลอดเวลา
  • ไม่มีผลต่อการพูดหรือรับประทานอาหาร
  • ช่วยรักษาตำแหน่งฟันได้ดีในระยะยาว

ข้อเสีย:

  • ทำความสะอาดได้ยากกว่ารีเทนเนอร์แบบถอดได้
  • หากลวดหลุดหรือชำรุดอาจทำให้เกิดปัญหาได้
  • ต้องการการดูแลรักษาและตรวจสอบโดยทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

การเลือกรีเทนเนอร์แบบไหนดี?

การเลือกรีเทนเนอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสะดวกในการใช้งาน การดูแลรักษา และความสวยงามของรีเทนเนอร์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ลองพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

1. ความสวยงามและความเป็นธรรมชาติ

หากคุณต้องการรีเทนเนอร์ที่มองไม่เห็นได้ง่าย รีเทนเนอร์แบบใส (Clear Retainer) อาจเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมีลักษณะใสและเนียนไปกับฟัน แต่หากคุณไม่กังวลเรื่องการมองเห็นรีเทนเนอร์ รีเทนเนอร์แบบลวดก็สามารถเป็นทางเลือกที่เหมาะสมได้

2. ความสะดวกในการใช้งาน

รีเทนเนอร์แบบถอดได้ทั้งแบบลวดและแบบใส สามารถถอดออกได้ง่าย ทำให้สะดวกในขณะรับประทานอาหารหรือทำความสะอาด แต่หากคุณไม่ต้องการกังวลเรื่องการถอดใส่ รีเทนเนอร์ติดแน่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะติดอยู่กับฟันตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมใส่

3. การดูแลรักษา

รีเทนเนอร์แบบลวดและแบบใสต้องการการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและคราบหินปูน ในขณะที่รีเทนเนอร์ติดแน่นอาจทำความสะอาดได้ยากกว่า แต่สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากหรือน้ำยาทำความสะอาดรีเทนเนอร์เพื่อช่วยในการดูแลได้

4. งบประมาณ

ราคาของรีเทนเนอร์แต่ละแบบแตกต่างกัน รีเทนเนอร์แบบลวดและแบบใสมีราคาค่อนข้างใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และการปรับแต่งเฉพาะบุคคล ในขณะที่รีเทนเนอร์ติดแน่นมักมีราคาสูงกว่าเนื่องจากต้องการการติดตั้งและดูแลโดยทันตแพทย์

การดูแลรักษารีเทนเนอร์

การดูแลรักษารีเทนเนอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของรีเทนเนอร์ และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพในช่องปาก วิธีการดูแลรักษารีเทนเนอร์อย่างถูกต้องมีดังนี้:

  1. ทำความสะอาดรีเทนเนอร์ทุกครั้งหลังการใช้งาน โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดรีเทนเนอร์หรือยาสีฟันและแปรงขนนุ่ม เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียและคราบหินปูนที่เกาะอยู่บนรีเทนเนอร์
  2. เก็บรีเทนเนอร์ในกล่องทุกครั้งเมื่อถอดออก เพื่อป้องกันการสูญหายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และควรเก็บในที่แห้งและสะอาดเสมอ
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับรีเทนเนอร์ เช่น การล้างรีเทนเนอร์ด้วยน้ำร้อนหรือการเก็บรีเทนเนอร์ใกล้แหล่งความร้อน เพราะอาจทำให้รีเทนเนอร์บิดเบี้ยวหรือเสียหายได้
  4. พบแพทย์ตามนัดเพื่อปรับแต่งและตรวจสอบรีเทนเนอร์ โดยเฉพาะรีเทนเนอร์แบบลวดและแบบติดแน่น เพื่อให้รีเทนเนอร์ยังคงทำงานได้ดีและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ประเภทเครื่องมือจัดฟัน มีอะไรบ้าง

ประเภทเครื่องมือจัดฟัน มีอะไรบ้าง

เครื่องมือจัดฟันมีหลายประเภทที่ทันตแพทย์ใช้ในการแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและการกัด โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียต่างกันไป นี่คือประเภทหลักๆ ของเครื่องมือจัดฟัน:

  1. จัดฟันด้วยโลหะ (Metal Braces):
    • เครื่องมือจัดฟันแบบดั้งเดิมที่ใช้โลหะสเตนเลสเป็นหลัก
    • มีลวดโลหะและแบร็คเก็ตที่ติดกับฟันและยางหรือโลหะรัดลวดเข้ากับแบร็คเก็ต
    • มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาฟันที่ซับซ้อน แต่มีความเด่นชัด
  2. จัดฟันเซรามิก (Ceramic Braces):
    • แบร็คเก็ตทำจากเซรามิกสีขาวหรือโปร่งใส ทำให้มองเห็นได้ยากกว่าโลหะ
    • ลวดมักจะมีสีที่เข้ากับสีฟันเพื่อความสวยงาม
    • ราคาสูงกว่าและอาจแตกง่ายกว่าแบร็คเก็ตโลหะ
  3. จัดฟันด้านใน (Lingual Braces):
    • ติดตั้งแบร็คเก็ตและลวดที่ด้านในของฟัน ทำให้มองไม่เห็นจากภายนอก
    • ยากต่อการทำความสะอาดและอาจไม่สบายต่อเหงือกและลิ้นในช่วงแรก
    • ต้องใช้ความชำนาญสูงในการติดตั้งและปรับแต่ง
  4. เครื่องมือจัดฟันใส (Clear Aligners):
    • เช่น Invisalign, เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติกใสและสามารถถอดออกได้
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและไม่ต้องการเครื่องมือที่มองเห็นได้
    • ใช้แก้ไขปัญหาการเรียงฟันที่ไม่ซับซ้อนและต้องมีการเปลี่ยนเครื่องมือทุก 1-2 สัปดาห์
  5. เครื่องมือจัดฟันแบบบางส่วน (Partial Braces):
    • ใช้เฉพาะส่วนที่มีปัญหา เช่น ฟันหน้า
    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเพียงบางส่วนของฟัน
  6. อุปกรณ์เสริม (Orthodontic Appliances):
    • เช่น อุปกรณ์ขยายขากรรไกร (Palatal Expanders), เครื่องมือยกฟัน (Elastics), หรืออุปกรณ์ดันฟัน (Headgear)
    • ใช้ร่วมกับเครื่องมือจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเจาะจง
  7. เครื่องมือจัดฟันแบบเซลฟ์-ไลเกติ้ง (Self-Ligating Braces):
    • ใช้คลิปแทนยางรัดฟัน
    • ทำความสะอาดง่าย ปรับแต่งน้อยครั้งกว่า
  8. เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ (Removable Appliances):
    • ใช้สำหรับการรักษาเฉพาะจุด หรือในเด็ก
    • ถอดได้ แต่ประสิทธิภาพอาจน้อยกว่าแบบติดแน่น
  9. เครื่องมือจัดฟันแบบผสม (Hybrid Braces):
    • ผสมผสานเทคโนโลยีหลายแบบ
    • ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะบุคคล

การเลือกประเภทเครื่องมือจัดฟันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพฟัน ความรุนแรงของปัญหา ความต้องการของผู้ป่วย และงบประมาณ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกเครื่องมือจัดฟันที่เหมาะสมกับคุณ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ต้องทำอย่างไรถึงมีฟันสวยแบบดารา

ต้องทำอย่างไรถึงมีฟันสวยแบบดารา

การมีฟันสวยแบบดาราต้องอาศัยการดูแลและรักษาสุขภาพฟันอย่างดี นี่คือขั้นตอนและเคล็ดลับที่สามารถช่วยให้คุณมีฟันที่สวยงาม:

  1. แปรงฟันอย่างถูกวิธี:

    • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
    • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่มและเปลี่ยนแปรงทุก 3-4 เดือน
    • แปรงฟันอย่างน้อย 2 นาทีในแต่ละครั้ง
  2. ใช้ไหมขัดฟัน:

    • ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อขจัดคราบและเศษอาหารระหว่างฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
  3. บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก:

    • ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์เพื่อเสริมสร้างฟันและลดคราบแบคทีเรีย
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์:

    • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน
    • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลา ผักใบเขียว
  5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อฟัน:

    • ไม่ควรใช้ฟันกัดสิ่งของแข็ง เช่น ปากกาหรือถั่วเปลือกแข็ง
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  6. ไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ:

    • ไปตรวจสุขภาพฟันและทำความสะอาดฟันทุก 6 เดือนเพื่อป้องกันปัญหาฟันผุและโรคเหงือก
  7. พิจารณาการรักษาทางทันตกรรมเพื่อความงาม:

    • หากต้องการฟันที่ขาวขึ้น สามารถใช้การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening)
    • หากฟันไม่เรียงกันหรือมีปัญหาการกัด สามารถพิจารณาการจัดฟัน (Orthodontics)
    • การทำวีเนียร์ (Veneers) หรือครอบฟัน (Crowns) เพื่อแก้ไขรูปร่างและสีของฟัน

การดูแลฟันอย่างถูกวิธีและการพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมีฟันที่สวยและสุขภาพดีเช่นเดียวกับดารา

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • ดื่มน้ำเปล่ามากๆ: ช่วยชะล้างเศษอาหารและแบคทีเรียในช่องปาก
  • ลดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีสี: สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ฟันเหลืองและหมองคล้ำได้
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน: เช่น ผัก ผลไม้ นม และโยเกิร์ต

วีเนียร์ (Veneer) เป็นการเคลือบฟันเทียมที่สามารถปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันให้สวยงามและดูเป็นธรรมชาติได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดาราและคนทั่วไปนิยมใช้กันมากเพราะมีข้อดีหลายประการ:

วีเนียร์คืออะไร?

วีเนียร์คือการเคลือบฟันเทียมบางๆ ที่ทำจากวัสดุเช่น พอร์ซเลน (Porcelain) หรือคอมโพสิต (Composite) ที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับฟันธรรมชาติ และติดบนพื้นผิวของฟันเพื่อปรับปรุงรูปร่าง สี และขนาดของฟัน

ข้อดีของวีเนียร์

  1. ปรับปรุงรูปลักษณ์:

    • แก้ไขปัญหาฟันที่เปลี่ยนสี ฟันแตก หรือฟันห่าง
    • ทำให้ฟันดูขาวขึ้นและเรียบเสมอกัน
  2. ดูเป็นธรรมชาติ:

    • วัสดุพอร์ซเลนและคอมโพสิตมีความโปร่งแสง ทำให้ดูเหมือนฟันธรรมชาติ
    • สามารถออกแบบให้เข้ากับสีและรูปร่างของฟันอื่นๆ ในปาก
  3. ทนทานและยาวนาน:

    • วีเนียร์พอร์ซเลนมีความทนทานสูงและสามารถใช้งานได้ยาวนาน
    • ทนต่อการเปลี่ยนสีและการสึกกร่อน
  4. ไม่ต้องถอนฟัน:

    • กระบวนการติดตั้งวีเนียร์ไม่จำเป็นต้องถอนฟัน และสามารถทำได้โดยไม่ต้องทำการเจาะหรือถอนฟัน

ขั้นตอนการทำวีเนียร์

  1. การปรึกษา:

    • ทันตแพทย์จะประเมินฟันและหารือกับผู้ป่วยเกี่ยวกับความต้องการและผลลัพธ์ที่ต้องการ
  2. การเตรียมฟัน:

    • ทันตแพทย์จะเตรียมพื้นผิวฟันโดยการเจียรฟันเล็กน้อยเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับติดวีเนียร์
    • อาจทำการสแกนหรือพิมพ์ฟันเพื่อสร้างวีเนียร์ที่เหมาะสม
  3. การติดตั้งวีเนียร์ชั่วคราว (ถ้าจำเป็น):

    • ทันตแพทย์อาจติดตั้งวีเนียร์ชั่วคราวในขณะที่รอการสร้างวีเนียร์ถาวร
  4. การติดตั้งวีเนียร์ถาวร:

    • เมื่อตัววีเนียร์ถูกสร้างเสร็จ ทันตแพทย์จะตรวจสอบความเข้ากันและติดตั้งวีเนียร์ถาวรโดยใช้กาวชนิดพิเศษ

ข้อดีของวีเนียร์

  • ช่วยปรับปรุงรอยยิ้มให้สวยงามและมั่นใจมากขึ้น
  • มีความแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน
  • มีสีที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ
  • ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก

ข้อเสียของวีเนียร์

  • มีค่าใช้จ่ายสูง
  • ต้องกรอผิวฟันออกบางส่วน
  • อาจต้องใช้เวลาในการทำหลายครั้ง

การดูแลรักษาวีเนียร์

  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการกัดสิ่งของแข็งหรืออาหารที่แข็ง
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสอบและดูแลฟัน

วีเนียร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันและสร้างความมั่นใจในการยิ้มเหมือนดารา ควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

 สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เคลือบฟลูออไรด์ในเด็ก ป้องกันฟันผุได้จริงหรือไม่

เคลือบฟลูออไรด์ในเด็ก ป้องกันฟันผุได้จริงหรือไม่

การเคลือบฟลูออไรด์ในเด็กเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ โดยมีเหตุผลและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนดังนี้:

  1. ป้องกันฟันผุ: ฟลูออไรด์ช่วยเสริมสร้างเคลือบฟัน ทำให้ฟันแข็งแรงขึ้นและทนทานต่อการกัดกร่อนของกรดที่แบคทีเรียในปากผลิตขึ้น

  2. ช่วยในการซ่อมแซมเคลือบฟัน: ฟลูออไรด์มีความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่เริ่มมีการสึกกร่อนของเคลือบฟัน ทำให้กระบวนการผุฟันหยุดลงและเคลือบฟันสามารถกลับมาแข็งแรงขึ้นได้

  3. ลดความเสี่ยงของฟันผุในอนาคต: การเคลือบฟลูออไรด์เป็นระยะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุในอนาคต โดยเฉพาะในเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตของฟัน

  4. วิธีการที่ปลอดภัย: การเคลือบฟลูออไรด์ในเด็กเป็นกระบวนการที่ปลอดภัย เมื่อดำเนินการโดยทันตแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ

  5. แนะนำโดยองค์การด้านสุขภาพ: องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมทันตแพทย์ในหลายประเทศแนะนำการใช้ฟลูออไรด์เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็ก

การเคลือบฟลูออไรด์ควรทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์และควรมีการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการป้องกันฟันผุในเด็ก

ใครบ้างที่ควรได้รับการเคลือบฟลูออไรด์:

  • เด็กเล็ก: โดยเฉพาะเด็กที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดฟันผุ เช่น เด็กที่ไม่แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือเด็กที่ชอบทานขนมหวาน
  • เด็กที่มีประวัติฟันผุ: การเคลือบฟลูออไรด์สามารถช่วยป้องกันฟันผุซ้ำได้
  • เด็กที่มีฟันซ้อนเก: ฟันซ้อนเกอาจทำให้ทำความสะอาดฟันได้ยาก การเคลือบฟลูออไรด์จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยป้องกันฟันผุ

ความถี่ในการเคลือบฟลูออไรด์:

ทันตแพทย์จะแนะนำความถี่ในการเคลือบฟลูออไรด์ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน โดยทั่วไปอาจแนะนำให้เคลือบฟลูออไรด์ทุก 3-6 เดือน

ข้อควรระวัง:

  • การเคลือบฟลูออไรด์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำด้วย
  • การได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปอาจทำให้เกิดฟันตกกระ (ฟันมีจุดขาวๆ) ดังนั้นควรปรึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ปรับเครื่องมือจัดฟัน ทำบ่อยขนาดไหน

ปรับเครื่องมือจัดฟัน ทำบ่อยขนาดไหน

การปรับเครื่องมือจัดฟัน (ปรับลวดหรือปรับแบร็คเก็ต) เป็นกระบวนการที่ต้องทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์เพื่อให้ฟันเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ต้องการ โดยทั่วไปการปรับเครื่องมือจัดฟันมักจะทำทุก 4-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาและความซับซ้อนของกรณี ดังนี้:

  1. ทุก 4-6 สัปดาห์: ปกติแล้วทันตแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาปรับเครื่องมือจัดฟันทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับแรงดึงที่ใช้ในการเคลื่อนฟัน
  2. ขึ้นอยู่กับแผนการรักษา: ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจนัดบ่อยขึ้นหรือห่างออกไปตามความต้องการของแต่ละคน
  3. การปรับแต่ง: การปรับเครื่องมือจัดฟันอาจรวมถึงการเปลี่ยนลวด ปรับแบร็คเก็ต หรือเปลี่ยนยางเพื่อให้ฟันเคลื่อนตัวตามแผนการรักษา
  4. การตรวจสอบ: ทุกครั้งที่ไปพบทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะตรวจสอบความคืบหน้าและทำการปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะสม
  5. การตอบสนองของฟัน: บางคนฟันอาจเคลื่อนเร็วหรือช้ากว่าคนอื่น
  6. ปัญหาที่เกิดขึ้น: หากมีปัญหาเช่นลวดหลุด อาจต้องเข้าพบทันตแพทย์เร็วขึ้น
  7. อายุของผู้ป่วย: เด็กและวัยรุ่นอาจต้องปรับบ่อยกว่าผู้ใหญ่

ปัจจัยที่มีผลต่อความถี่ในการปรับเครื่องมือจัดฟัน:

  • ชนิดของเครื่องมือจัดฟัน:
    • เครื่องมือจัดฟันแบบโลหะ: มักจะต้องปรับเครื่องมือทุกๆ 4 สัปดาห์
    • เครื่องมือจัดฟันแบบใส: อาจต้องเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ทุกๆ 1-2 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์
    • เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นภายใน (lingual braces): มักจะต้องปรับเครื่องมือทุกๆ 4-6 สัปดาห์
  • แผนการรักษา: ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจรวมถึงการปรับเครื่องมือในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป
  • ความคืบหน้าของการจัดฟัน: หากฟันเคลื่อนที่เร็ว อาจต้องปรับเครื่องมือบ่อยขึ้นกว่าปกติ

สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการปรับเครื่องมือจัดฟัน:

  • การปรับเครื่องมือจัดฟันไม่เจ็บ: แม้ว่าอาจรู้สึกตึงๆ หรือไม่สบายเล็กน้อยหลังจากปรับเครื่องมือ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่เจ็บ
  • ความสำคัญของการปรับเครื่องมือตามนัด: การปรับเครื่องมือตามนัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปตามแผนและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หากมีปัญหาเช่น เครื่องมือหลุด ลวดแทงเนื้อ หรือรู้สึกไม่สบาย ควรติดต่อทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการแก้ไข ไม่ควรรอถึงวันนัดครั้งถัดไป   สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันเคลื่อนหลังจัดฟัน ต้องทำอย่างไร

ฟันเคลื่อนหลังจัดฟัน ต้องทำอย่างไร

ฟันเคลื่อนหลังจัดฟัน หรือที่เรียกว่า “ฟันล้ม” เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว สาเหตุหลักมักเกิดจากการไม่ใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ หรือใส่ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำของทันตแพทย์
  1. ใส่รีเทนเนอร์ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ: รีเทนเนอร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการรักษาตำแหน่งฟันหลังการจัดฟัน ควรใส่รีเทนเนอร์ตามเวลาที่ทันตแพทย์กำหนด เช่น ใส่ทุกคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน

  2. ติดต่อทันตแพทย์ทันที: หากพบว่าฟันเคลื่อนที่ ควรติดต่อทันตแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับคำแนะนำและประเมินสถานการณ์ บางกรณีอาจต้องปรับรีเทนเนอร์หรือใช้อุปกรณ์เสริม

  3. รักษาความสะอาดของฟันและรีเทนเนอร์: การรักษาความสะอาดของฟันและรีเทนเนอร์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสะสมของคราบแบคทีเรียที่อาจทำให้ฟันเคลื่อนได้

  4. พบทันตแพทย์ตามนัด: ควรพบทันตแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานะของฟันและรับคำแนะนำเพิ่มเติมในการรักษา

  5. ไม่ควรใช้ฟันกัดของแข็ง: การใช้ฟันกัดของแข็งอาจทำให้ฟันเคลื่อนที่ ควรหลีกเลี่ยงการกัดของแข็ง เช่น น้ำแข็ง หรือขนมแข็งๆ

สิ่งที่ควรทำเมื่อฟันเคลื่อนหลังจัดฟัน:

  1. ปรึกษาทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด: ทันตแพทย์จะประเมินระดับความรุนแรงของการเคลื่อนที่ของฟัน และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจมีตั้งแต่การปรับรีเทนเนอร์ การจัดฟันซ้ำ หรือวิธีการอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพฟันของคุณ
  2. ใส่รีเทนเนอร์อย่างเคร่งครัด: หากทันตแพทย์แนะนำให้ใส่รีเทนเนอร์ ก็ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนที่ไปมากกว่าเดิม และช่วยให้ฟันคงสภาพที่สวยงามได้นานที่สุด
  3. ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของฟันได้

วิธีป้องกันฟันเคลื่อนหลังจัดฟัน:

  • ใส่รีเทนเนอร์ตามคำแนะนำของทันตแพทย์: รีเทนเนอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการคงสภาพฟันหลังจัดฟัน ควรใส่ตามระยะเวลาและวิธีการที่ทันตแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
  • ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี: การแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และใช้น้ำยาบ้วนปากสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของฟันได้
  • ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ: ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ตามระยะเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อให้สามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและการรักษาที่ถูกต้อง

 

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

หมอทันตกรรม คือ

หมอทันตกรรม คือ

หมอทันตกรรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ทันตแพทย์” เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพช่องปากที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและรักษาฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อภายในช่องปาก ทันตแพทย์ไม่เพียงแค่ทำการรักษาฟันผุหรือถอนฟันเท่านั้น แต่ยังให้บริการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างครอบคลุม รวมถึงการให้คำปรึกษาและป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับช่องปาก

หน้าที่และความรับผิดชอบของหมอทันตกรรม

  1. การตรวจสุขภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะทำการตรวจเช็คสภาพฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในช่องปาก เพื่อประเมินสภาพสุขภาพและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  2. การทำความสะอาดฟัน: ขูดหินปูนและขัดฟันเพื่อป้องกันโรคเหงือกและฟันผุ
  3. การรักษาฟันผุ: อุดฟันที่มีการผุเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคฟันผุ
  4. การถอนฟัน: ถอนฟันที่ไม่สามารถรักษาได้หรือฟันที่มีปัญหาจนกระทบต่อสุขภาพช่องปาก
  5. การทำฟันปลอม: ทำฟันปลอมสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย
  6. การรักษารากฟัน: รักษารากฟันที่มีการติดเชื้อหรือลุกลามจนถึงเนื้อเยื่อภายใน
  7. การให้คำปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก การแปรงฟันที่ถูกต้อง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะสม

ความสำคัญของหมอทันตกรรม

  • ป้องกันโรคช่องปาก: การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคฟันผุ โรคเหงือก และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับช่องปาก
  • ส่งเสริมสุขภาพที่ดี: สุขภาพช่องปากที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพร่างกายทั้งหมด การมีฟันที่แข็งแรงและเหงือกที่สุขภาพดีจะช่วยให้สามารถบริโภคอาหารได้ดี และป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
  • การรักษาที่มีประสิทธิภาพ: การรักษาที่ถูกต้องและทันเวลาโดยทันตแพทย์จะช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเตรียมตัวก่อนพบหมอทันตกรรม

  1. ตรวจสอบสุขภาพช่องปากของตนเอง: ตรวจเช็คสภาพฟันและเหงือกว่ามีปัญหาหรือไม่
  2. ทำความสะอาดช่องปาก: แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันก่อนพบทันตแพทย์
  3. เตรียมข้อมูลสุขภาพ: แจ้งข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัว ให้ทันตแพทย์ทราบ

การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การพบหมอทันตกรรมเป็นประจำจะช่วยให้เรามีฟันและเหงือกที่แข็งแรง พร้อมทั้งป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

บัตร 30 บาท ทำฟันได้หรือไม่

บัตร 30 บาท ทำฟันได้หรือไม่

บัตรทอง 30 บาท หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ “บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า” เป็นสิ่งที่หลายคนได้รับเพื่อให้สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลพื้นฐานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ บัตรทอง 30 บาทสามารถใช้ในการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่? คำตอบคือ ใช่! แต่มีข้อกำหนดและข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ

ประเภทการรักษาทางทันตกรรมที่ครอบคลุม

  1. การตรวจสุขภาพช่องปาก: การตรวจฟันเพื่อประเมินสภาพสุขภาพช่องปากและการวางแผนการรักษา
  2. การขูดหินปูน: เพื่อป้องกันและรักษาโรคเหงือก
  3. การอุดฟัน: การอุดฟันที่มีการผุเบื้องต้น
  4. การถอนฟัน: การถอนฟันที่จำเป็น เช่น ฟันที่ผุรุนแรงจนไม่สามารถรักษาได้ หรือฟันคุดที่มีผลกระทบต่อสุขภาพช่องปาก
  5. การทำฟันปลอม: ในบางกรณีสามารถครอบคลุมการทำฟันปลอมแบบถอดได้ แต่มีข้อจำกัดที่จำนวนซี่ฟัน

วิธีการใช้บริการ

  1. ตรวจสอบสิทธิ์: ก่อนเข้ารับบริการ ควรตรวจสอบสิทธิ์บัตรทองของท่านว่าสามารถใช้บริการทางทันตกรรมได้หรือไม่
  2. ติดต่อสถานพยาบาล: ติดต่อสถานพยาบาลที่รับบัตรทองและมีบริการทางทันตกรรม เช่น โรงพยาบาลรัฐ คลินิกสุขภาพชุมชน หรือโรงพยาบาลทันตกรรม
  3. นัดหมาย: เนื่องจากบางสถานพยาบาลมีการรับผู้ป่วยจำกัด ควรนัดหมายล่วงหน้าเพื่อรับบริการ
  4. เตรียมเอกสาร: นำบัตรประชาชนและบัตรทองมาด้วยทุกครั้งที่เข้ารับบริการ

สิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุม:

บัตรทองครอบคลุมบริการทันตกรรมที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก ได้แก่

  • การตรวจและวินิจฉัยโรคในช่องปาก
  • การถอนฟัน
  • การอุดฟัน
  • ขูดหินปูน
  • การรักษาโรคเหงือก
  • การทำฟันปลอมฐานพลาสติก
  • การรักษาโพรงประสาทฟันน้ำนม (สำหรับเด็ก)
  • ผ่าฟันคุด (ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์)
  • เคลือบหลุมร่องฟัน (สำหรับเด็กและวัยรุ่น)

ความท้าทายและโอกาส:

แม้บัตรทองจะช่วยให้คนไข้เข้าถึงบริการทันตกรรมได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีความท้าทายที่เราต้องเผชิญร่วมกัน เช่น

  • ความรู้ความเข้าใจ: คนไข้บางส่วนอาจยังไม่ทราบว่าบัตรทองครอบคลุมบริการทันตกรรม หรืออาจไม่ทราบวิธีการใช้สิทธิ เราสามารถช่วยให้ความรู้และคำแนะนำแก่คนไข้ได้
  • การเข้าถึงบริการ: คนไข้ในพื้นที่ห่างไกลอาจยังประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการทันตกรรม เราสามารถร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการให้บริการในพื้นที่เหล่านี้
  • การส่งเสริมสุขภาพช่องปาก: นอกจากการรักษาแล้ว การส่งเสริมให้คนไข้ดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถให้คำแนะนำในการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ

ข้อจำกัดและคำแนะนำ

  • บัตรทองครอบคลุมการรักษาทางทันตกรรมพื้นฐานบางประเภทเท่านั้น การรักษาทางทันตกรรมที่มีความซับซ้อน เช่น การทำรากฟันเทียม หรือการจัดฟัน อาจไม่ครอบคลุม
  • ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการเกี่ยวกับรายละเอียดและข้อจำกัดของการใช้บัตรทองในการทำฟัน

การใช้บัตรทอง 30 บาทในการรักษาทางทันตกรรมเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพช่องปากพื้นฐาน ควรใช้สิทธิ์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เพื่อสุขภาพฟันที่ดีและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

การดูแลรักษาหลังการทำทันตกรรม

การดูแลรักษาหลังการทำทันตกรรม

การดูแลรักษาหลังการทำทันตกรรม เคล็ดลับเพื่อสุขภาพฟันที่ยั่งยืน
หลังจากการรับบริการทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟัน การทำรากฟันเทียม หรือการรักษาอื่น ๆ การดูแลรักษาฟันหลังการทำทันตกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ของการรักษามีประสิทธิภาพและคงทน มาดูวิธีการดูแลรักษาฟันหลังการทำทันตกรรมที่ควรรู้

การดูแลรักษาหลังการจัดฟัน

  1. การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน
    • ใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่มและแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง
    • ใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดระหว่างฟันและเครื่องมือจัดฟัน
  2. การเลือกอาหาร
    • หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เช่น ลูกอม และอาหารเหนียว เช่น กัมมี่ หรือคาราเมล
    • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพฟันและเหงือก
  3. การใส่รีเทนเนอร์
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ในการใส่รีเทนเนอร์ เพื่อรักษาตำแหน่งของฟันให้คงที่หลังการจัดฟันเสร็จสิ้น

การดูแลรักษาหลังการทำรากฟันเทียม

  1. การทำความสะอาดฟัน
    • แปรงฟันอย่างละเอียด โดยใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
    • ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย
  2. การตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ
    • เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสภาพรากฟันเทียมและสุขภาพช่องปากอย่างน้อยทุก 6 เดือน
  3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำลายรากฟันเทียม
    • หลีกเลี่ยงการใช้ฟันกัดสิ่งของแข็ง เช่น ปากกา หรือเล็บ
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่อาจทำให้รากฟันเทียมเสื่อมเร็วขึ้น

การดูแลรักษาหลังการทำฟันทั่วไป

  1. การแปรงฟันที่ถูกวิธี
    • ใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่มและแปรงฟันในแนวขนานกับเหงือก
    • แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารและก่อนนอน
  2. การใช้ไหมขัดฟัน
    • ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อทำความสะอาดระหว่างฟันและป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
  3. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพฟัน
    • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต และชีส เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากน้ำตาลเป็นสาเหตุของฟันผุ
  4. การตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ
    • เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและทำความสะอาดฟันทุก 6 เดือน หรือบ่อยกว่านั้นตามคำแนะนำของทันตแพทย์
การดูแลรักษาฟันหลังการทำทันตกรรมไม่เพียงแต่ช่วยรักษาผลลัพธ์ของการรักษา แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากที่ดีในระยะยาว การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์และดูแลสุขภาพฟันอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงตลอดไป
  สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก) #ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม