ทันตกรรมฉุกเฉินมีอะไรบ้าง

ทันตกรรมฉุกเฉิน มีอะไรบ้าง

ทันตกรรมฉุกเฉินครอบคลุมการรักษาที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับปัญหาทันตกรรมที่เฉียบพลันและร้ายแรง บางสถานการณ์ที่ต้องใช้การดูแลทันตกรรมฉุกเฉิน ได้แก่:

  1. ฟันหลุดหรือฟันหัก: การรักษาฟันที่หลุดหรือหักออกจากการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ.
  2. ฟันแตกหรือแตกร้าว: ฟันที่แตกหรือแตกร้าวต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือความเจ็บปวด.
  3. อาการปวดฟันรุนแรง: ปวดฟันที่รุนแรงและไม่หยุดยั้งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปัญหาอื่นๆ ที่ต้องได้รับการรักษาทันที.
  4. ฟันหรือเหงือกบวม: การบวมอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออักเสบที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์.
  5. การติดเชื้อรุนแรงในช่องปาก: เช่น การติดเชื้อที่เหงือก, ฐานฟัน, หรือกระดูก.
  6. การสูญเสียอุดฟันหรือครอบฟัน: การอุดฟันหรือครอบฟันที่หลุดออกอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ.
  7. กรณีเลือดออกไม่หยุด: เลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้หลังจากการถอนฟันหรืออุบัติเหตุ.
  8. โรคเหงือกอักเสบอย่างรุนแรง: เช่น โรคเหงือกและเนื้อเหงือกอักเสบที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและบวม.
  9. การสูญเสียฟันเทียม: ฟันเทียมหลุดหรือเสียหายต้องการการแก้ไขอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันปัญหาในการกินหรือพูด.
  10. อาการเจ็บปวดหลังการรักษาทันตกรรม: เช่น ความเจ็บปวดหลังการอุดฟันหรือการรักษาคลองรากฟัน.

ในกรณีที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินทางทันตกรรม, สิ่งสำคัญคือต้องติดต่อทันตแพทย์หรือไปยังคลินิกทันตกรรมฉุกเฉินโดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที.

ทันตกรรมฉุกเฉิน คือ ภาวะที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทันตกรรมทันที เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟัน หรืออาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

ภาวะทันตกรรมฉุกเฉินที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดฟันรุนแรง อาจเป็นสาเหตุจากฟันผุ ฟันแตก ฟันคุดอักเสบ หรือเหงือกอักเสบ เป็นต้น
  • เลือดออกในช่องปาก อาจเป็นสาเหตุจากฟันผุ ฟันแตก เหงือกอักเสบ หรืออุบัติเหตุ เป็นต้น
  • ฟันหักหรือหลุด อาจเป็นสาเหตุจากอุบัติเหตุ เป็นต้น
  • ขากรรไกรค้าง อาจเป็นสาเหตุจากอุบัติเหตุ หรือโรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น
  • ปัญหาเกี่ยวกับทันตเทียม เช่น ฟันปลอมหลุด ฟันปลอมหลวม หรือฟันปลอมแตก เป็นต้น

หากมีอาการทันตกรรมฉุกเฉิน ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที

การรักษาทันตกรรมฉุกเฉินอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุของอาการ โดยทันตแพทย์อาจใช้วิธีการต่างๆ เช่น

  • การให้ยาแก้ปวด
  • การอุดฟันชั่วคราว
  • การถอนฟัน
  • การเย็บแผล
  • การรักษารากฟัน
  • การเปลี่ยนทันตเทียม เป็นต้น

การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการทันตกรรมฉุกเฉิน สามารถทำได้ดังนี้

  • รับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • ใช้น้ำเกลือล้างช่องปาก เพื่อทำความสะอาดและลดอาการอักเสบ
  • ประคบเย็นบริเวณที่ปวด เพื่อลดอาการบวม
  • รับประทานอาหารที่นิ่มๆ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนฟันที่เสียหาย

หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันที

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน BPDC DENTAL

ปัจจัยในการเลือกคลินิกทันตกรรม

การเลือกคลินิกทันตกรรมที่เหมาะสมสำหรับคุณนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ควรพิจารณา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดตามความต้องการของคุณ:

  1. ความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์: ควรเลือกคลินิกที่มีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่คุณต้องการการดูแล, เช่น ทันตกรรมเพื่อความงาม, การจัดฟัน, หรือทันตกรรมเด็ก.
  2. คุณภาพของการบริการ: อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการเพื่อประเมินคุณภาพของการบริการ, ทั้งในแง่ของการดูแลผู้ป่วยและผลลัพธ์หลังการรักษา.
  3. เทคโนโลยีและอุปกรณ์: คลินิกที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและอุปกรณ์ครบครันมักจะสามารถให้การรักษาที่ดีและแม่นยำกว่า.
  4. ความสะดวกสบายและสภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่สะอาด, สบาย, และเป็นมิตรสามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายในระหว่างการรับการรักษา.
  5. สถานที่ตั้ง: ควรพิจารณาคลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางของคุณ.
  6. ค่าใช้จ่าย: ตรวจสอบค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงิน เช่น การใช้ประกันสุขภาพหรือโปรแกรมการชำระเงินที่มีความยืดหยุ่น.
  7. การเข้าถึงข้อมูล: คลินิกที่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายเกี่ยวกับการรักษา, ค่าใช้จ่าย, และขั้นตอนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ.
  8. บริการหลังการรักษา: คลินิกที่มีบริการดูแลหลังการรักษาที่ดีสามารถช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังจากการรักษา.
  9. การรับรองและการรับรองมาตรฐาน: คลินิกที่มีการรับรองจากองค์กรมาตรฐานทันตกรรมมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง.
  10. การสื่อสารและการบริการ: ความสามารถในการสื่อสารกับทันตแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายเป็นสิ่งสำคัญ.

การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกคลินิกทันตกรรมที่ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของคุณได้อย่างดีที่สุด.

นอกจากนี้ ยังสามารถพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมตามความสำคัญ เช่น บรรยากาศภายในคลินิก พนักงานต้อนรับ ฯลฯ

ตัวอย่างคำถามที่ควรถามทันตแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ของคลินิกก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ ได้แก่

  • คลินิกมีใบอนุญาตประกอบกิจการทันตกรรมที่ถูกต้องหรือไม่
  • ทันตแพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรมที่ถูกต้องหรือไม่
  • ทันตแพทย์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษาประเภทที่เราต้องการหรือไม่
  • คลินิกมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยหรือไม่
  • คลินิกมีราคาการรักษาที่เหมาะสมกับงบประมาณของเราหรือไม่
  • คลินิกมีบริการหลังการรักษาหรือไม่

โดยควรสอบถามคำถามเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและมั่นใจว่าจะได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เหตุใดทำให้ต้องรักษารากฟัน

เหตุใดทำให้ต้องรักษารากฟัน

การรักษารากฟัน (root canal treatment) คือการรักษาฟันที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบที่เนื้อฟันและรากฟัน มีหลายสาเหตุที่ทำให้ต้องทำการรักษารากฟัน ดังนี้

  • ฟันผุลึกจนทะลุโพรงประสาทฟัน ฟันผุเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดที่ทำให้ต้องรักษารากฟัน เมื่อฟันผุลึกจนทะลุถึงโพรงประสาทฟัน แบคทีเรียก็จะเข้าสู่โพรงประสาทฟันและทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อของเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน ส่งผลให้เกิดอาการปวดฟัน เสียวฟัน เหงือกบวม มีหนอง หรืออาจรุนแรงถึงขั้นต้องถอนฟัน
  • ฟันแตกหัก ฟันแตกหักอาจทำให้โพรงประสาทฟันเปิดออก ส่งผลให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงประสาทฟันและเกิดการอักเสบและติดเชื้อ เช่นเดียวกับฟันผุลึก
  • ฟันที่ได้รับแรงกระแทก ฟันที่ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงอาจทำให้รากฟันแตกหรือฉีกขาด ส่งผลให้โพรงประสาทฟันเปิดออกและเกิดการอักเสบและติดเชื้อ
  • ฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ ฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ เช่น ถูกฟันซี่อื่นกระแทกหรือถูกวัตถุแข็งกระแทก อาจทำให้โพรงประสาทฟันเสียหาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ

การรักษารากฟันเป็นกระบวนการที่ทันตแพทย์จะทำการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน จากนั้นจึงทำการอุดตันโพรงประสาทฟันด้วยวัสดุอุดฟันหรือวัสดุเรซิน เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงประสาทฟันซ้ำอีก การรักษารากฟันสามารถช่วยให้ฟันที่มีปัญหาสามารถคงอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ต้องถอนฟัน

นอกจากการรักษารากฟันแล้ว การป้องกันฟันผุและฟันแตกหักก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการต้องรักษารากฟัน สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพฟันและช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง วันละ 2 นาที ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและช่องปากเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

ประโยชน์ของการรักษารากฟัน

การรักษารากฟัน (root canal treatment) มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้:

  1. บันทึกฟัน: การรักษารากฟันช่วยในการบันทึกฟันที่มีการเสียหายจากการติดเชื้อ โดยไม่ต้องถอนฟันออก ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ฟันสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม
  2. ป้องกันการติดเชื้อแพร่กระจาย: การเอาเนื้อฟันและเส้นประสาทที่ติดเชื้อออกจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของการติดเชื้อไปยังช่องฟันอื่น ๆ หรือไปยังกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆฟัน
  3. ประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ: การรักษารากฟันแล้วเติมฟันครอบ (crown) อาจมีราคาต่ำกว่าการถอนฟันและวางฟันเทียม
  4. ลดอาการปวด: การรักษารากฟันเป็นวิธีการที่เป็นประโยชน์ในการลดหรือหายไปของอาการปวดจากฟันที่ติดเชื้อ
  5. คืนความมั่นใจ: การบันทึกฟันทำให้คนสามารถยิ้มและพูดคุยได้ด้วยความมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียฟัน
  6. การบำรุงรักษาฟังก์ชันการเคี้ยว: การมีฟันครบชุดทำให้การเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  7. ป้องกันการเลื่อนลงของฟันอื่น ๆ: เมื่อฟันถูกถอนออก, ฟันที่อยู่รอบๆอาจจะเริ่มเลื่อนลงมาที่ช่องว่าง การรักษารากฟันช่วยในการป้องกันปัญหานี้
  8. ป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบ: การทำความสะอาดและปิดช่องฟันโดยการรักษารากฟันช่วยป้องกันการเกิดการติดเชื้อและการอักเสบในอนาคต
  9. ความสะดวก: การรักษารากฟันทั้งหมดสามารถทำได้ภายในไม่กี่ครั้ง ทำให้การรักษานี้เป็นทางเลือกที่สะดวกสบายและเวลาในการรักษาไม่ยาวนาน

การรักษารากฟันเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับฟันที่มีการเสียหายจากการติดเชื้อ และช่วยในการคืนความสุขภาพฟันในระยะยาว.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เปรียบเทียบรากฟันจริงกับรากฟันเทียม

เปรียบเทียบรากฟันจริงกับรากฟันเทียม

รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกร แต่มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

คุณสมบัติรากฟันจริงรากฟันเทียม
วัสดุกระดูกธรรมชาติไททาเนียม
กระบวนการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่าตัดฝังรากเทียม
เวลาในการฝังไม่จำเป็นใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน
การดูดซึมอาหารได้เต็มที่ได้เต็มที่
ความรู้สึกใกล้เคียงธรรมชาติใกล้เคียงธรรมชาติ
ความคงทนยาวนานยาวนาน
ราคาไม่แพงแพงกว่า


รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกร แต่มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

คุณสมบัติรากฟันจริงรากฟันเทียม
วัสดุกระดูกธรรมชาติไททาเนียม
กระบวนการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่าตัดฝังรากเทียม
เวลาในการฝังไม่จำเป็นใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน
การดูดซึมอาหารได้เต็มที่ได้เต็มที่
ความรู้สึกใกล้เคียงธรรมชาติใกล้เคียงธรรมชาติ
ความคงทนยาวนานยาวนาน
ราคาไม่แพงแพงกว่า

drive_spreadsheetส่งออกไปยังชีต

รากฟันจริง

รากฟันจริงเป็นโครงสร้างที่เจริญเติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยกระดูกและเนื้อเยื่อที่แข็งแรง ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกรได้อย่างมั่นคง ช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รากฟันจริงยังช่วยให้กระดูกขากรรไกรแข็งแรงและคงรูป ไม่เกิดการละลาย

รากฟันเทียม

รากฟันเทียมเป็นวัสดุทดแทนรากฟันจริง ผลิตจากไททาเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี รากฟันเทียมจะถูกฝังลงไปในกระดูกขากรรไกร จากนั้นจึงทำการยึดครอบฟันหรือสะพานฟันลงไปบนรากเทียม รากฟันเทียมช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใกล้เคียงกับรากฟันจริง อย่างไรก็ตาม รากฟันเทียมมีราคาสูงกว่ารากฟันจริง

ข้อบ่งชี้ในการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมสามารถทำได้ในผู้ที่สูญเสียฟันไป 1-3 ซี่ บริเวณฟันหน้าหรือฟันหลัง ผู้ที่ไม่สามารถรักษารากฟันได้ หรือผู้ที่มีปัญหากระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรง

ข้อดีและข้อเสียของการทำรากฟันเทียม

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • ช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใกล้เคียงกับรากฟันจริง
  • คงทนยาวนาน

ข้อเสียของการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • มีราคาสูงกว่ารากฟันจริง
  • ใช้เวลาในการฝังรากเทียมนาน
  • อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

สรุป

รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป รากฟันจริงเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่รากฟันเทียมเป็นวัสดุทดแทนที่มีประสิทธิภาพและใกล้เคียงกับรากฟันจริง อย่างไรก็ตาม รากฟันเทียมมีราคาสูงกว่ารากฟันจริง การเลือกทำรากฟันเทียมหรือรากฟันจริงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพสุขภาพฟัน งบประมาณ และความต้องการของผู้ป่วย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

สาเหตุจากฟันผุ

สาเหตุจากฟันผุ เกิดจากอะไรบ้าง

ฟันผุเกิดจากการที่แบคทีเรียในปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่บนฟัน โดยเฉพาะของหวาน ทำให้เกิดกรดที่ทำลายเอนาเมล์ฟันและเริ่มทำให้ฟันผุ สาเหตุที่ทำให้ฟันผุเกิดขึ้นมีดังนี้

สาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุ ได้แก่

  • การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก แบคทีเรียจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรด
  • การแปรงฟันและ floss ฟันไม่สะอาด เศษอาหารและแบคทีเรียที่เกาะอยู่บนฟันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดฟันผุ
  • การมีโรคเหงือก โรคเหงือกทำให้เหงือกร่นและฟันโยกคลอน ฟันที่โยกคลอนจะทำความสะอาดได้ยาก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุมากขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านการอักเสบ ยารักษาโรคเบาหวาน อาจทำให้ฟันผุได้ง่ายขึ้น
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม บางคนมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุมากกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม
  • ประจำประวัติการทานอาหารหวาน: การบริโภคอาหารหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าไม่ขจัดเศษอาหารหรือล้างปากหลังการทาน
  • การเข้าถึงน้ำดื่มที่ไม่มีฟลูออไรด์: น้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์ทำให้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของฟัน ซึ่งลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุ
  • การไม่ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์: ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์สามารถช่วยป้องกันฟันผุ
  • การล้างปากไม่ถูกวิธี: การไม่สามารถล้างเศษอาหารออกจากพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง เช่น ระหว่างฟัน, อาจทำให้เกิดฟันผุ
  • การไม่ได้ใช้ด้ายเขียนฟัน: ซึ่งช่วยในการขจัดเศษอาหารและคราบปะปนระหว่างฟัน
  • ประวัติการสูบบุหรี่และดื่มสุรา: ทั้งสองสิ่งนี้สามารถลดน้ำลายและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ
  • การไม่ไปตรวจสุขภาพฟันและปาก: การตรวจสุขภาพฟันและปากเป็นประจำทำให้สามารถตรวจพบปัญหาในระยะเริ่มแรกและรักษาได้ทันท่วงที
  • การมีปัญหาสุขภาพปากและฟัน: เช่น ฟันขัดแตะ, การกรายฟัน, หรือการมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือก
  • โรคหรือยาที่กระทบต่อการสร้างน้ำลาย: น้ำลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยล้างและปกป้องฟันจากฟันผุ
  • อายุ: กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ อาจมีความเสี่ยงต่อฟันผุสูงกว่าปกติ

วิธีป้องกันฟันผุ ได้แก่

  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที และ floss ฟันอย่างน้อยวันละครั้ง
  • รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ เลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลต่ำหรือปราศจากน้ำตาล
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ทันตแพทย์สามารถตรวจหาฟันผุได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาได้ก่อนที่จะลุกลาม

นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยป้องกันฟันผุได้ เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟลูออไรด์ การใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ หรือการอุดฟันป้องกันฟันผุ

วิธีป้องกันฟันผุ

การป้องกันฟันผุสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างถูกต้องและเป็นประจำ นี่คือวิธีป้องกันฟันผุ:

  1. การล้างฟันอย่างถูกต้อง: ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และล้างฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังการทานอาหารและก่อนนอน
  2. ใช้ด้ายเขียนฟัน: ช่วยล้างเศษอาหารและคราบปะปนระหว่างฟันและภายในเขตเหงือก
  3. ปากน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์: น้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์จะช่วยในการป้องกันฟันผุ โดยฟลูออไรด์ช่วยในการบำรุงและป้องกันการเกิดการทำลายฟัน
  4. ป้องกันน้ำตาล: จำกัดการบริโภคอาหารหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะเป็นแหล่งที่แบคทีเรียในปากใช้ในการผลิตกรดที่ทำลายฟัน
  5. ประจำการตรวจสุขภาพฟันและปาก: ควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยทุก 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพฟันและปาก และทำการขัดฟันเป็นประจำ
  6. การใช้แก้วน้ำ: ในกรณีที่ทานอาหารหวาน ควรทานน้ำหรือใช้แก้วน้ำหลังจากการบริโภค เพื่อช่วยล้างคราบที่ตกค้างบนฟัน
  7. ควบคุมความเป็นกรดของอาหารและเครื่องดื่ม: จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีความเป็นกรดสูง เช่น น้ำผลไม้, ขนมหวาน
  8. ใช้ยาสีฟันเฉพาะสำหรับฟันผุ: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงของฟันผุ ควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงหรือยาสีฟันเฉพาะสำหรับฟันผุ
  9. การใช้มาส์กป้องกันในกีฬา: สำหรับคนที่มีความเสี่ยงจากการโดนทำร้ายฟันในกีฬา ควรใช้มาส์กป้องกันฟัน
  10. การใช้เฟืองป้องกันกรายฟัน (night guard): สำหรับคนที่กรายฟันในเวลากลางคืน

การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของฟันผุ การรักษาสุขภาพฟันและปากอย่างถูกต้องและเป็นประจำจะช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ.

.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันเทียม คืออะไร

รากฟันเทียม คืออะไร


รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวิธีการฟื้นฟูฟันที่สูญหายโดยใช้โครงสร้างเป็นเหล็กไททาเนียม ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมือนกับรากฟันจริง โดยรากฟันเทียมจะถูกฝังเข้าไปในกระดูกของท้องปาก และหลังจากนั้นจะมีกระบวนการรักษาประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้กระดูกท้องปากยึดกับรากฟันเทียมได้แน่นหนา

ประเภทของรากฟันเทียม

รากฟันเทียมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

  • รากฟันเทียมแบบเดี่ยว เหมาะสำหรับการทดแทนฟันที่หายไปเพียงซี่เดียว
  • รากฟันเทียมแบบหลายซี่ เหมาะสำหรับการทดแทนฟันที่หายไปหลายซี่หรือทั้งแถว

ขั้นตอนการรักษารากฟันเทียม

ขั้นตอนการรักษารากฟันเทียมมีดังนี้

  1. ทันตแพทย์จะทำการประเมินสภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรของคนไข้
  2. หากกระดูกขากรรไกรแข็งแรงเพียงพอ ทันตแพทย์จะฝังรากเทียมลงไปในกระดูก
  3. รอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
  4. เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกแล้ว ทันตแพทย์จะใส่ฟันปลอมหรือครอบฟันลงไปบนรากเทียม

ข้อดีของรากฟันเทียม

  • มีความแข็งแรงและทนทาน
  • สามารถบดเคี้ยวอาหารได้เหมือนฟันธรรมชาติ
  • มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  • ช่วยป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร

ข้อเสียของรากฟันเทียม

  • มีค่าใช้จ่ายสูง
  • ใช้เวลาในการรักษานาน
  • อาจมีอาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อยหลังการผ่าตัด

ข้อควรพิจารณาก่อนทำรากฟันเทียม

  • ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม
  • เตรียมตัวรักษาโดยดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดและแข็งแรง
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการผ่าตัด

การดูแลรักษารากฟันเทียม

หลังทำรากฟันเทียมแล้ว คนไข้ควรดูแลรักษารากฟันเทียมให้ดี ดังนี้

  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรากฟันเทียมเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการกัดของแข็ง

รากฟันเทียมเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถทดแทนฟันที่สูญเสียไปได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

แก้ปัญหาลูกกลัวหมอฟันอย่างไรดีนะ

แก้ปัญหาลูกกลัวหมอฟันอย่างไรดีนะ


การที่เด็กกลัวหมอฟันเป็นสิ่งที่ปกติและพบเจอบ่อย สาเหตุอาจมาจากความกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก, ความปวด, ความไม่สะดวกสบายจากการรักษา, หรืออาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ร้ายกับหมอฟันก่อนหน้านี้ ดังนั้น, การช่วยเสริมความเชื่อมั่นและทำให้เด็กรู้สึกสบายใจเมื่อต้องไปพบหมอฟันเป็นสิ่งสำคัญ วิธีการที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้มีดังนี้:

หากลูกของคุณกลัวหมอฟัน คุณสามารถลองทำตามวิธีต่อไปนี้เพื่อช่วยให้พวกเขาลดความกลัวลงได้

  1. สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการทำฟัน

เริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับการทำฟันอย่างสม่ำเสมอ อธิบายว่าการทำฟันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพช่องปากและฟันของพวกเขา บอกลูกของคุณว่าการทำฟันจะไม่เจ็บปวด และคุณจะอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดกระบวนการ

  1. บอกความจริงกับลูกของคุณ

หลีกเลี่ยงการพูดจาหลอกลวงหรือสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามเกี่ยวกับการทำฟัน อธิบายกับลูกของคุณอย่างตรงไปตรงมาว่าการทำฟันอาจต้องมีการใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น เข็มฉีดยาหรือเครื่องมือขัดฟัน บอกลูกของคุณว่าคุณเข้าใจว่าพวกเขาอาจรู้สึกกลัว แต่คุณจะช่วยพวกเขาผ่านกระบวนการนี้

  1. สร้างความคุ้นเคยระหว่างลูกกับคุณหมอ

พาลูกของคุณไปพบทันตแพทย์เด็กตั้งแต่อายุยังน้อย นัดหมายครั้งแรกควรเป็นการนัดหมายเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเท่านั้น ไม่ควรมีการทำฟันใดๆ ในช่วงนัดหมายแรก สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกของคุณทำความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และคลินิกทันตกรรม

  1. หยุดให้รางวัลลูกทุกครั้งที่มาหาหมอฟัน

การให้รางวัลลูกทุกครั้งที่มาหาหมอฟันอาจทำให้ลูกของคุณเชื่อมโยงการทำฟันกับความคาดหวังในการได้รับรางวัล แทนที่จะให้รางวัล ให้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน

  1. หยุดข่มขู่เพื่อให้ลูกรู้สึกกลัว

หลีกเลี่ยงการพูดจาข่มขู่หรือทำให้ลูกรู้สึกกลัวเกี่ยวกับการทำฟัน เช่น การพูดว่า “ถ้าดื้อเดี๋ยวพาไปหาหมอฟันนะ” การพูดจาเหล่านี้จะทำให้ลูกของคุณรู้สึกกลัวการทำฟันมากขึ้น

  1. สอนลูกดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี

การดูแลช่องปากอย่างถูกวิธีจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ สอนลูกของคุณแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง

หากลูกของคุณกลัวหมอฟันมากจนไม่สามารถไปพบหมอฟันได้ คุณอาจลองปรึกษาจิตแพทย์เด็กเพื่อขอความช่วยเหลือ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคโนโลยี Air Abrasion

เทคโนโลยี Air Abrasion

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลมแรงพ่นอนุภาคขนาดเล็กของวัสดุขัดฟันเพื่อขจัดคราบหินปูน ฟันผุ และคราบจุลินทรีย์ออกจากผิวฟัน เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการเดียวกับการขัดฟันด้วยสายยาง แต่มีความละเอียดมากกว่า จึงสามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน

เทคโนโลยี Air Abrasion มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ความแม่นยำ สามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน
  • ความสะดวก ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • ความสบาย ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง

เทคโนโลยี Air Abrasion นิยมใช้ในการรักษาทางทันตกรรมหลายประเภท เช่น

  • การขูดหินปูน
  • การอุดฟัน
  • การฟอกฟันขาว
  • การเตรียมฟันเพื่อใส่รากฟันเทียม

เทคโนโลยี Air Abrasion กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการทันตกรรม ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถให้บริการทางทันตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของเทคโนโลยี Air Abrasion ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  • เครื่อง Air Abrasion ประกอบด้วยถังบรรจุวัสดุขัดฟัน หัวฉีดลม และหัวฉีดวัสดุขัดฟัน
  • วัสดุขัดฟัน โดยทั่วไปเป็นอนุภาคขนาดเล็กของอลูมิเนียมออกไซด์หรือซิลิกา
  • ลมแรง ใช้ในการพ่นอนุภาควัสดุขัดฟันออกจากหัวฉีด

ขั้นตอนการขจัดคราบหินปูนด้วยเทคโนโลยี Air Abrasion มีดังนี้

  1. ทันตแพทย์จะสวมหน้ากากป้องกันและแว่นตาป้องกันให้กับผู้ป่วย
  2. ทันตแพทย์จะเลือกหัวฉีดที่เหมาะสมกับการรักษา
  3. ทันตแพทย์จะปรับแรงลมและปริมาณวัสดุขัดฟันที่เหมาะสม
  4. ทันตแพทย์จะพ่นอนุภาควัสดุขัดฟันไปยังบริเวณที่ต้องการขจัดคราบหินปูน
  5. ทันตแพทย์จะตรวจสอบความสะอาดของผิวฟัน

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้สึกสบายตัวระหว่างการรักษาและไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Air Abrasion ได้แก่

  • สามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • สามารถใช้ในการรักษาทางทันตกรรมหลายประเภท

ข้อจำกัดของเทคโนโลยี Air Abrasion ได้แก่

  • ราคาเครื่องมือและวัสดุค่อนข้างสูง
  • อาจต้องใช้ยาชาในบางกรณี

โดยสรุป เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการรักษาทางทันตกรรม ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา และช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวยิ่งขึ้น

Air Abrasion ข้อดีข้อเสีย

“Air Abrasion” เป็นเทคนิคในการรักษาฟันโดยไม่ใช้ดอกเจาะฟัน แต่ใช้เครื่องฉีดอนุภาคเล็กๆ เช่น แอลูมินา (aluminum oxide) เพื่อนำออกส่วนที่เสื่อมหรือเปลี่ยนสีของฟัน ดังนั้นมีข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้:

ข้อดี:

  1. ไม่สร้างเสียง: ผู้ป่วยจะไม่รับรู้เสียงเจาะจิ๊กที่เกิดจากเครื่องเจาะฟัน, ทำให้ผู้ป่วยมีความสบายและไม่รู้สึกกังวล
  2. ลดความรู้สึกเจ็บ: ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกน้อยลงเมื่อเทียบกับการเจาะฟัน
  3. ไม่ต้องการยาระงับปวด: ในบางกรณี, การรักษาด้วย Air Abrasion ไม่ต้องการยาระงับปวด
  4. ความแม่นยำ: สามารถทำการขูดเอาเฉพาะส่วนที่เสื่อมโดยไม่กระทบกับส่วนที่สมบูรณ์
  5. การรักษาเร็ว: เนื่องจากไม่จำเป็นต้องรอยาระงับปวดให้เริ่มทำผล

ข้อเสีย:

  1. ข้อจำกัดทางเทคนิค: Air Abrasion ไม่สามารถใช้ในการรักษาฟันที่มีการเสียหายอย่างหนัก หรือในการทำงานที่ต้องการการขุดลึก
  2. ความรู้สึกไม่สบาย: การฉีดอนุภาคอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือแรงดันลมเย็นสู้ฟัน
  3. ความต้องการอุปกรณ์: คลินิกทันตกรรมต้องมีเครื่อง Air Abrasion และอุปกรณ์สนับสนุนที่สำคัญ เพื่อให้สามารถให้บริการด้วยเทคนิคนี้
  4. ค่าใช้จ่าย: อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในการซื้อและบำรุงรักษาอุปกรณ์
  5. ความฝุ่น: การใช้ Air Abrasion อาจทำให้มีฝุ่นขึ้นมากขึ้น ทำให้ต้องมีการดูแลเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมภายในห้องรักษา

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทันตกรรมนำมาใช้งาน แต่การตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษาควรพิจารณาจากข้อดีและข้อเสีย และความเหมาะสมกับกรณีรักษาของแต่ละคน.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคโนโลยี CADCAM คืออะไร

เทคโนโลยี CAD/CAM คืออะไร

เทคโนโลยี CAD/CAM คือระบบที่ส่งผลระหว่างการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ (CAD) และการผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CAM) เพื่อใช้ในการสร้างหรือผลิตสิ่งต่างๆ

  • CAD (Computer-Aided Design): เป็นการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในการสร้างหรือวาดรูปแบบ 3 มิติ (3D) ของวัตถุหรือสิ่งที่ต้องการผลิต
  • CAM (Computer-Aided Manufacturing): เป็นการใช้ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการผลิตสิ่งนั้นๆ ตามที่ได้รับการออกแบบจาก CAD

ในวงการทันตกรรม, เทคโนโลยี CAD/CAM ได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างฟันเทียม, ครอบฟัน, และอุปกรณ์ทันตกรรมต่างๆ การใช้ระบบนี้ช่วยลดเวลาในการผลิตฟันเทียมลง และยังสามารถทำให้ได้ฟันเทียมที่มีความแม่นยำและเข้ากับฟันของผู้ป่วยได้ดีมากขึ้น

เทคโนโลยี CAD/CAM มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ความแม่นยำ ชิ้นงานที่ทำด้วยเทคโนโลยี CAD/CAM มีความแม่นยำสูง เนื่องจากใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบและควบคุมการผลิต
  • ความรวดเร็ว การผลิตชิ้นงานด้วยเทคโนโลยี CAD/CAM สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถคำนวณและควบคุมกระบวนการผลิตได้อัตโนมัติ
  • ความยืดหยุ่น เทคโนโลยี CAD/CAM สามารถใช้ในการผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูงและหลากหลายรูปแบบ

เทคโนโลยี CAD/CAM นิยมใช้ในการผลิตชิ้นงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นต้น

ในอุตสาหกรรมทันตกรรม เทคโนโลยี CAD/CAM นิยมใช้ในการผลิตชิ้นงานทันตกรรม เช่น ครอบฟัน สะพานฟัน รากฟันเทียม เป็นต้น เทคโนโลยี CAD/CAM ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถผลิตชิ้นงานทันตกรรมที่มีความแม่นยำและสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาในการผลิตชิ้นงานทันตกรรมอีกด้วย

ตัวอย่างเทคโนโลยี CAD/CAM ในอุตสาหกรรมทันตกรรม ได้แก่

  • เครื่องสแกนฟันดิจิทัล (Digital Dental Scanner) ใช้สแกนฟันของคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน 3 มิติ
  • เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printer) ใช้พิมพ์ชิ้นงานทันตกรรมจากแบบจำลอง 3 มิติ
  • เครื่องกัด CNC (Computer Numerical Control) ใช้กัดชิ้นงานทันตกรรมจากวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก โลหะ เป็นต้น

เทคโนโลยี CAD/CAM กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมทันตกรรม ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถให้บริการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของเทคโนโลยี CAD/CAM ในทันตกรรม:

  1. ความแม่นยำ: ด้วยการออกแบบดิจิทัล, ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความแม่นยำและเข้ากับฟันของผู้ป่วยได้ดี
  2. ความรวดเร็ว: สามารถผลิตฟันเทียมหรือครอบฟันได้ภายในวันเดียว
  3. ลดความต้องการใช้กิ๊บ: ไม่จำเป็นต้องใช้กิ๊บที่มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย
  4. ความทนทาน: ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากระบบนี้มีคุณภาพและความทนทานสูง

เทคโนโลยี CAD/CAM (Computer-Aided Design/Computer-Aided Manufacturing) ในทันตกรรมเป็นการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกแบบและผลิตฟันเทียม, ครอบฟัน, และสิ่งทอนัยยะสนับสนุนต่างๆ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

ข้อดี:

  1. ความแม่นยำ: เนื่องจากเป็นการออกแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์, สามารถรับประกันได้ว่าฟันเทียมที่สร้างขึ้นจะตรงกับความต้องการของผู้ป่วยอย่างแม่นยำ
  2. ความรวดเร็ว: สามารถผลิตฟันเทียมหรือครอบฟันภายในเวลาที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการดั้งเดิม
  3. ลดความต้องการใช้กิ๊บ: ไม่จำเป็นต้องสร้างกิ๊บ (dental impressions) ในบางกรณี, ลดความไม่สบายสำหรับผู้ป่วย
  4. การปรับเปลี่ยน: การแก้ไขหรือการปรับเปลี่ยนแบบฟันเทียมเป็นเรื่องง่ายเมื่อใช้ระบบ CAD/CAM
  5. ความทนทาน: ฟันเทียมที่ผลิตด้วยระบบนี้มักจะมีคุณภาพและความทนทานสูง

ข้อเสีย:

  1. ราคา: อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ CAD/CAM มักจะมีราคาสูง, ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
  2. การฝึกอบรม: การใช้งานซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เหล่านี้ต้องการการฝึกอบรมเฉพาะเจาะจง
  3. ข้อจำกัดทางเทคนิค: ไม่สามารถใช้ในทุกกรณีการรักษา, บางรายการอาจต้องใช้วิธีดั้งเดิม
  4. การซ่อมแซม: หากเครื่องมีปัญหาหรือชำรุด, อาจต้องรอเวลาในการซ่อมแซมหรือหาอะไหล่ทดแทน
  5. การปรับตัว: สำหรับทันตแพทย์หรือทีมงานที่เคยใช้วิธีดั้งเดิม, อาจต้องใช้เวลาปรับตัวในการเรียนรู้และปรับใช้ระบบใหม่

รวมทั้งนี้, เทคโนโลยี CAD/CAM ยังคงได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความสะดวกสบายของทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วย.

เทคโนโลยี CAD/CAM ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของทันตแพทย์และแลปทันตกรรม ทำให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำในการรักษามากขึ้น.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นขั้นตอนที่ควรทำเป็นประจำเพื่อคอยตรวจสอบและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก โดยทั่วไปการตรวจสุขภาพช่องปากจะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้:

  1. ประวัติผู้ป่วย: ทันตแพทย์หรือผู้ช่วยทันตแพทย์จะถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพรวม, ประวัติสุขภาพช่องปาก, การใช้ยา, และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  2. ตรวจภายนอก: ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ช่องปาก เช่น ขากรรไกร, คอ, ริมฝีปาก เพื่อตรวจหาความผิดปกติหรืออาการของโรคต่างๆ
  3. ตรวจภายในช่องปาก: ทันตแพทย์จะตรวจสอบฟัน, เหงือก, ฟันคุด, เพดาน, ลิ้น, และด้านในของแก้ม เพื่อตรวจหาตำแหน่งที่มีการเสียดทาน, ฟันที่มีปัญหา, การอักเสบที่เหงือก, แผลหรือตุ่มที่อาจเป็นโรคมะเร็งช่องปาก
  4. ตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ: เช่น การใช้เครื่องวัดความลึกของร่องเหงือก เพื่อตรวจหาอาการของโรคเหงือก
  5. ถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ฟัน (X-ray): เพื่อตรวจหาปัญหาภายในเช่น การเปลี่ยนแปลงในกระดูกฟัน, ฟันฝัง, หรือการติดต่อกันของฟัน
  6. ทำความสะอาดฟัน: ถ้าเป็นการตรวจสุขภาพประจำปี มักจะมีการทำความสะอาดฟัน และอาจจะเก็บคราบหรือคราบปูนที่สะสมอยู่บนฟัน
  7. แนะนำการดูแลสุขภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟัน, การใช้ไหมขัดฟัน, และการดูแลสุขภาพช่องปากอื่นๆ
  8. วางแผนการรักษา: หากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก, ทันตแพทย์จะแนะนำแผนการรักษาและวิธีการแก้ไขปัญหา

การตรวจสุขภาพช่องปากควรทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพช่องปากของคุณอยู่ในสภาพที่ดี.

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องตรวจปีละกี่ครั้ง

การตรวจสุขภาพช่องปากที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสามารถช่วยในการตรวจจับและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือกในระยะเริ่มต้น ทำให้เกิดการรักษาที่เร็วขึ้น และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับผู้ที่มีสุขภาพช่องปากที่ดี:

  • ควรตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ปีละ 1-2 ครั้ง

สำหรับผู้ที่มีปัญหาทันตกรรมหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหา:

  • อาจต้องการการตรวจเป็นระยะทางสั้นกว่า ในบางกรณีอาจเป็นการตรวจทุก 3-6 เดือน

ผู้ที่ควรมีการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นระยะทางสั้นกว่าปกติ:

  1. ผู้ที่มีโรคเหงือก
  2. ผู้ที่มีประวัติการเกิดฟันผุ
  3. ผู้ที่สูบบุหรี่หรือใช้ยาสูบ
  4. ผู้ที่เป็นเบาหวาน
  5. ผู้ที่มีฟันแน่นเกินไป ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด
  6. ผู้ที่เคยได้รับการรักษาทันตกรรมหรือผ่าตัดฟันในช่องปาก

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยในการรักษาและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับความถี่ในการตรวจสุขภาพช่องปากที่เหมาะสมสำหรับสภาพของคุณ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม