จัดฟันต้องจัดกี่รอบ

จัดฟัน ต้องจัดกี่รอบ

การจัดฟันไม่ได้แบ่งตาม “รอบ” หรือ “เซสชัน” เป็นหลัก, แต่มักจะแบ่งตามระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดฟันเพื่อให้ฟันอยู่ในที่ต้องการ ระยะเวลาในการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับ:

  1. ความซับซ้อนของปัญหาฟัน: บางครั้งอาจเป็นเพียงการจัดฟันเล็กน้อย, แต่บางครั้งก็อาจเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลานาน
  2. เทคนิคการจัดฟัน: มีเทคนิคการจัดฟันหลายประเภท เช่น braces แบบประดิษฐ์, braces แบบใส, หรือแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ (เช่น Invisalign)
  3. ความร่วมมือของผู้รับการรักษา: การเข้าพบทันตแพทย์ตามนัด และการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลฟันเป็นสิ่งสำคัญ

โดยทั่วไป, การจัดฟันด้วย braces แบบประดิษฐ์ หรือ braces แบบใส มักต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหา แต่หากเป็นแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ เช่น Invisalign การรักษาอาจสั้นลงเป็น 6-18 เดือน ในกรณีที่ฟันมีปัญหาเล็กน้อย

แต่อย่างไรก็ตาม, ควรปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความต้องการและสถานะฟันของคุณเพื่อประเมินระยะเวลาและขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสม.

จัดฟัน ขั้นตอน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการเวลานานและการดูแลจากทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อปรับปรุงการจัดวางของฟันและกรามฟันให้เป็นเส้นตรงและสวยงามขึ้น ขั้นตอนในการจัดฟันประกอบด้วย:

  1. การประเมิน: ก่อนเริ่มการจัดฟัน คุณต้องประเมินสภาพฟันและกระดูกฟัน ซึ่งอาจรวมถึงการถ่ายภาพ X-ray ของฟัน, การสร้างรูปฟันจากโมเดล และการตรวจสอบประวัติสุขภาพช่องปาก
  2. การวางแผนการรักษา: ทันตแพทย์จัดฟันจะเสนอแผนการรักษา รวมถึงการเลือกวิธีการจัดฟัน อาจเป็น braces แบบดั้งเดิม, Invisalign, หรือวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาของคุณ
  3. การติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน: หากคุณเลือกใช้ braces, ทันตแพทย์จะติดตั้งและปรับเครื่องมือจัดฟันตามการวางแผนการรักษาที่กำหนดไว้
  4. การปรับเครื่องมือจัดฟัน: คุณจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน ทุกๆ 4-6 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำ
  5. การดูแลรักษาระหว่างการจัดฟัน: ควรทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำจากทันตแพทย์ เพื่อให้กระบวนการจัดฟันเป็นผล
  6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน: เมื่อเสร็จสิ้นการรักษา ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟันออก และให้คุณใส่ retainers หรือเครื่องมือที่ช่วยรักษาการจัดวางของฟันให้คงที่
  7. การใช้ Retainers: หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟัน คุณจะต้องใส่ retainers เพื่อป้องกันฟันย้ายกลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยปกติจะต้องใส่เต็มวันในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดลงเป็นเฉพาะเวลากลางคืน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการความอดทนและความร่วมมือจากผู้รับการรักษา การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์และการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การรักษาเป็นผลดีที่สุด.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันซ้อน แก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง

ฟันซ้อน แก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง

ฟันซ้อนหรือ Overlapping Teeth คือฟันที่ซ้อนทับกัน และมักเกิดจากการขาดพื้นที่ในโครงกระดูกที่ฟันขึ้น ฟันซ้อนสามารถทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพช่องปาก และแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการทำความสะอาดฟันที่ถูกฟันอื่น ๆ ทับท่วม ซึ่งสามารถทำให้เกิดฟันผุ โรคเหงือก และปัญหาด้านการเคี้ยวอาหาร

การรักษาฟันซ้อนสามารถทำได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการซ้อน รวมถึงสุขภาพช่องปากและความต้องการด้านความสวยงามของผู้ป่วย รวมถึง:

  1. การดัดฟัน: ผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมจะใช้เครื่องดัดฟันเพื่อเปลี่ยนแปลงการจัดวางของฟันและทำให้ฟันแนบเนียนกันได้ดีขึ้น นี่เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีฟันสุขภาพดี
  2. การจัดฟันด้วยวิธีอื่น: สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่องดัดฟันได้ แพทย์อาจแนะนำวิธีการอื่น เช่น การขัดฟัน เพื่อให้พื้นที่กว้างขึ้นสำหรับฟันที่ซ้อน หรือการใช้รากฟันเทียมหรือสะพานฟันเพื่อแทนที่ฟันที่ถูกนำออก
  3. การผ่าตัดทันตกรรม: ในบางกรณี ฟันที่ซ้อนอาจต้องถูกนำออกด้วยการผ่าตัดทันตกรรม เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับฟันอื่น ๆ

การรักษาฟันซ้อนจะต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา การรักษาที่ถูกเลือกก็จะต้องพิจารณาถึงสภาพสุขภาพช่องปากและความต้องการของผู้ป่วยเอง.

ฟันซ้อนอันตรายหรือไม่

ฟันซ้อนในตัวเองไม่ได้อันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลทางลบต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตได้ ฟันซ้อนสามารถทำให้การทำความสะอาดฟันและเหงือกม difficult.

  1. ปัญหาการทำความสะอาด: ฟันที่ซ้อนทับกันอาจทำให้การแปรงฟันหรือใช้เฟลอสฟันยากขึ้น ทำให้เกิดฟันผุ และโรคเหงือก เพราะความสามารถในการล้างและกำจัดแบคทีเรียและคราบที่สะสมบนฟันและระหว่างฟันลดลง
  2. ปัญหาการเคี้ยวอาหาร: ฟันซ้อนอาจทำให้การเคี้ยวอาหารยากขึ้น หรือทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายหรือปวดเมื่อเคี้ยว
  3. ปัญหาทางเสียงพูด: ในบางกรณี ฟันซ้อนอาจส่งผลต่อการสร้างเสียงพูด ทำให้มีความไม่ชัดเจนในการพูด
  4. ปัญหาทางจิตใจ: ฟันซ้อนอาจส่งผลต่อความมั่นใจในการยิ้มหรือพูด และอาจมีผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับการตนเอง

ดังนั้น ถึงแม้ฟันซ้อนจะไม่ใช่สภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่การรักษาฟันซ้อนสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทั้งทางการแพทย์และทางจิตใจ รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทั่วไปของผู้ป่วย.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

ศัลยกรรมช่องปากคืออะไร

ศัลยกรรมช่องปากคืออะไร

ศัลยกรรมช่องปากคือสาขาศัลยกรรมที่มุ่งเน้นไปที่การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับช่องปากและกระดูกใบหน้า ซึ่งรวมไปถึงฟัน กระดูกขากรรไกร ผิวหนังและเนื้อเยื่อของช่องปาก ลิ้น และเหงือก

ศัลยกรรมช่องปากเป็นสาขาที่มีความซับซ้อนและครอบคลุมหลากหลายโรค อาทิเช่น การถอนฟันภูมิซึ่ง การประสานกระดูกที่ขาดหาย การรักษาการอักเสบที่รากฟัน การดำเนินการศัลยกรรมต่อมน้ำลาย การทำศัลยกรรมกระดูก การทำศัลยกรรมเสริมสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อ และการทำการผ่าตัดลิ้น กระดูกใบหน้า และเนื้อเยื่ออื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคอักเสบ มะเร็ง หรือการบาดเจ็บ

ศัลยกรรมช่องปากมีความสำคัญในการรักษาสุขภาพช่องปากและกระดูกใบหน้า และมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างความสวยงามและฟังก์ชันที่ถูกต้องของช่องปากและกระดูกใบหน้า.

ศัลยกรรมช่องปาก มีอะไรบ้าง

ศัลยกรรมช่องปากหรือ Oral and Maxillofacial Surgery ครอบคลุมหลากหลายประเภทของการผ่าตัดที่เกี่ยวกับช่องปาก กระดูกใบหน้า และโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นลักษณะไม่ฉุกเฉินและฉุกเฉิน การผ่าตัดมักจะดำเนินการโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง หรือศัลยแพทย์ที่มีการฝึกอบรมในด้านนี้ การผ่าตัดบางแบบสามารถดำเนินการได้ที่คลินิกทันตกรรม ในขณะที่การผ่าตัดที่ซับซ้อนหรือใหญ่ขึ้นอาจต้องดำเนินการในโรงพยาบาล

  1. การถอนฟันภูมิซึ่ง (Wisdom Teeth Extraction): การถอนฟันภูมิซึ่งที่ขึ้นไม่ถูกต้องหรือทำให้เกิดปัญหา เช่น การอักเสบ หรือการกดดันฟันที่อยู่ใกล้
  2. การทำรากฟัน (Endodontic Surgery): ซึ่งรวมไปถึงการฟื้นฟูโครงสร้างที่ภายในของฟัน หรือการดำเนินการศัลยกรรมที่รากฟัน
  3. การประสานกระดูกและฟัน (Corrective Jaw Surgery): ใช้ในการแก้ไขปัญหาในกระดูกขากรรไกรที่อาจทำให้เกิดปัญหาการกัด การหายใจ และปัญหาความสวยงามอื่น ๆ
  4. การเสริมสร้างกระดูก (Bone Grafting): โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการใช้รากฟันเทียม และกระดูกที่เหลือไม่เพียงพอสำหรับการยึดรากฟันเทียม
  5. การทำศัลยกรรมมะเร็งช่องปาก: การผ่าตัดเพื่อลบเนื้องอกหรือมะเร็งที่ช่องปาก กระดูกใบหน้า หรือลิ้น
  6. การทำศัลยกรรมเสริมสวยที่ช่องปาก: เช่น การทำฟันเทียม การขยายขากรรไกร การทำฟันประดิษฐ์
  7. การฟื้นฟูหลังอุบัติเหตุ: การผ่าตัดฟื้นฟูกระดูกใบหน้าหรือฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ

ศัลยกรรมช่องปากมีรายการที่หลากหลาย ตั้งแต่การผ่าตัดที่ง่าย จนถึงการผ่าตัดที่ซับซ้อนและต้องการความชำนาญทางการแพทย์ ดังนั้น การพบปะกับทันตแพทย์หรือศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยและการตรวจสอบถึงการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณเป็นสิ่งที่สำคัญ.

ศัลยกรรมช่องปาก ที่ดี ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

การเลือกศัลยกรรมช่องปากควรจะคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้:

  1. ความคุ้มค่า: การศัลยกรรมช่องปากบางชนิดอาจมีราคาสูง ดังนั้นความคุ้มค่าของการรักษาที่คุณจะได้รับเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรพิจารณาความจำเป็น การทนทาน และคุณภาพชีวิตที่จะได้รับหลังการรักษา
  2. ความชำนาญของศัลยแพทย์: ความชำนาญของศัลยแพทย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คุณควรเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และฝึกอบรมในประเภทของการผ่าตัดที่คุณต้องการ
  3. การวางแผนการรักษา: ความชัดเจนในการวางแผนการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาควรเหมาะสมกับสภาพความเป็นมา ความต้องการ และความสามารถในการฟื้นฟูของคุณ
  4. ฟื้นฟูและการดูแลหลังการผ่าตัด: สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือขั้นตอนการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด การฟื้นฟูอาจจำเป็นต้องใช้เวลาและการดูแลความสะอาด การรับประทานอาหาร และการทำงานร่วมกันกับทีมของแพทย์
  5. สิ่งอำนวยความสะดวก: คุณต้องคำนึงถึงสถานที่ทำการรักษา ตารางเวลาที่เหมาะสม และการเดินทาง การเข้าถึงการดูแลและบริการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ
  6. ความปลอดภัย: ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การเตรียมการผ่าตัดที่เหมาะสม การควบคุมการติดเชื้อ และการจัดการความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบายหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง

ในการตัดสินใจเลือกการศัลยกรรมช่องปาก ควรปรึกษากับแพทย์ของคุณและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

ใครจะดัดฟันต้องอ่าน 2023

ใครจะดัดฟันต้องอ่าน 2023

“ดัดฟัน” เป็นกระบวนการที่ทำให้ฟันอยู่ในที่ที่ถูกต้องและสวยงาม มักใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการทำ เช่น สายดัดฟัน, Invisalign, หรือเทคนิคอื่นๆ รวมถึงการดัดฟันด้วยวิธีศัลยกรรมทางปาก

การดัดฟันอาจเป็นการรักษาซึ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกัด การจัดวางฟันที่ไม่สมบูรณ์ หรือฟันที่มีรูปร่างที่ไม่ปกติ เช่นฟันเก ฟันคด เป็นต้น การดัดฟันช่วยในการปรับแต่งรูปร่างและลำดับของฟันให้เป็นที่น่าพอใจขึ้น และอาจช่วยในการพัฒนาการหายใจ การเคี้ยว และการพูด

การดัดฟันต้องใช้เวลา และอาจต้องปรับปรุงการดูแลสุขภาพช่องปากของคุณ รวมถึงการขัดฟันเพิ่มเติม การดัดฟันทำให้คุณมีสิทธิ์ที่จะมีรอยยิ้มที่คุณภูมิใจในนั้นและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง. แต่ทั้งนี้ควรปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจว่าการดัดฟันเหมาะสมกับสภาพฟันของคุณหรือไม่.

ดัดฟันขั้นตอน

การดัดฟันมีหลายขั้นตอน ทั้งการวางแผนการรักษา, การติดตั้งเครื่องมือดัดฟัน, การดูแลรักษาและจัดตรวจเมื่อสิ้นสุดการรักษา ขั้นตอนเฉพาะเจาะจงจะขึ้นอยู่กับประเภทของเทคนิคการดัดฟัน แต่สำหรับการดัดฟันด้วยวิธีแบบดั้งเดิม (สายดัดฟัน) ขั้นตอนทั่วไปมักจะเป็นดังนี้:

  1. การประเมินและวางแผน: ทันตแพทย์จะตรวจฟันและสำรวจด้วยเอ็กซ์เรย์เพื่อดูภาพรวมของฟันและกระดูกในปาก ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องทำรูปหล่อเพื่อสำรวจรูปร่างและขนาดของช่องปากและฟันได้อย่างละเอียด ข้อมูลนี้จะใช้ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  2. การติดตั้งเครื่องมือดัดฟัน: หากต้องการสายดัดฟัน ทันตแพทย์จะติดตั้งเบรกเกตที่ฟัน และใช้สายรัดเพื่อเชื่อมต่อสายดัดฟันกับเบรกเกต สายดัดฟันเหล่านี้จะใช้แรงงัดเพื่อย้ายฟันไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
  3. การดูแลรักษาระหว่างการรักษา: คุณจะต้องไปพบทันตแพทย์ในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อตรวจสอบและปรับสายดัดฟัน การดัดฟันมักจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี เทคนิคและเครื่องมือที่ใช้ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความสะดวกสบาย ความเจ็บปวด และความสวยงาม
  4. การจัดการเมื่อสิ้นสุดการรักษา: เมื่อฟันถูกย้ายไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว สายดัดฟันจะถูกนำออก และในบางกรณี คุณอาจต้องใช้รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือที่ใช้รักษาฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

การดัดฟันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเจาะจง คุณควรปรึกษากับทันตแพทย์หรืออรทิสต์ดัดฟันที่มีความรู้ความสามารถเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

ข้อควรระวังในการดัดฟัน

การดัดฟันเป็นกระบวนการที่สามารถเพิ่มความสวยงามและฟังก์ชันของรอยยิ้มของคุณ แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อควรระวังบางอย่าง ดังนี้:

  1. การดูแลรักษาช่องปาก: การดัดฟันทำให้การดูแลรักษาช่องปากยากขึ้น เครื่องมือดัดฟันสามารถสะสมเฝืองและแปลงเป็นฟันผุได้ การขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ การใช้ไหมพรมฟันและน้ำยาบ้วนปากจึงจำเป็นมาก
  2. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งแรงหรือเหนียว เช่น แอปเปิ้ลทั้งผล ขนมปังแข็ง อาหารทอด ขนมกรอบ หรืออาหารที่ต้องกัดด้วยความแรง เพราะอาจทำให้เครื่องมือดัดฟันหลุดหรือเสียหาย
  3. ความเจ็บปวด: การย้ายฟันมักจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบาย แต่ความเจ็บปวดนี้มักจะลดลงหลังจากหลายวัน ถ้าความเจ็บปวดยังคงมีอยู่หลังจากหลายวัน คุณควรติดต่อทันตแพทย์ของคุณ
  4. ระยะเวลาในการรักษา: การดัดฟันอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี การปรับปรุงและการรักษาที่สม่ำเสมอจำเป็นมาก
  5. ฟันหลุด: หากเครื่องมือดัดฟันของคุณหลุดหรือเสียหาย ควรติดต่อทันตแพทย์ทันที
  6. การย้ายฟัน: หลังจากการดัดฟัน ฟันอาจจะย้ายไปจากตำแหน่งที่เหมาะสม การใช้รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือสวมใส่อื่น ๆ ที่ทันตแพทย์ของคุณแนะนำจะช่วยให้ฟันคงที่ที่ตำแหน่งที่ต้องการ
  7. ค่าใช้จ่าย: การดัดฟันอาจเป็นที่สูง ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายและความสามารถในการจ่ายและคุณควรพิจารณาวิธีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายและแผนประกันสุขภาพที่คุณมี

โดยทั่วไป ควรตรวจสอบการดัดฟันของคุณด้วยทันตแพทย์หรืออรทิสต์ดัดฟันที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย.

การดูแลหลังดัดฟัน

การดูแลรักษาหลังจากการดัดฟันเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ฟันทั้งหมดของคุณสามารถยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และความสวยงามที่ได้รับจากการดัดฟันสามารถคงไว้ได้อย่างยาวนาน ต่อไปนี้เป็นข้อควรทำหลังจากดัดฟัน:

  1. การใช้รีเทนเนอร์: ทันตแพทย์ของคุณจะมอบรีเทนเนอร์ให้คุณใช้หลังจากการดัดฟัน รีเทนเนอร์จะช่วยยึดฟันให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ และป้องกันฟันจากการย้ายกลับไปยังตำแหน่งเดิม ควรใส่รีเทนเนอร์ตามที่แพทย์แนะนำ
  2. การดูแลรักษาช่องปาก: การเช็ดฟันและใช้ไหมพรมฟันควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุและโรคเหงือก ควรไปทำคลีนนิ่งที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยทุก 6 เดือน
  3. การตรวจเช็คฟัน: ควรไปตรวจเช็คฟันที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าฟันและเหงือกของคุณยังคงอยู่ในสภาพที่ดี
  4. การรักษาอาการเจ็บปวด: ฟันอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือแข็งขืนเมื่อคุณเพิ่งดัดฟันเสร็จ การใช้ยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์สั่งให้สามารถช่วยลดอาการเจ็บปวด
  5. การปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร: หลังจากดัดฟัน คุณอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารเล็กน้อย อาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียวเพื่อป้องกันการทำลายเครื่องมือดัดฟัน

การดูแลรักษาหลังจากการดัดฟันมีความสำคัญมากในการรักษาผลลัพธ์ที่ได้รับจากการดัดฟัน และทำให้รอยยิ้มของคุณสวยงามตลอดเวลา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

ฟันเป็นรู คืออะไร

ฟันเป็นรู คืออะไร

ฟันเป็นรูเป็นสภาพที่มีการสูญเสียของเนื้อฟันที่เกิดจากภาวะผิดปกติทางทันตกรรมที่เรียกว่าฟันผุ. ฟันผุส่วนใหญ่เกิดจากกรดที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในปากจากการย่อยโมเลกุลของน้ำตาลจากอาหารที่เราทาน.

เมื่อรูในฟันเริ่มแสดงอาการ, คุณอาจจะรู้สึกคัน หรืออาจมีอาการปวดฟันเมื่อรับประทานอาหารร้อนหรือเย็น, หรือเมื่อกินขนมหวาน. ถ้าไม่ได้รับการรักษา, การผุของฟันสามารถทำให้ฟันเสียหายไปจนถึงเนื้อฟันภายใน (เรียกว่าเยื่อประสาทฟัน) และอาจส่งผลทำให้ต้องทำการรักษารากฟัน หรือในกรณีที่รุนแรงอาจต้องถอนฟัน.

ถ้าคุณสงสัยว่าฟันของคุณเป็นรู, ควรติดต่อทันตแพทย์ในทันทีเพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม. ป้องกันฟันผุโดยการล้างปากและแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง, การใช้ด้ายเช็ดฟันทุกวัน, และการตรวจสุขภาพฟันอย่างประจำทุกหกเดือนเป็นทางที่ดีที่สุดในการป้องกันฟันผุ.

ฟันเป็นรู รักษาอย่างไรได้บ้าง

การรักษาฟันผุขึ้นอยู่กับสภาพและความรุนแรงของการผุ. ดังนั้น, การวินิจฉัยจากทันตแพทย์จำเป็นอย่างยิ่ง. ทว่า, มีวิธีการรักษาทั่วไปดังนี้:

  1. การอุดฟัน: การอุดเป็นวิธีการรักษาที่ทันตแพทย์นิยมใช้ในการรักษาฟันผุที่ไม่รุนแรงมาก. ทันตแพทย์จะลบส่วนของฟันที่ผุแล้วออก และแทนที่ด้วยวัสดุอุดฟัน เช่น สังกะสี, ทองเหลือง, หรือเรซิ่นที่สามารถผสมกับสีฟันได้.
  2. ครอบฟันหรือสร้างฟันปลอม: ถ้าฟันผุมากจนฟันจะหักหรือแตก, ทันตแพทย์อาจจะต้องครอบฟัน (crown) หรือใช้ฟันปลอม.
  3. การรักษารากฟัน: ถ้าฟันผุเข้าถึงเยื่อประสาทฟันภายใน, ทันตแพทย์อาจต้องทำการรักษารากฟัน. ในกระบวนการนี้, ทันตแพทย์จะเอาเยื่อประสาทและเนื้อฟันออก, ทำความสะอาดและทำการอุดฟัน, แล้วทำการครอบฟัน.
  4. ถอนฟัน: ถ้าฟันผุมากจนไม่สามารถฟื้นฟูได้, การถอนฟันอาจจำเป็น. หลังจากถอนฟันแล้ว, ทันตแพทย์อาจแนะนำการใส่ฟันปลอม, ชิ้นส่วนฟันปลอม, หรือฟันปลอมเพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการถอนฟัน.

ควรจำไว้ว่าการป้องกันฟันผุโดยการดูแลความสะอาดของปากและฟันสม่ำเสมอ และไปตรวจฟันอย่างประจำทุก 6 เดือนคือทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันฟันผุ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

root canal treatment

รักษารากฟัน อ่านก่อนเข้ารักษารากฟัน


การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นวิธีการรักษาที่ทำเมื่อเนื้อฟันภายใน (ที่เรียกว่า “รากฟัน” หรือ “pulp”) ติดเชื้อหรือเสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ กระบวนการนี้มักจำเป็นเมื่อฟันผุเข้าถึงระดับที่ลึกเกินไปจนถึงรากฟัน

ขั้นตอนการรักษารากฟันอย่างง่าย ดังนี้:

  1. ทันตแพทย์จะทำการชาฟันของคุณ แล้วทำความสะอาดและทำให้สภาพฟันเตรียมพร้อมสำหรับการรักษา
  2. หลังจากนั้นทันตแพทย์จะเจาะฟันเพื่อเข้าถึงรากฟัน ทันตแพทย์จะนำเอาเนื้อฟันและแบคทีเรียที่ติดเชื้อออกมา
  3. รากฟันที่ถูกทำความสะอาดจะถูกเติมด้วยวัสดุอุดฟันพิเศษที่เรียกว่า gutta-percha
  4. ทันตแพทย์จะอุดทางเข้าสู่รากฟันด้วยวัสดุอุดฟัน และอาจจะต้องใช้การครอบฟัน (crown) ในกรณีที่ฟันเสื่อมสภาพมาก

การรักษารากฟันสามารถทำได้ในครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพและระดับความรุนแรงของการติดเชื้อภายในฟัน การรักษารากฟันจะช่วยฟื้นฟูฟันที่เสียหายจากการผุ หยุดการติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อแพร่กระจายไปยังฟันหรือกระดูกอื่น

ขั้นตอนการรักษารากฟัน

การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นกระบวนการที่ทำเมื่อเนื้อฟันภายใน (ที่เรียกว่า “รากฟัน” หรือ “pulp”) ติดเชื้อหรือเสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ กระบวนการนี้มักจำเป็นเมื่อฟันผุเข้าถึงระดับที่ลึกเกินไปจนถึงรากฟัน

ขั้นตอนการรักษารากฟันอย่างละเอียด ดังนี้:

  1. ฉันฟัน: ทันตแพทย์จะใช้ยาชาท้องถิ่นเพื่อลดความรู้สึกในระหว่างการรักษา
  2. สร้างทางเข้าสู่รากฟัน: ทันตแพทย์จะเจาะทางเข้าสู่รากฟันผ่านส่วนที่เรียกว่า “crown” หรือส่วนบนของฟัน
  3. นำเอาเนื้อฟันและแบคทีเรียออก: ใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อนำเนื้อฟันและแบคทีเรียที่ติดเชื้อออกมาจากรากฟัน
  4. ทำความสะอาดรากฟัน: ทำความสะอาดภายในรากฟันด้วยน้ำยาพิเศษและเครื่องมือที่เรียกว่า “file”
  5. แห้งและอุดรากฟัน: เมื่อทำความสะอาดรากฟันแล้ว, ทันตแพทย์จะทำให้รากฟันแห้งและเติมด้วยวัสดุอุดฟันพิเศษที่เรียกว่า gutta-percha
  6. อุดทางเข้าสู่รากฟัน: ทันตแพทย์จะอุดทางเข้าสู่รากฟันด้วยวัสดุอุดฟัน เพื่อป้องกันการเข้าถึงของแบคทีเรียในอนาคต

การรักษารากฟัน ด้วยวิธีธรรมชาติ

ถึงแม้ว่าการรักษารากฟันโดยวิธีธรรมชาติหรือการรักษาแบบทั่วไปที่ไม่ใช้ยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ, แต่ความจริงคือไม่มีวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษารากฟันโดยวิธีธรรมชาติ.

การรักษารากฟันทำเพื่อนำเอาเนื้อฟันที่ติดเชื้อออกจากฟัน, ซึ่งเป็นกระบวนการที่ควรทำโดยทันตแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เฉพาะทาง.

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ทางธรรมชาติคือการรักษาสุขภาพช่องปากและฟันด้วยการล้างปากและแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ, ควบคุมการบริโภคน้ำตาลและเยี่ยมเยียนทันตแพทย์เพื่อรับการตรวจฟันเป็นประจำ. การดูแลเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุที่จะนำไปสู่การต้องรักษารากฟัน.

ถ้าคุณมีอาการเจ็บฟันหรือคุณคิดว่าคุณอาจต้องการการรักษารากฟัน, คุณควรติดต่อทันตแพทย์ทันที. การรักษาที่เร็วที่สุดมักจะมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันปลอมแบบติดแน่น ดีอย่างไร

ฟันปลอมแบบติดแน่น ดีอย่างไร

ฟันปลอมที่ติดแน่นที่คุณเข้าใจน่าจะเป็นวิธีการรักษาทันตกรรมแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ฟันปลอมถาวร” หรือ “ฟันปลอมถาวร” โดยมีลักษณะหลัก ๆ สามแบบดังนี้:

  1. ฟันปลอมแบบสะพาน (Dental Bridge): ใช้ฟันที่อยู่รอบ ๆ พื้นที่ที่ไม่มีฟันเป็นฐานในการสร้าง “สะพาน” ที่จะช่วยเติมที่พื้นที่ที่ไม่มีฟัน ฟันปลอมแบบสะพานเหมาะสำหรับคนที่มีฟันเหลืออยู่บางฟันในช่องปาก
  2. ฟันปลอมแบบโครงเหล็ก (Dentures): ฟันปลอมแบบนี้เป็นฟันปลอมที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ สามารถใช้ได้ทั้งในกรณีที่ไม่มีฟันทั้งช่องปากหรือเฉพาะบางส่วน
  3. ฟันปลอมแบบ Implant: จะเป็นการทำฟันปลอมด้วยการใช้โครงสร้างเหล็กเสียบลงในกระดูกขากรรไกรและติดฟันปลอมลงไป นี่เป็นวิธีที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับฟันจริงมากที่สุดและมักถูกเลือกใช้ในการแทนที่ฟันที่สูญเสียไป

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ฟันปลอมแบบใดและวิธีการติดตั้งฟันปลอมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพสุขภาพฟันและเหงือกของแต่ละคน จึงควรปรึกษากับทันตแพทย์

ฟันปลอมชนิดที่ติดแน่น ที่คุณอาจจะกำลังคิดถึง คือ ฟันปลอมแบบ Implant หรือ “ทันตกรรมรากเทียม” ที่ถูกติดตั้งโดยการฝังเข้าไปในกระดูกขากรรไกรของคนไข้ ดังนั้น เราจะอธิบายข้อดีและข้อเสียของทันตกรรมรากเทียม:

ข้อดีฟันปลอมติดแน่น:

  1. ความคงทน: ทันตกรรมรากเทียมจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และถ้าดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็สามารถใช้ได้ตลอดชีวิต
  2. ความสะดวกสบาย: เมื่อทำการฝังรากเทียมแล้ว ฟันจะรู้สึกและดูเหมือนฟันจริง ซึ่งทำให้การรับประทานอาหารและการพูดอย่างปกติดีขึ้น
  3. สุขภาพช่องปาก: ทันตกรรมรากเทียมไม่จำเป็นต้องทำลายฟันอื่น ๆ ของคนไข้เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับฟันปลอม ดังนั้นจึงช่วยให้ฟันที่เหลืออยู่ของคนไข้มีสุขภาพดีขึ้น

ข้อเสียฟันปลอมติดแน่น:

  1. ราคา: ทันตกรรมรากเทียมมีราคาสูงกว่าวิธีการรักษาฟันปลอมชนิดอื่น ๆ
  2. การผ่าตัด: การทำทันตกรรมรากเทียมต้องผ่าตัดซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดได้ เช่น การติดเชื้อ การบวม การเจ็บปวด หรือการเจ็บปวดที่ไรกรรม
  3. ระยะเวลาในการรักษา: อาจใช้เวลาหลายเดือนจนถึงปีหลังจากการติดตั้งรากเทียม และรอให้กระดูกหายจากการผ่าตัดก่อนที่จะสามารถติดตั้งฟันปลอมสำเร็จได้

ทั้งนี้ การตัดสินใจในการทำทันตกรรมรากเทียมจะขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และสภาพสุขภาพฟันและกระดูกขากรรไกรของคนไข้ ควรปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับคุณ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ผู้ช่วยทันตแพทย์ ทำหน้าที่อะไร

ผู้ช่วยทันตแพทย์ ทำหน้าที่อะไร

ผู้ช่วยทันตแพทย์ มีหน้าที่หลักๆ ดังต่อไปนี้:

  1. สนับสนุนการทำงานของทันตแพทย์: รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์ทันตกรรม, การทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคในอุปกรณ์, การช่วยเหลือในการผ่าตัดและการทำงานอื่น ๆ ที่ทันตแพทย์อาจต้องการความช่วยเหลือ
  2. การจัดการผู้ป่วย: รวมถึงการจัดตารางงานของผู้ป่วย, การต้อนรับผู้ป่วย, การปรึกษาและการแนะนำการดูแลสุขภาพช่องปาก
  3. การบริหารจัดการสำนักงาน: ผู้ช่วยทันตแพทย์อาจต้องทำงานเกี่ยวกับเอกสารและจัดการข้อมูลผู้ป่วย
  4. การส่งต่อ: ผู้ช่วยทันตแพทย์อาจต้องการส่งข้อมูลในการรักษาทันตกรรมให้กับทีมงานที่เกี่ยวข้อง
  5. การควบคุมการติดเชื้อ: มีการทำความสะอาดและสถานที่ทำงานและอุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทำลายเชื้อโรคอย่างเหมาะสม
  6. การช่วยเหลือในการตรวจวินิจฉัย: ผู้ช่วยทันตแพทย์อาจต้องเตรียมผู้ป่วยสำหรับการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์และเตรียมผู้ป่วยสำหรับการตรวจสอบของทันตแพทย์

ทั้งนี้อาจแตกต่างไปตามนโยบายและความต้องการของสถานที่ทำงานและทันตแพทย์ที่ผู้ช่วยทำงานให้บริการ.

ผู้ช่วยทันตแพทย์มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง

ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่ดีควรจะมีคุณสมบัติและทักษะดังต่อไปนี้:

  1. ทักษะทางคลินิก: ผู้ช่วยทันตแพทย์ควรมีทักษะทางคลินิกที่แข็งแกร่ง เช่น ทักษะการใช้เครื่องมือทันตกรรม, ทักษะในการทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรค, และทักษะในการช่วยเหลือทันตแพทย์ในการผ่าตัดและการรักษา
  2. ทักษะการสื่อสาร: ผู้ช่วยทันตแพทย์ควรสามารถสื่อสารกับทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วยได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
  3. ทัศนคติที่ดี: ผู้ช่วยทันตแพทย์ควรมีทัศนคติที่ดีต่องานของพวกเขา ซึ่งจะส่งผลต่อความพอใจของผู้ป่วย
  4. การจัดการเวลา: ผู้ช่วยทันตแพทย์ต้องมีความสามารถในการจัดการเวลาได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกการรักษาทันตกรรมจะดำเนินการตามตารางที่กำหนด
  5. การบริการลูกค้า: ผู้ช่วยทันตแพทย์ควรมีทักษะในการให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากพวกเขามักจะมีการติดต่อกับผู้ป่วยโดยตรง
  6. ความสามารถในการทำหลายงานพร้อมกัน: ผู้ช่วยทันตแพทย์อาจต้องทำหลายงานในเวลาเดียวกัน ดังนั้นความสามารถในการจัดการงานและมองภาพรวมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
  7. มือนุ่ม: ผู้ช่วยทันตแพทย์จำเป็นต้องมีมือนุ่มเพื่อจัดการอุปกรณ์ทันตกรรมอย่างระมัดระวังและให้ความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วย

ทั้งหมดนี้เป็นทักษะและคุณสมบัติที่จะช่วยให้ผู้ช่วยทันตแพทย์เป็นอย่างดี แต่ทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นอาจจะขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงานและความต้องการของทันตแพทย์ที่ผู้ช่วยทำงานให้บริการ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

วิธีรักษากลิ่นปากเหม็น ลิ้นเหม็น

วิธีรักษากลิ่นปากเหม็น ลิ้นเหม็น

การรักษากลิ่นปากส่วนใหญ่สามารถทำได้ด้วยมาตรการเกี่ยวกับการล้างปากและดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง ต่อไปนี้คือบางวิธีที่สามารถลองทำเพื่อรักษากลิ่นปาก:

  1. แปรงฟันอย่างถี่ถ้วน: แปรงฟันอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 2 ครั้งต่อวันหรือหลังจากมื้ออาหารสำคัญ โดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อเพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์.
  2. ใช้สเปรย์ปากหรือน้ำยาทำความสะอาดปาก: ใช้สเปรย์ปากหรือน้ำยาทำความสะอาดปากที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อเพื่อช่วยลดแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก.
  3. ล้างปากด้วยน้ำเปล่าหรือผลไม้สด: หลังจากมื้ออาหารควรล้างปากด้วยน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เช่น น้ำผลไม้สด เพื่อช่วยล้างออกสารสกัดและเศษอาหารที่อาจเป็นตัวเลี้ยงแบคทีเรีย.
  4. ดูแลสุขภาพช่องปาก: และเหงือก: รักษาระดับความสะอาดของฟันและเหงือกโดยการใช้เส้นไหมผ่าฝ้ายหรือแปรงสะอาดระหว่างฟัน เพื่อลดแบคทีเรียและสารสกัดที่อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก.
  5. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้กลิ่นปากเกิด: ควรหลีกเลี่ยงการบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีกลิ่นเผ็ดหรือเปรี้ยวมาก เพราะสามารถทำให้กลิ่นปากแย่เพิ่มขึ้น.
  6. ไปพบทันตแพทย์: หากปัญหากลิ่นปากยังคงอยู่หลังการดูแลทั้งหมดด้านบน ควรพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสอบสุขภาพช่องปากและวางแผนรักษาเพิ่มเติม (เช่น การรักษาโรคเหงือกหรือฟันผุ) หากมีปัญหาอื่นที่เกี่ยวข้อง.
  7. รักษาความสะอาดของปาก: ปรับปรุงการล้างปากและทำความสะอาดปากให้ถูกต้อง โดยการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 2 ครั้งต่อวันหรือหลังจากมื้ออาหารสำคัญ ใช้สายไหมผ่าฝ้ายหรือแปรงทำความสะอาดระหว่างฟันเพื่อล้างเศษอาหารและเชื้อโรคที่อาจเป็นตัวเลี้ยงแบคทีเรีย นอกจากนี้ ควรใช้ยาสระปากหรือสเปรย์ปากที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อเพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก.
  8. ดูแลสุขภาพช่องปากและเหงือก: การรักษาระดับความสะอาดของฟันและเหงือก เช่น การทำความสะอาดระหว่างฟันด้วยสายไหมผ่าฝ้ายหรือแปรงสะอาดระหว่างฟัน เป็นการลดแบคทีเรียและสารสกัดที่อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก.
  9. ดื่มน้ำมากพอประจำวัน: การดื่มน้ำมากพอสามารถช่วยล้างเศษอาหารและลดความเข้มข้นของสารสกัดในปาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก.
  10. ลดหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้กลิ่นปากเสีย: หลีกเลี่ยงการบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำให้กลิ่นปากแย่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรลดการบริโภคอาหารที่มีกลิ่นเผ็ดหรือเปรี้ยวมาก เนื่องจากสามารถทำให้กลิ่นปากไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น.
  11. รับประทานผลไม้หรืออาหารดีต่อสุขภาพที่ช่วยลดกลิ่นปาก: บางชนิดของผลไม้และอาหาร เช่น ผักสด แตงโม สับปะรด หรือผลไม้เปรี้ยว เช่น ส้ม เช่นนี้อาจช่วยลดกลิ่นปาก.
  12. หากปัญหากลิ่นปากยังคงอยู่หลังจากการดูแลทั้งหมดด้านบน ควรพบทันตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม และอาจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพปากและกลิ่นปากจากทันตแพทย์ของคุณ.

การรักษากลิ่นปากขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา หากมีภาวะเรื้อรังหรือไม่รู้สาเหตุ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

ลิ้น เหม็นเกิดจากอะไร

กลิ่นเหม็นที่มาจากลิ้นอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น:

  1. การสะสมเศษอาหารบนลิ้น: เศษอาหารที่ติดอยู่บนลิ้นอาจเป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ การทำความสะอาดลิ้นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากสิ่งต่างๆ ที่ติดอยู่บนลิ้น.
  2. การสร้างเศษอาหารระหว่างฟัน: เศษอาหารที่เกิดขึ้นระหว่างฟันอาจสะสมและทำให้เกิดกลิ่นปาก ใช้สายไหมผ่าฝ้ายหรือแปรงสะอาดระหว่างฟันเพื่อเอาออกเศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างฟัน.
  3. การสะสมแบคทีเรียบนลิ้น: แบคทีเรียที่สะสมบนลิ้นอาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก การล้างปากอย่างสม่ำเสมอและการใช้สารป้องกันแบคทีเรียในการล้างปากอาจช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากแบคทีเรีย.
  4. การเกิดการติดเชื้อ: บางครั้งเกิดการติดเชื้อในช่องปากหรือภาวะอักเสบทางเยื่อบนลิ้น อาจทำให้เกิดกลิ่นปาก หากคุณสงสัยว่ามีการติดเชื้อหรือภาวะอักเสบใดๆ ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม.

หากปัญหากลิ่นปากยังคงอยู่หลังจากทำความสะอาดปากอย่างถูกต้อง ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

สมุนไพร รักษากลิ่นปาก

การใช้สมุนไพรเป็นวิธีการรักษากลิ่นปากเป็นทางเลือกที่อาจมีประสิทธิภาพ แต่ควรทราบว่าผลการใช้สมุนไพรอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ต่อไปนี้คือสมุนไพรบางชนิดที่เคยใช้ในการรักษากลิ่นปาก:

  1. สะเดา: สะเดาเป็นสมุนไพรที่มีสมบัติฆ่าเชื้อและช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก สามารถใช้ในรูปแบบน้ำสะเดาเพื่อช่วยลดกลิ่นปาก.
  2. ตะไคร้: ตะไคร้มีสมบัติฆ่าเชื้อและช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก สามารถใช้น้ำจากการต้มตะไคร้หรือใช้น้ำยาสะอาดปากที่มีส่วนผสมจากตะไคร้.
  3. มิ้นท์: มิ้นท์มีคุณสมบัติในการลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก สามารถใช้ในรูปแบบน้ำยาสะอาดปากหรือเครื่องดื่มมิ้นท์.
  4. ต้นสมุนไพรหอม: ต้นสมุนไพรหอมเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมและสามารถช่วยลดกลิ่นปากได้ สามารถเช็ดปากด้วยน้ำส้มสายชูเพื่อช่วยลดกลิ่นปาก.
  5. ชาเขียว: ชาเขียวมีสมบัติฆ่าเชื้อและช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในปาก สามารถดื่มชาเขียวได้เป็นประจำเพื่อช่วยรักษากลิ่นปาก.

อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรในการรักษากลิ่นปากควรใช้ร่วมกับการรักษาความสะอาดปากอื่นๆ และหากปัญหายังคงอยู่หรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับกลิ่นปาก ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เอกซเรย์ จัดฟัน เทคโนโลยีรักษาทันตกรรม

เอกซเรย์ จัดฟัน เทคโนโลยีรักษาทันตกรรม

เอกซเรย์จัดฟันหรือเอกซเรย์ทันตกรรม (Dental X-rays) เป็นเทคนิคการฉายรังสีที่ใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาทันตกรรม การเอกซเรย์จัดฟันช่วยให้ทันตแพทย์ได้รับภาพรวมเกี่ยวกับฟันและโครงสร้างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งช่วยในการวางแผนการรักษาทันตกรรมอย่างแม่นยำและเหมาะสม.

การเอกซเรย์จัดฟันสามารถช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่หลากหลาย ดังนี้:

  1. เอกซเรย์บิตวิว (Bitewing X-rays): เอกซเรย์ชนิดนี้ใช้ในการตรวจสอบภาพรวมของฟันบนสองข้างในช่องปาก เพื่อการวินิจฉัยโรคฟันผิดปกติ เช่น ฟันผุ.
  2. เอกซเรย์ประกอบฟัน (Panoramic X-ray): เอกซเรย์ประกอบฟันช่วยในการแสดงภาพรวมของทั้งชุดฟันและโครงสร้างโดยรอบ ซึ่งช่วยในการวางแผนการรักษาทั่วไป เช่น การถอดฟันหรือการใส่ฟันปลอม.
  3. เอกซเรย์เฉียง (Periapical X-rays): เอกซเรย์เฉียงใช้ในการตรวจสอบภาพรวมของฟันและโครงสร้างบริเวณเดียวกับฟันเป้าหมาย มักใช้ในการวินิจฉัยและตรวจสอบปัญหาทันตกรรมเฉพาะ เช่น การตรวจสอบรากฟัน.

การเอกซเรย์จัดฟันช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาทันตกรรมอย่างแม่นยำและเหมาะสม แต่การฉายรังสีต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและให้ผลรังสีที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ทันตแพทย์จะใช้เอกซเรย์ตามความจำเป็นและบทบาทในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาของแต่ละบุคคล.

ทำไมต้อง เอกซเรย์ฟัน

การเอกซเรย์ฟันเป็นเครื่องมือที่สำคัญในทันตกรรมเพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาทันตกรรม มีเหตุผลหลายประการที่ต้องทำเอกซเรย์ฟัน:

  1. การวินิจฉัยโรคฟันและเหงือก: เอกซเรย์ฟันช่วยในการวินิจฉัยโรคฟันและเหงือกที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาการเช่นฟันผุ, อักเสบปริทันต์, หรือการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อเหงือกสามารถจะเห็นได้ในภาพเอกซเรย์ฟัน.
  2. การวางแผนการรักษาทันตกรรม: เอกซเรย์ฟันช่วยในการวางแผนการรักษาทันตกรรมให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยทันตแพทย์สามารถดูภาพรวมของฟันและโครงสร้างทางระบบรากฟัน เช่น ฟันฝีเพลิง, ครอบฟัน, หรือการรักษาทางรากฟัน เพื่อตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด.
  3. การตรวจสอบความผิดปกติภายใน: เอกซเรย์ฟันช่วยในการตรวจสอบความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายในโครงสร้างทางฟัน เช่น การเสื่อมสภาพรากฟัน, การสูญเสียฟันในกรณีที่ไม่มองเห็นได้ภายนอก, หรือมะเร็งชนิดหนึ่งที่อาจพบได้ในเนื้อเยื่อทางรากฟัน.
  4. การตรวจสอบการเติบโตและพัฒนาของฟัน: เอกซเรย์ฟันช่วยในการตรวจสอบการเติบโตและพัฒนาของฟันในเด็ก เพื่อตรวจสอบฟันเหล่านั้นว่าเติบโตถูกต้อง และสามารถวางแผนการรักษาทันตกรรมในขณะที่เด็กยังเติบโตอยู่.

การเอกซเรย์ฟันจำเป็นเพื่อให้ทันตแพทย์ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำเกี่ยวกับฟันและโครงสร้างทางฟัน โดยมีความปลอดภัยสำหรับผู้รับบริการอย่างสูง คุณควรพบทันตแพทย์เพื่อซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเอกซเรย์ฟันและประโยชน์ที่เกี่ยวข้องสำหรับสถานการณ์ของคุณ.

เอกซเรย์ฟันก่อนจัดฟัน

การทำเอกซเรย์ฟันก่อนจัดฟันเป็นทางเลือกที่ดีและสำคัญเพื่อวางแผนการจัดฟันอย่างแม่นยำและเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อจัดฟันแบบพิเศษหรือฟันในกรณีที่มีฟันสูญเสียหรือรูปร่างฟันผิดปกติ.

เอกซเรย์ฟันก่อนจัดฟันมีประโยชน์ดังนี้:

  1. การวินิจฉัยโรคฟันและเหงือก: เอกซเรย์ฟันช่วยในการตรวจสอบภาพรวมของฟันและเหงือก เพื่อวินิจฉัยโรคฟันและเหงือก เช่น ฟันผุ, การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อเหงือก, หรืออักเสบปริทันต์ ทันตแพทย์สามารถใช้ภาพเอกซเรย์ฟันเพื่อระบุปัญหาทันตกรรมและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม.
  2. การวางแผนการจัดฟัน: เอกซเรย์ฟันช่วยในการวางแผนการจัดฟันอย่างแม่นยำและเหมาะสม โดยทันตแพทย์สามารถดูภาพรวมของฟันและโครงสร้างทางฟัน เพื่อประเมินรูปร่างและตำแหน่งของฟัน และตรวจสอบความเหมาะสมของรูจมูก รูปร่างของกรามฟัน และพื้นที่ว่างระหว่างฟัน ที่จำเป็นสำหรับการวางแผนการจัดฟัน เช่น การใช้แบบเครื่องมือทางทันตกรรมหรือแบบจัดฟันได้ที่เหมาะสมกับรูปร่างและรูปแบบของฟันแต่ละราย.
  3. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: การทำเอกซเรย์ฟันก่อนจัดฟันช่วยลดเวลาในการวินิจฉัยและวางแผนการจัดฟัน รวมถึงลดความจำเป็นในการทำเอกซเรย์เพิ่มเติมในระหว่างการจัดฟัน ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว.

การทำเอกซเรย์ฟันก่อนจัดฟันเป็นกระบวนการปกติและปลอดภัย แต่คุณควรพูดคุยกับทันตแพทย์ของคุณเพื่อฟังคำแนะนำและคำแนะนำเฉพาะที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณและความจำเป็นของการทำเอกซเรย์ฟันในกรณีของคุณ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม