รากฟันเทียม

เทคโนโลยีรากฟันเทียมมีอะไรบ้าง? รู้จักกับนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพฟัน

การสูญเสียฟันไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ โรคเหงือก หรือปัญหาสุขภาพฟันอื่นๆ อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกและเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การใส่รากฟันเทียมเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ฟันกลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ โดยการฟื้นฟูทั้งในด้านรูปลักษณ์และประสิทธิภาพการเคี้ยวอาหาร แต่เทคโนโลยีในการทำรากฟันเทียมนั้นมีหลากหลายวิธี และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยีรากฟันเทียมที่น่าสนใจในปัจจุบัน

รากฟันเทียมคืออะไร?

รากฟันเทียม (Dental Implant) เป็นเครื่องมือที่ใช้ทดแทนรากฟันธรรมชาติ โดยเป็นแท่งโลหะที่ฝังเข้าไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อทำหน้าที่เป็นฐานรองรับฟันปลอมหรือครอบฟัน รากฟันเทียมมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงทนทาน รูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ และช่วยให้การเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทคโนโลยีรากฟันเทียมมีอะไรบ้าง?

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยที่ต้องการทำรากฟันเทียม นี่คือบางเทคโนโลยีที่โดดเด่นในปัจจุบัน:

1. การออกแบบรากฟันเทียมด้วยระบบดิจิทัล (Digital Implant Design)

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในกระบวนการออกแบบรากฟันเทียมช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในการจำลองตำแหน่งรากฟันเทียมในกระดูกขากรรไกร ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการวางรากฟันผิดตำแหน่ง และยังช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. รากฟันเทียมแบบเล็ก (Mini Dental Implants)

รากฟันเทียมแบบเล็กหรือที่เรียกว่า “Mini Dental Implants” เป็นรากฟันที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ โดยมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอสำหรับการฝังรากฟันเทียมทั่วไป รากฟันเทียมชนิดนี้สามารถติดตั้งได้ง่ายกว่า ใช้เวลาในการรักษาน้อยลง และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรากฟันเทียมแบบถาวรแต่ไม่สามารถทำการปลูกถ่ายกระดูกได้

3. การใช้วัสดุไทเทเนียมแบบผสมผสาน (Zirconia Implants)

แม้ว่าไทเทเนียมจะเป็นวัสดุที่ใช้ในรากฟันเทียมอย่างแพร่หลาย แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาวัสดุชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เซอร์โคเนีย” (Zirconia) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูงและมีความทนทานต่อการสึกหรอ เซอร์โคเนียยังมีสีที่คล้ายกับฟันธรรมชาติ ทำให้รากฟันเทียมชนิดนี้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ เซอร์โคเนียยังช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและลดโอกาสการเกิดการอักเสบในระยะยาว

4. การฝังรากฟันเทียมแบบไม่ต้องผ่าตัด (Flapless Surgery)

เทคโนโลยีการฝังรากฟันเทียมแบบไม่ต้องผ่าตัดหรือ Flapless Surgery เป็นวิธีที่ช่วยลดความเจ็บปวดและการบาดเจ็บในระหว่างการฝังรากฟัน โดยใช้การเจาะรูเล็กๆ บนเหงือกเพื่อฝังรากฟันเทียมแทนการเปิดเหงือก วิธีนี้ทำให้ระยะเวลาในการฟื้นตัวสั้นลง และช่วยลดการอักเสบและความเสี่ยงจากการติดเชื้อ

5. การปลูกถ่ายกระดูกขากรรไกร (Bone Grafting)

ในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีปริมาณกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอสำหรับการฝังรากฟันเทียม จำเป็นต้องใช้การปลูกถ่ายกระดูกขากรรไกรเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก การปลูกถ่ายกระดูกสามารถทำได้ทั้งจากกระดูกของผู้ป่วยเอง หรือใช้วัสดุสังเคราะห์ที่มีความปลอดภัย กระบวนการนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำรากฟันเทียมได้แม้จะมีปัญหากระดูกไม่เพียงพอ

6. การฝังรากฟันเทียมทั้งปาก (All-on-4 Implants)

เทคโนโลยี “All-on-4” เป็นการฝังรากฟันเทียมที่ใช้เพียง 4 รากฟันเพื่อรองรับฟันปลอมทั้งปาก วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียฟันทั้งหมดในปากและต้องการฟันปลอมแบบถาวร โดยใช้รากฟันเพียง 4 ตำแหน่งเพื่อรองรับฟันปลอมทั้งปาก กระบวนการนี้ช่วยลดจำนวนรากฟันที่ต้องฝัง และทำให้การรักษารวดเร็วขึ้น

ความสำคัญของการวางแผนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย

เทคโนโลยีรากฟันเทียมที่ทันสมัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การรักษาฟันมีประสิทธิภาพและปลอดภัยขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วยอีกด้วย การวางแผนการรักษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้วัสดุที่ทันสมัยทำให้การฝังรากฟันเทียมกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการรักษา

การเตรียมตัวก่อนการฝังรากฟันเทียม

หากคุณกำลังพิจารณาการฝังรากฟันเทียม สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวและปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม นี่คือบางข้อควรระวังก่อนการรักษา:

  • ตรวจสุขภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะทำการตรวจสอบสุขภาพฟันและเหงือกเพื่อประเมินความเหมาะสมในการฝังรากฟัน
  • ตรวจปริมาณกระดูก: ในบางกรณีที่กระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ อาจต้องทำการปลูกถ่ายกระดูกก่อนการฝังรากฟัน
  • งดการสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่สามารถลดประสิทธิภาพในการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

สรุป

เทคโนโลยีรากฟันเทียมในปัจจุบันมีความหลากหลายและก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การออกแบบด้วยระบบดิจิทัลไปจนถึงวัสดุที่ทนทานและเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่สำคัญ การปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณมั่นใจในการรักษาและสามารถฟื้นฟูสุขภาพฟันได้อย่างสมบูรณ์

คืนรอยยิ้มที่มั่นใจด้วยรากฟันเทียม

คืนรอยยิ้มที่มั่นใจด้วยรากฟันเทียม

การสูญเสียฟันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการเคี้ยวอาหาร การพูดคุย หรือความมั่นใจในตัวเอง รากฟันเทียมเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่นิยมในการแก้ไขปัญหานี้ บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับรากฟันเทียม ตั้งแต่วิธีการทำ ข้อดี ข้อเสีย และการดูแลรักษา เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่ารากฟันเทียมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับคุณหรือไม่

รากฟันเทียมคืออะไร?

รากฟันเทียม (Dental Implant) คือการฝังวัสดุที่ทำจากไทเทเนียมลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป จากนั้นจะมีการต่อฟันเทียมที่มีลักษณะเหมือนฟันธรรมชาติเข้ากับรากฟันเทียม ทำให้สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด

การรักษาด้วยรากฟันเทียมเหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันแท้ ไม่ว่าจะเป็นฟันซี่เดียว ฟันหลายซี่ หรือฟันทั้งหมด โดยการรักษานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคี้ยวอาหาร พูดคุย และมีรอยยิ้มที่มั่นใจได้อีกครั้ง

ประเภทของรากฟันเทียม

รากฟันเทียมสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับเทคนิคการฝังและรูปแบบของฟันเทียมที่ใช้ โดยประเภทหลักๆ ของรากฟันเทียม ได้แก่:

1. รากฟันเทียมแบบเดี่ยว (Single Tooth Implant)

รากฟันเทียมแบบเดี่ยวคือการฝังรากฟันเทียมในตำแหน่งของฟันที่สูญเสียไปเพียงซี่เดียว โดยจะมีการฝังไทเทเนียมลงในกระดูกขากรรไกร จากนั้นติดฟันเทียมที่มีลักษณะเหมือนฟันธรรมชาติลงบนรากฟันเทียม

ข้อดี:

  • ทดแทนฟันที่สูญเสียไปเพียงซี่เดียวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ไม่ต้องมีการกรอฟันซี่ข้างเคียงเหมือนการทำสะพานฟัน

ข้อเสีย:

  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำฟันเทียมแบบอื่นๆ

2. รากฟันเทียมแบบหลายซี่ (Multiple Tooth Implant)

รากฟันเทียมแบบหลายซี่ใช้สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่ติดกัน โดยจะมีการฝังรากฟันเทียมในตำแหน่งที่เหมาะสม และติดฟันเทียมลงบนรากฟันเทียม ทำให้สามารถทดแทนฟันหลายซี่ได้ในครั้งเดียว

ข้อดี:

  • ทดแทนฟันหลายซี่ได้ในคราวเดียว
  • มีความแข็งแรงและทนทานมาก

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่ารากฟันเทียมแบบเดี่ยว

3. รากฟันเทียมแบบเต็มปาก (Full Arch Implant)

รากฟันเทียมแบบเต็มปากเหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปาก โดยจะมีการฝังรากฟันเทียมในตำแหน่งสำคัญเพื่อรองรับฟันปลอมแบบถาวรหรือแบบถอดได้

ข้อดี:

  • ทดแทนฟันทั้งปากได้อย่างสมบูรณ์
  • มีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ

ข้อเสีย:

  • มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้เวลาการรักษานาน

ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาหลายขั้นตอน โดยแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ ดังนี้:

1. การวางแผนการรักษา

ทันตแพทย์จะทำการตรวจสอบสุขภาพช่องปากและประเมินกระดูกขากรรไกรของผู้ป่วยเพื่อวางแผนการรักษาอย่างละเอียด หากมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกขากรรไกร เช่น กระดูกไม่เพียงพอ อาจต้องมีการปลูกกระดูกก่อนการฝังรากฟันเทียม

2. การฝังรากฟันเทียม

ขั้นตอนนี้จะเป็นการฝังรากฟันเทียมที่ทำจากไทเทเนียมลงในกระดูกขากรรไกร หลังจากนั้นต้องรอให้กระดูกและรากฟันเทียมสมานตัวกัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วย

3. การติดตั้งฟันเทียม

หลังจากที่กระดูกสมานตัวกับรากฟันเทียมแล้ว ทันตแพทย์จะทำการติดตั้งฟันเทียมที่ทำจากเซรามิกหรือวัสดุอื่นๆ ลงบนรากฟันเทียม โดยฟันเทียมจะมีลักษณะและสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมมีข้อดีมากมายที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้งานฟันได้อย่างเต็มที่ และมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้:

  1. ความเป็นธรรมชาติ: รากฟันเทียมมีลักษณะและการทำงานคล้ายกับฟันธรรมชาติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคี้ยวอาหารและพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  2. ความทนทาน: รากฟันเทียมทำจากไทเทเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และเข้ากับกระดูกขากรรไกรได้ดี
  3. ป้องกันการสูญเสียกระดูก: การสูญเสียฟันทำให้กระดูกขากรรไกรไม่มีการใช้งาน และเกิดการสลายตัวได้ แต่การฝังรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระดูกขากรรไกรยังคงความแข็งแรง
  4. การดูแลรักษาง่าย: การดูแลรักษารากฟันเทียมเหมือนกับการดูแลฟันธรรมชาติ เพียงแค่แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ

ข้อควรระวังและข้อจำกัดของรากฟันเทียม

แม้ว่าการทำรากฟันเทียมจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาก่อนการรักษา ได้แก่:

  1. ค่าใช้จ่ายสูง: การทำรากฟันเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำฟันเทียมประเภทอื่นๆ เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้องใช้เทคนิคและวัสดุที่มีคุณภาพสูง
  2. ระยะเวลาในการรักษานาน: การทำรากฟันเทียมต้องใช้เวลาหลายเดือนในการรอให้กระดูกสมานตัวกับรากฟันเทียม ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการการรักษาอย่างรวดเร็ว
  3. ความเสี่ยงในการผ่าตัด: การฝังรากฟันเทียมเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ การบาดเจ็บต่อเส้นประสาท หรือการสมานตัวของกระดูกที่ไม่สมบูรณ์

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829 Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental https://bpdcdental.com/ ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เปรียบเทียบรากฟันจริงกับรากฟันเทียม

เปรียบเทียบรากฟันจริงกับรากฟันเทียม

รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกร แต่มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

คุณสมบัติรากฟันจริงรากฟันเทียม
วัสดุกระดูกธรรมชาติไททาเนียม
กระบวนการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่าตัดฝังรากเทียม
เวลาในการฝังไม่จำเป็นใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน
การดูดซึมอาหารได้เต็มที่ได้เต็มที่
ความรู้สึกใกล้เคียงธรรมชาติใกล้เคียงธรรมชาติ
ความคงทนยาวนานยาวนาน
ราคาไม่แพงแพงกว่า


รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกร แต่มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

คุณสมบัติรากฟันจริงรากฟันเทียม
วัสดุกระดูกธรรมชาติไททาเนียม
กระบวนการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่าตัดฝังรากเทียม
เวลาในการฝังไม่จำเป็นใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน
การดูดซึมอาหารได้เต็มที่ได้เต็มที่
ความรู้สึกใกล้เคียงธรรมชาติใกล้เคียงธรรมชาติ
ความคงทนยาวนานยาวนาน
ราคาไม่แพงแพงกว่า

drive_spreadsheetส่งออกไปยังชีต

รากฟันจริง

รากฟันจริงเป็นโครงสร้างที่เจริญเติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยกระดูกและเนื้อเยื่อที่แข็งแรง ยึดฟันเข้ากับกระดูกขากรรไกรได้อย่างมั่นคง ช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รากฟันจริงยังช่วยให้กระดูกขากรรไกรแข็งแรงและคงรูป ไม่เกิดการละลาย

รากฟันเทียม

รากฟันเทียมเป็นวัสดุทดแทนรากฟันจริง ผลิตจากไททาเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี รากฟันเทียมจะถูกฝังลงไปในกระดูกขากรรไกร จากนั้นจึงทำการยึดครอบฟันหรือสะพานฟันลงไปบนรากเทียม รากฟันเทียมช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใกล้เคียงกับรากฟันจริง อย่างไรก็ตาม รากฟันเทียมมีราคาสูงกว่ารากฟันจริง

ข้อบ่งชี้ในการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมสามารถทำได้ในผู้ที่สูญเสียฟันไป 1-3 ซี่ บริเวณฟันหน้าหรือฟันหลัง ผู้ที่ไม่สามารถรักษารากฟันได้ หรือผู้ที่มีปัญหากระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรง

ข้อดีและข้อเสียของการทำรากฟันเทียม

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • ช่วยให้ฟันสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใกล้เคียงกับรากฟันจริง
  • คงทนยาวนาน

ข้อเสียของการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • มีราคาสูงกว่ารากฟันจริง
  • ใช้เวลาในการฝังรากเทียมนาน
  • อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

สรุป

รากฟันจริงและรากฟันเทียมเป็นทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป รากฟันจริงเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่รากฟันเทียมเป็นวัสดุทดแทนที่มีประสิทธิภาพและใกล้เคียงกับรากฟันจริง อย่างไรก็ตาม รากฟันเทียมมีราคาสูงกว่ารากฟันจริง การเลือกทำรากฟันเทียมหรือรากฟันจริงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพสุขภาพฟัน งบประมาณ และความต้องการของผู้ป่วย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันเทียม คืออะไร

รากฟันเทียม คืออะไร


รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวิธีการฟื้นฟูฟันที่สูญหายโดยใช้โครงสร้างเป็นเหล็กไททาเนียม ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมือนกับรากฟันจริง โดยรากฟันเทียมจะถูกฝังเข้าไปในกระดูกของท้องปาก และหลังจากนั้นจะมีกระบวนการรักษาประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้กระดูกท้องปากยึดกับรากฟันเทียมได้แน่นหนา

ประเภทของรากฟันเทียม

รากฟันเทียมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

  • รากฟันเทียมแบบเดี่ยว เหมาะสำหรับการทดแทนฟันที่หายไปเพียงซี่เดียว
  • รากฟันเทียมแบบหลายซี่ เหมาะสำหรับการทดแทนฟันที่หายไปหลายซี่หรือทั้งแถว

ขั้นตอนการรักษารากฟันเทียม

ขั้นตอนการรักษารากฟันเทียมมีดังนี้

  1. ทันตแพทย์จะทำการประเมินสภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรของคนไข้
  2. หากกระดูกขากรรไกรแข็งแรงเพียงพอ ทันตแพทย์จะฝังรากเทียมลงไปในกระดูก
  3. รอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
  4. เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกแล้ว ทันตแพทย์จะใส่ฟันปลอมหรือครอบฟันลงไปบนรากเทียม

ข้อดีของรากฟันเทียม

  • มีความแข็งแรงและทนทาน
  • สามารถบดเคี้ยวอาหารได้เหมือนฟันธรรมชาติ
  • มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  • ช่วยป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร

ข้อเสียของรากฟันเทียม

  • มีค่าใช้จ่ายสูง
  • ใช้เวลาในการรักษานาน
  • อาจมีอาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อยหลังการผ่าตัด

ข้อควรพิจารณาก่อนทำรากฟันเทียม

  • ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม
  • เตรียมตัวรักษาโดยดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดและแข็งแรง
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการผ่าตัด

การดูแลรักษารากฟันเทียม

หลังทำรากฟันเทียมแล้ว คนไข้ควรดูแลรักษารากฟันเทียมให้ดี ดังนี้

  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรากฟันเทียมเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการกัดของแข็ง

รากฟันเทียมเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถทดแทนฟันที่สูญเสียไปได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

การรักษารากฟัน 2022

การรักษารากฟัน 2022

เชื่อว่าหลายท่านมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า การรักษารากฟัน เนื่องจากคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่ามีอาการฟันโยก ฟันคลอน การรักษารากฟัน จะสามารถช่วยตอบโจทย์ในการจัดการฟันให้กลับมาแน่นขึ้น ลดการคลอนหรือโยกของฟันได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด วันนี้ทีมงานจึงได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการรักษารากฟันอย่างแท้จริงมาฝากกันค่ะ

 จริงๆแล้วการรักษารากฟันก็คือการเอาคลองประสาทฟันหรือโพรงรากฟันที่เกิดการอักเสบอยู่แล้วออกไป โดยสาเหตุที่จำเป็นจะต้องเอาคลองประสาทฟันที่อักเสบออกไป เนื่องจากว่า ทันตแพทย์มักจะพบว่าคนไข้ที่มีอาการฟันผุ คือสาเหตุหลักที่ทำให้มีการติดเชื้อไปถึงประสาทฟันซี่นั้นๆ หลังจากคุณหมอหรือทันตแพทย์ได้ทำการรักษารากฟัน โดยการนำคลองประสาทฟันออกแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็จะทำความสะอาดช่องปากและคลองประสาทฟันด้วยการใส่ยาฆ่าเชื้อและใช้วิธีการอุดรากฟันตามไปทีหลัง โดยทั้งนี้ เมื่อมีการอักเสบในคลองประสาทฟันก็จะมีการปวดฟันตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น การรักษารากฟันจึงถือเป็นการลดอาการปวดและอักเสบของฟัน รวมทั้งยังกำจัดอาการปวดฟันให้หายไปโดยสิ้นเชิง หรือเรียกได้ว่ารักษาแบบถอนรากถอนโคนเลยนั่นเอง และการรักษารากฟัน ยังเป็นวิธีการในการที่จะเก็บฟันซี่นั้น ๆ ของคนไข้เอาไว้ได้นานที่สุด โดยฟันยังสามารถกลับไปใช้งานได้ตามปกติอีกด้วย ซึ่งไม่ต้องถอนฟันทิ้งนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฟันซี่ที่ทำการรักษารากฟันไปแล้วนั่น ส่วนใหญ่มักจะพบว่ามีโอกาสเนื้อของฟันเกิดอาการเปราะและแตกง่ายเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น การใช้วิธีรักษารากฟันจึงจำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องมีการใช้วิธีทำการครอบฟันร่วมด้วยนั่นเอง

โดยลักษณะของฟันที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษารากฟัน ส่วนใหญ่ทันตแพทย์หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาจากข้อต่อไปนี้ 1.ฟันซี่นั้น เกิดมีรูผุเสียหายจนถึงคลองประสาทฟันและแสดงอาการปวดชัดเจน 2. ฟันซี่นั้นมีสีคล้ำลงผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในไรฟันอีกด้วย 3. เป็นฟันซี่ที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงหรือได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุ 4. เป็นลักษณะของฟันซี่ที่มีรอยร้าวหรือมีรอยแตก บิ่น ซึ่งคนไข้มักจะมีอาการปวดและเสียวฟันร่วมด้วย 5. เป็นลักษณะของฟันที่มีการรักษาโดยการอุดฟันไว้อยู่แล้ว แต่เกิดมีตุ่มหนองขึ้นบริเวณของฟันให้เห็นเด่นชัด

การรักษารากฟันหรือโพรงประสาทฟันนั้น มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เพื่อไม่ให้คนไข้มีอาการเจ็บหรือปวดในระหว่างการรักษาคุณหมอหรือทันตแพทย์จะมีการใส่ยาชาให้ก่อน เพื่อลดอาการเจ็บปวด โดยหลังจากยาชาทำการออกฤทธิ์เต็มที่แล้วนั้น ทันตแพทย์จะทำการใส่แผ่นยางกันน้ำลายหรือที่เรียกว่า rubber Dam เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของน้ำลายเข้าไปปะปนในบริเวณคลองรากฟันที่กำลังทำการรักษาอยู่ 2. คุณหมอหรือทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มด้วยขั้นทำความสะอาดคลองรากฟัน โดยทำการใส่ยาไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยคุณหมอจะเริ่มนัดในรอบถัดไปเพื่อทำการรักษาขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะมีการขยายคลองรากฟันต่อ ด้วยการใส่ยา ซึ่งหากคุณหมอหรือทันตแพทย์แน่ใจแล้วว่า การติดเชื้อบริเวณคลองรากฟันนั่นได้ถูกกำจัดออกไปหมดเกลี้ยงแล้ว ก็จะเริ่มขั้นตอนของการอุดคลองรากฟัน ก็ถือเป็นการจบกระบวนการรักษารากฟัน โดยภายหลังเมื่อทำการรักษารากฟันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็จะทำการรักษาต่อ โดยการอุดตัวฟันด้านบนเพื่อให้คนไข้สามารถใช้งานฟันซี่ต่อไป เช่น ขบเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ซึ่งภายหลังคุณหมอก็จะทำการนัดตรวจเช็คช่องปากและตรวจเช็คอาการหลังทำการรักษารากฟัน โดยจะทำการนัดคนไข้เป็นเวลา 1-2 ครั้งซึ่งจะใช้ระยะเวลา 2-3 เดือนหลังจากนัน ทันตแพทย์หรือคุณหมอแน่ใจว่าไม่มีอาการหรือพบผลข้างเคียงใดๆ ขั้นตอนสุดท้าย นั่นก็คือ จะทำการใส่เดือยฟันและใส่ครอบฟันให้แก่คนไข้ต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรากฟันของคนไข้ให้ฟันซี่ที่ทำการรักษาสามารถกลับมาใช้งานได้ปกติที่สุดนั่นเอง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายรักษารากฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#รักษารากฟัน #รากฟันเทียม

รากฟันเทียม 2022

รากฟันเทียม กับเทคโนโลยีทันตกรรมในปี 2022

รากฟันเทียม กับเทคโนโลยีทันตกรรมในปี 2022

ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากจะสูญเสียฟัน ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องพบได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ ที่หลายครั้งสุขภาพช่องปากก็รับภาระหนัก จนทำเอาเจ้าของฟันถึงกับถอดฟัน อยากจะตัดปัญหาด้วยการถอนฟันซี่ที่มีปัญหานั้นทิ้งเสีย แต่ในปี 2022 เช่นนี้ เทคโนโลยีทันตกรรมก็ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับรากฟันเทียม ที่เดี๋ยวนี้มี “รากฟันเทียมระบบดิจิทัล” เราจะไปทำความรู้จักเจ้าสิ่งนี้กันค่ะ

รากฟันเทียมคืออะไร

รากฟันเทียม หรือรากเทียม คือ วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันทำจากไททาเนียมซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ใช้สำหรับฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อช่วยในการทำฟันเทียมแบบติดแน่น และแบบถอดได้ ปัจจุบันการใส่รากฟันเทียมถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม

  • ฟันเทียมที่ดูเป็นธรรมชาติ และใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด
  • ไม่ต้องกรอแต่งฟันข้างเคียง
  • ป้องกันการสูญเสียฟัน และกระดูกข้างเคียง
  • ให้ความสวยงาม เป็นธรรมชาติมากที่สุด และสามารถบดเคี้ยวได้ตามปกติ

ทำความรู้จักรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

รากฟันเทียมระบบดิจิทัล (Computer Guided Implant Surgery) เป็นการวางแผนการฝังรากฟันเทียมแบบระบบดิจิทัลด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีทางภาพถ่ายรังสีแบบ 3 มิติ (3D Dental CT Scan) เพื่อช่วยในการวางแผนรักษาและกำหนดตำแหน่งฝังรากฟันเทียมที่เหมาะสมที่สุด ภาพถ่ายรังสีแบบ 3มิตินี้ ยังช่วยให้ทันตแพทย์สามารถเลือกขนาดรากฟันเทียมได้สอดคล้องกับตำแหน่งฟันที่จะใส่ทดแทน

โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะหาตำแหน่งและขนาดของรากฟันเทียมที่เหมาะสมที่สุด โดยจะไม่กระทบกับอวัยวะสำคัญภายในช่องปากของคนไข้ที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น เส้นประสาท, หรือ โพรงอากาศข้างแก้ม ซึ่งการทำเอ็กซเรย์แบบ 3 มิตินั้น จะทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในช่องปากได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน เมื่อเราได้ภาพภาพ 3 มิติของตำแหน่งของรากฟันเทียมมาแล้ว ก็จะนำไปพิมพ์เป็นอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งสำหรับการฝังรากฟันเทียม ซึ่งจะเอาไปใช้ในขั้นตอนการผ่าตัดต่อไป

ความแตกต่างระหว่างการฝังรากฟันเทียมปกติกับฝังรากฟันเทียมดิจิทัล

การผ่าตัดฝังรากฟันเทียมแบบปกตินั้น จะต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของทันตแพทย์ค่อนข้างมาก เนื่องจากความนิ่งและมือของทันตแพทย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดตำแหน่งของการฝังรากฟันเทียม แต่พอมีการนำเทคโนโลยีการฝังรากฟันเทียมดิจิทัลเข้ามาช่วยในการฝังรากฟันเทียมแบบระบบดิจิทัล
ทันตแพทย์ก็จะทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากทันตแพทย์ในระหว่างการฝังรากฟันเทียมได้มากขึ้นด้วย

ขั้นตอนในการฝังรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

  • ทันตแพทย์จะทำการประเมินสภาพฟันและช่องปากก่อนว่าเหมาะสมที่จะทำรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

ได้หรือไม่ ซึ่งมีงื่อนไขว่าคนไข้จะต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามสำหรับทำรากฟันเทียม เพื่อที่จะได้ทราบว่าควรจะต้องฝังรากเทียมทั้งหมดกี่ตำแหน่ง

  • จากนั้นทันตแพทย์จะพิมพ์ปาก ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายที่จะใช้การพิมพ์ปากแบบ 3 มิติ ทำให้สามารถเห็นฟัน

ได้โดยรอบและจัดเก็บข้อมูลเป็นดิจิทัล แล้วจึงนำข้อมูลจากการทำ CT Scan มาเข้าสู่ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อออกแบบตำแหน่งของรากเทียมที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละคน

  • ทันตแพทย์จะส่งข้อมูลไปให้ห้องแล็บทันตกรรม เพื่อพิมพ์เป็นอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งรากเทียม

ออกมา แล้วนำกลับมาใช้ในการผ่าตัด

  • ในวันผ่าตัดเพื่อฝังรากเทียม ทันตแพทย์จะทำการฉีดยาชาเพื่อเปิดเหงือกสำหรับฝังรากเทียม และทำ

การฝังรากเทียมตามที่วางแผนมาผ่านอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งรากเทียม

  • หลังจากที่ฝังรากเทียมเสร็จแล้ว ระยะเวลาการพักฟื้นจะขึ้นอยู่กับกระดูกของคนไข้ ถ้าเป็นขากรรไกร

บนจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ส่วนขากรรไกรล่างใช้เวลา 3 เดือน เพื่อให้กระดูกติดกับตัวรากเทียมได้โดยตรง และเมื่อคนไข้กลับมาพบทันตแพทย์ เพื่อจะทำการพิมพ์ปากสำหรับใส่ครอบฟันบนรากเทียมต่อไป

ด้วยเทคโนโลยีฝังรากฟันเทียมระบบดิจิทัลจะช่วยลดการสูญเสียฟันโดยไม่จำเป็น เพราะไม่ว่าอะไรก็ดีไม่เท่าฟันของเราจริง ๆ หรอกค่ะ ดังนั้นแล้ว เราจึงควรถนอมฟันของเราให้มากที่สุด นั่นจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำรากฟันเทียม
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#รากฟันเทียม #ทำรากฟันเทียม

4 วิธีที่จะช่วยให้ฟันที่เสียหายไป สามารถใช้งานได้อีกครั้ง

4 วิธีที่จะช่วยให้ฟันที่เสียหายไป สามารถใช้งานได้อีกครั้ง

ถ้าจะพูดถึงการดูแลรักษาฟัน สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันไปนั้น มักจะมี 4 วิธี ที่จะทำให้ฟันของคุณกลับมาสวยงามอีกครั้ง และสามารถใช้งานได้ดีเหมือนได้ฟันงอกมาใหม่ได้ด้วย 4 วิธีดังนี้

  1. ฟันปลอม
    ฟันปลอม มีส่วนสำคัญที่เข้าไปช่วยทดแทนฟันที่หายไปเพื่อป้องกันไม่ให้การเคลื่อนที่ของฟันติดกันหรือฟันตรงข้ามกับพื้นที่ฟันที่หายไปผู้ที่ใส่ฟันปลอมส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีสุขภาพฟันที่ไม่ดี ฟันเสื่อมสภาพเร็ว

ซึ่งการใส่ฟันปลอมจะช่วยในการบดเคี้ยวอาหารที่มีความเหนียวไม่ได้ เพราะฟันปลอมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อบดเคี้ยวอาหารได้

  1. ครอบฟัน
    การครอบฟัน เป็นการบูรณะฟัน กรณีฟันแตก ฟันหัก หรือฟันที่รักษาคลองรากฟันแล้ว ปัจจุบันใช้การครอบฟันแบบเซรามิค ล้วน ในการทดแทนฟันด้านหน้า เพราะจะมีสีฟันเสมือนจริง และจะใช้การครอบฟัน แบบพอร์ซเลนผสมโลหะ ในการทดแทนฟันกราม เพื่อใช้บดเคี้ยว หรือหากเป็นแนวนักร้องแรปเปอร์ ก็จะทำการครอบฟันด้วยทองคำ หรือ ทองคำขาวเพื่อความนำสมัย
  2. ทำสะพานฟัน
    เป็นโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยการครอบฟัน 2 จุด โดยใช้ฟันปลอม เป็นการเชื่อมระหว่างช่องว่างของฟันที่หายไป จึงเรียกว่า สะพานฟัน (Bridge) เมื่อเรามีฟันที่หายไป จะส่งผลถึงการสื่อสาร การพูด การเคี้ยวอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปได้ สะพานฟันถือเป็นหนึ่งในทางเลือกในการรักษาเพื่อทดแทนฟันที่หายไป โดยสะพานฟันจะเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างฟันซี่ข้างเคียงที่อยู่ข้างๆช่องว่างที่ฟันหายไป ช่วยเติมเต็มและทดแทนฟันที่หายไป
  3. รากฟันเทียม
    การฝังรากเทียมเป็นการทำฟันปลอมชนิดหนึ่งเพื่อทดแทนฟันที่หายไปด้วยการทำรากฟันเทียม (Implant) แต่ว่าการทำรากฟันเทียมนั้นมีความสามารถในการบดเคี้ยวอาหารได้ดีมากๆ เพราะสร้างฟันที่เหมือนจริงและแข็งแรงทนทานมากๆ

รากฟันเทียมเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในการทำฟันปลอมหรือทำสิ่งที่ทดแทนฟันได้ดีที่สุด

สำหรับการรักษารากฟันเทียมนั้น ควรเลือกรักษากับทันตแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและความชำนาญเพื่อให้การทำรากฟันเทียมประสบผลสำเร็จและสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ และควรเข้ารับการตรวจติดตามผลทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงจะอยู่กับเราไปอีกนาน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายเพื่อทำรากฟันเทียม

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

BPDC #คลินิกทันตกรรม #รากฟันเทียม #รักษารากฟันเทียม #Implant

รากเทียมเจ็บหรือไม่

รากเทียมเจ็บหรือไม่

การทำรากเทียม ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด เนื่องจากแพทย์จะมีการให้ยาชาเฉพาะที่หรือยาระงับความรู้สึกเจ็บปวดในระหว่างการทำ โดยแพทย์จะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่อย่างน้อยสองตำแหน่ง ดังนั้นคนไข้จึงไม่รู้สึกเจ็บแต่ภายหลังการทำอาจมีอาการปวดบวมได้บ้าง ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง

หลังการทำทันตกรรมรากเทียมแพทย์จะมีการนัดมาตัดไหมและติดตามผลการรักษาภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะประเมินลักษณะของแผล,ความเจ็บปวดและปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้น โดยคนไข้ต้องดูแลตนเองตามที่แพทย์สั่งหลังการทำทันตกรรมรากเทียมอย่างเคร่งครัด

ส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่าการทำรากฟันเทียมหรือการฝังรากเทียมนั้น คือการผ่าตัดโดยทำการเปิดเหงือก ซึ่งมันฟังดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะ? แต่ด้วยกระบวนการรักษารากเทียมนั้น กระบวนการที่ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บที่สุดคือการถอนฟัน มากกว่าการใส่รากเทียม เนื่องจากมีอาการเจ็บปวดจากกระดูกรากฟันที่ถูกถอนออกไป แต่การใส่รากเทียมคือการนำวัสดุที่ใช้ทดแทนรากจริงเพื่อแทนที่เท่านั้น เพราะฉะนั้นอาการเจ็บปวดจากการทำรากเทียมและบาดแผลนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย และด้วยเทคโนโลยีด้านทันตกรรมมีความก้าวหน้าขึ้นก็มีส่วนช่วยในกระบวนการรักษาที่จะไม่ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บและน่ากลัว และในปัจจุบันการทำรากเทียมก็มีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะสมกับคนไข้อีกด้วยนะ

เพราะที่จริงแล้วการทำรากเทียมนั้นไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างที่คิดเลย พิจารณาว่าควรทำรากเทียมดีหรือไม่นั้น วันนี้ BPDC Dental มาช่วยหาคำตอบเพื่อต้องการให้ทุกคนมีสุขภาพเหงือกและฟันที่ดีพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา หรือหากใครที่มีข้อสงสัยหรือต้องการได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถเข้ารับบริการได้ที่ BPDC Dental

การกลับมามีชีวิตที่ดี โดยที่ไม่ยาก ไม่เจ็บเหมือนเมื่อก่อน สบายใจได้มากกว่าที่คุณคิด เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นด้วยฟันชุดใหม่ กลับมาบดเคี้ยวอาหารได้อย่างดี ช่วยระบบย่อยจากภายใจ กินอาหารได้อย่างมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ทวงคืนรอยยิ้มที่มั่นใจของคุณกลับมา

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายเพื่อทำรากฟันเทียม

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

BPDC #คลินิกทันตกรรม #รากฟันเทียม #รักษารากฟันเทียม #CadCam

รากฟันเทียมดีกว่าฟันปลอมอย่างไร

รากฟันเทียมดีกว่าฟันปลอมอย่างไร

เมื่อฟันถูกถอนไป กระดูกรองรับรากฟันในบริเวณนั้นจะเกิดการละลายมากกว่าในบริเวณที่ยังมีฟันธรรมชาติอยู่ การใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้เพื่อทดแทนช่องว่างนั้นสามารถทำได้ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปเราจะพบว่าเกิดการหลวมของฟันปลอมขึ้นโดยเหตุผลส่วนหนึ่งนั้นมาจากที่กระดูกรองรับรากฟันได้ละลายไป ทำให้เกิดการยุบตัวของสันเหงือก ฟันปลอมจึงไม่มีความพอดีเหมือนในช่วงแรก

เป็นที่ทราบดีว่า รากฟันเทียม นั้นทำมาจากวัสดุที่เข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายเราได้อย่างดี การมีอยู่ของรากฟันเทียมในกระดูรองรับรากฟันจะช่วยกระจายแรงบดคี้ยวจากตัวครอบฟันลงสู่กระดูกขากรรไกรของเราอย่างเหมาะสม ดังนั้นการใส่รากฟันเทียมจึงช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกรองรับรากฟันอีกในบริเวณที่มีการถอนฟันออกไปนั่นเอง

หลังจากใส่รากฟันเทียมแล้วจะสามารถต่อครอบฟันขึ้นมาจากรากฟันเทียมเพื่อทดแทนฟันที่หายไปโดยที่ไม่ต้องกรอแต่งฟันธรรมชาติเหมือนกับในการทำสะพานฟัน ในกรณีที่มีฟันถูกถอนไปติดกันหลายตำแหน่งรากฟันเทียมก็สามารถรองรับครอบฟันในรูปแบบสะพานฟันได้เช่นกัน หรือในกรณีที่ไม่มีฟันธรรมชาติเหลืออยู่เลยการ เราสามารถใส่รากฟันเทียมเพื่อเพิ่มการยึดเกาะให้กับฟันปลอมได้อีกด้วย โดยไม่ว่าจะเป็นการใส่รากฟันเทียมเพื่อต่อครอบฟัน/สะพานฟันแบบติดแน่น หรือ เพื่อเพิ่มการยึดติดให้กับฟันปลอมชนิดถอดได้ ล้วนช่วยให้สามารถบดเคี้ยวได้ดีขึ้น แก้ปัญหาฟันปลอมขยับขณะรับประทานอาหาร เพิ่มความรู้สึกสบายมั่นใจมากยิ่งขึ้นในขณะพูดคุยอีกด้วย

ระยะเวลาในการทำรากฟันเทียม

สำหรับระยะเวลาในการรักษารากฟันเทียม นั้นจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นปริมาณและคุณภาพของกระดูกขากรรไกร ที่อาจจะต้องมีการเสริมกระดูกให้แข็งแรง จำนวนฟันที่ต้องการทำรากเทียม เป็นต้น

ในปัจจุบันนี้ มีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยลดระยะเวลาในการทำครอบฟันให้เสร็จภายในวันเดียว นั่นก็คือเทคโนโลยี Dental Digital CAD/CAM ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการทำรากฟันเทียมให้สั้นลง ด้วยวิธีการส่งแล็บ และสแกนช่องปากแทนการพิมพ์ปากแบบเดิม โดยจะเริ่มจากการเอกซเรย์ 3 มิติ ถ่ายรูปและสแกนซี่ฟัน หลังจากนั้นจะเป็นการออกแบบชิ้นงานด้วยโปรแกรม และผลิตชิ้นงาน ก่อนจะนำมาใส่ในช่องปากให้กับผู้รับการรักษา โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงเท่านั้น

ใครที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม

สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันแท้ไป การใส่รากฟันเทียมนั้น ควรทำในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากกระดูกขากรรไกรจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และผู้ที่จะทำรากเทียมนั้น ควรที่จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถทำการผ่าตัดโดยใช้ยาชาได้ สำหรับบุคคลที่ไม่ควรทำรากฟันเทียม ได้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี บุคคลที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง

อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังจากทำรากฟันเทียม

การผ่าตัดรากฟันเทียมอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกับการผ่าตัด ซึ่งอาการเหล่านั้นอาจเกิดจากการผ่าตัดหรือพฤติกรรมของผู้เข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็น

  • รากฟันเทียมอักเสบ เนื่องจากการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีรสจัด การเคี้ยวของแข็ง การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่จัด
  • มีอาการเจ็บหรือปวดหลังผ่าตัด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบทันตแพทย์ทันที
  • มีอาการบวม สามารถประคบเย็นได้ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบทันตแพทย์ทันที
  • เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ผ่าตัด หากมีอาการอักเสบ เป็นหนอง หรือฟันเทียมโยก ควรแจ้งทันตแพทย์ทันที

หลังจาการใส่รากฟันเทียมไปแล้วจะเกิดอะไรได้บ้าง และควรปฏิบัติตัวอย่างไร

  • หลังใส่รากฟันเทียมอาจเกิดอาการ ปวด บวม อักเสบ ได้คล้ายกับเวลาที่เราได้รับการถอนฟันหรือผ่าฟันคุดนั่นเอง สิ่งที่สำคัญคือการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของเราและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • สัปดาห์แรกควรรับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่ได้รับจากทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ควรทานอาหารอ่อนๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หรือร้อนจัด
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จนกว่าจะรักษาเสร็จ
  • แปรงฟันในบริเวณอื่นได้ปกติแต่หลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผลโดยตรง การบ้วนน้ำเกลือทุกครั้งหลังอาหารสามารถช่วยลดการติดของเศษอาหารบริเวณแผล ลดโอกาสการเกิดการอักเสบได้
  • หากมีอาการที่ทำให้เกิดความกังวลใดๆ สามารถมาติดต่อมาที่แผนก หรือมาพบทันตแพทย์ได้ทันที

สำหรับการทำรากฟันเทียมนั้น ควรเลือกรักษากับทันตแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและความชำนาญเพื่อให้การทำรากฟันเทียมประสบผลสำเร็จและสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ และควรเข้ารับการตรวจติดตามผลทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงจะอยู่กับเราไปอีกนาน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายเพื่อทำรากฟันเทียม

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

BPDC #คลินิกทันตกรรม #รากฟันเทียม #รักษารากฟันเทียม #CadCam

การสูญเสียฟัน 1 ซี่เกิดอะไรได้บ้าง

การสูญเสียฟัน 1 ซี่เกิดอะไรได้บ้าง

หลายๆ คนจะละเลยและปล่อยว่างเรื่องของการที่เราสูญเสียฟันของเราออกไป ไม่ว่าจะด้วยการถอนออก หรือฟันหลุดออกไป ซึ่งถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยไว้อย่างนั้น จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันเพิ่มอย่างไรไปดูกันเลยค่ะ

  • ฟันหายไม่มีฟันทดแทน
  • ฟันบนยื่นลงมา ฟันข้างเคียงล้ม
  • เศษอาหารติด ทำให้ฟันข้างเคียงผุ
  • จนทำให้เสียฟันเพิ่ม

ภายหลังการถอนฟันควรต้องใส่ฟันทดแทน เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ตามมาที่คลินิกทันตกรรม BPDC เรามีทันตแพทย์ที่เชี่ยวงชาญในการฝังรากฟันเทียมทดแทน

โดยใช้ระบบ Dital 3D Implant เพื่อความแม่นยำในการฝังรากฟันเทียมได้มากที่สุดและคนไข้เจ็บน้อยที่สุด

ติดต่อเราเพื่อนัดหมายปรึกษาทำรากฟันเทียม
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)
www.bpdcdental.com

BPDC #คลินิกทันตกรรม #รากฟันเทียม #ถอนฟัน #ฟันทดแทน #รากฟันเทียมทดแทน