การดูแลฟันสำหรับเด็กต้องทำอย่างไรบ้าง

การดูแลฟันสำหรับเด็กต้องทำอย่างไรบ้าง

การดูแลฟันสำหรับเด็ก

การดูแลฟันสำหรับเด็กเป็นสิ่งสำคัญของสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดี ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการดูแลฟันสำหรับเด็ก:

เริ่มแต่เนิ่นๆ: ขอแนะนำให้ไปพบทันตแพทย์ทันทีที่ฟันซี่แรกของลูกคุณปรากฏขึ้น หรือภายในวันเกิดปีแรก สิ่งนี้ช่วยสร้างกิจวัตรในการพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอและปลูกฝังนิสัยการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ดี

แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ: สอนให้ลูกแปรงฟันวันละสองครั้งและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เด็กอาจต้องการความช่วยเหลือในการแปรงฟันจนกว่าจะอายุประมาณ 8 ขวบ

อาหารเพื่อสุขภาพ: ส่งเสริมให้ลูกของคุณรับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งมีอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและเป็นกรดต่ำ ซึ่งอาจทำให้ฟันผุได้

ฟลูออไรด์: ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุที่ช่วยป้องกันฟันผุ ชุมชนส่วนใหญ่มีการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำประปา แต่ทันตแพทย์ของคุณอาจสั่งการเสริมฟลูออไรด์หากจำเป็น

เคลือบหลุมร่องฟันฟัน: เคลือบหลุมร่องฟันเป็นพลาสติกเคลือบผิวที่ใช้บดเคี้ยวของฟันหลังเพื่อป้องกันฟันผุ นี่คือการรักษาที่แนะนำสำหรับเด็ก

หลีกเลี่ยงนิสัยที่เป็นอันตราย: กีดกันลูกของคุณจากนิสัยเช่นการดูดนิ้วหัวแม่มือ การใช้จุกนมหลอกเป็นระยะเวลานาน และใช้ขวดนมกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่น้ำ

อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ: หากบุตรหลานของคุณประสบอุบัติเหตุหรือได้รับบาดเจ็บที่ฟัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด การตอบสนองที่รวดเร็วสามารถช่วยป้องกันความเสียหายเพิ่มเติมและเพิ่มโอกาสในการรักษาฟัน

การตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำและการดูแลที่บ้านอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพช่องปากที่ดีสำหรับเด็ก

ทันกรรมเด็กสำคัญสำหรับเด็กอย่างไร?

ฟันมีบทบาทสำคัญในสุขภาพโดยรวมและพัฒนาการของเด็ก ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญบางประการที่ทำให้ฟันมีความสำคัญต่อเด็ก:

การกินและโภชนาการ: ฟันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเคี้ยวและสลายอาหาร ซึ่งมีความสำคัญต่อการย่อยอาหารและโภชนาการที่ดี

พัฒนาการด้านการพูด: ฟันมีบทบาทในการสร้างเสียงและการออกเสียง ดังนั้นฟันที่แข็งแรงสามารถช่วยในการพัฒนาการพูดและป้องกันปัญหาในการพูด

ความมั่นใจและความนับถือตนเอง: เด็กที่มีฟันแข็งแรงและรอยยิ้มที่สวยงามมักจะมีความนับถือตนเองและความมั่นใจในระดับที่สูงขึ้น

สุขอนามัยช่องปาก: ฟันและเหงือกที่แข็งแรงช่วยรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี ป้องกันฟันผุและโรคเหงือก

พัฒนาการของใบหน้า: ฟันมีบทบาทในการกำหนดรูปร่างและโครงสร้างของใบหน้า ดังนั้นการรักษาฟันให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาใบหน้าที่เหมาะสม

คุณภาพชีวิต: เด็กที่มีฟันแข็งแรงสามารถรับประทานอาหารที่พวกเขาชอบ พูดได้ชัดเจน และยิ้มได้อย่างมั่นใจ ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มดูแลฟันเด็กตั้งแต่อายุยังน้อย โดยการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ การดูแลที่บ้านที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งนี้สามารถช่วยวางรากฐานเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีไปตลอดชีวิต

เด็กควรพบทันตแพทย์เมื่อใด?

ขอแนะนำให้เด็กๆ ไปพบทันตแพทย์เป็นครั้งแรกเมื่อฟันซี่แรกขึ้น หรือภายในวันเกิดปีแรก แล้วแต่ว่าจะถึงอย่างใดก่อน หลังจากนั้นแนะนำให้เด็กไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพและทำความสะอาดตามปกติ สิ่งนี้ช่วยสร้างกิจวัตรในการพบทันตแพทย์เป็นประจำ และสามารถช่วยตรวจหาและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

หากเด็กมีประวัติปัญหาเกี่ยวกับฟันหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดฟันผุ ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ไปพบเด็กบ่อยขึ้น นอกจากนี้ หากเด็กมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดฟัน เสียวฟัน หรือบวม ควรรีบไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด

การตรวจสุขภาพและทำความสะอาดฟันเป็นประจำเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพช่องปากที่ดีสำหรับเด็ก และช่วยป้องกันฟันผุ โรคเหงือก และปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ได้

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

การฟอกสีฟันดีอย่างไร

การฟอกสีฟันดีอย่างไร

การฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟันเป็นขั้นตอนทางทันตกรรมเพื่อความงามที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้สีของฟันขาวขึ้นและขจัดคราบและการเปลี่ยนสี มีหลายวิธีในการฟอกสีฟัน ได้แก่ :

การฟอกสีฟันในสำนักงาน: นี่เป็นวิธีการฟอกสีฟันที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทันตแพทย์จะใช้สารฟอกขาวที่มีความเข้มข้นสูงกับฟัน จากนั้นเปิดใช้งานด้วยแสงพิเศษ กระบวนการทั้งหมดมักใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

ชุดอุปกรณ์นำกลับบ้าน: ชุดอุปกรณ์เหล่านี้ประกอบด้วยสารฟอกขาวที่มีความเข้มข้นต่ำซึ่งสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้ ไม่ว่าจะด้วยถาดที่ติดตั้งเองหรือแถบ โดยปกติแล้วชุดนำกลับบ้านจะใช้เวลานานกว่าในการให้ผลลัพธ์ แต่ก็มีราคาที่ถูกกว่าการฟอกสีฟันในสำนักงานเช่นกัน

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์: มีผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันที่จำหน่ายตามเคาน์เตอร์มากมาย รวมถึงยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง เจล และน้ำยาบ้วนปาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถช่วยขจัดคราบบนพื้นผิวได้ แต่จะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับวิธีการฟอกสีฟันโดยมืออาชีพ

สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับทันตแพทย์ก่อนทำขั้นตอนการฟอกสีฟัน เนื่องจากบางคนอาจไม่เหมาะที่จะฟอกสีฟัน เช่น ผู้ที่เป็นโรคเหงือก ฟันผุ หรือมีอาการเสียวฟัน นอกจากนี้ การฟอกสีฟันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถาวร และผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป ดังนั้นอาจจำเป็นต้องทำการรักษาแบบสัมผัสเพื่อรักษาระดับความขาวที่ต้องการ

เทคโนโลยีการฟอกสีฟันที่ดีที่สุด

เทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับการฟอกสีฟันอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีบางอย่างที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพที่สุดที่ใช้ในงานทันตกรรมในปัจจุบัน ได้แก่:

การฟอกสีฟันด้วยแสง LED: เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการฟอกสีฟันในสำนักงาน แสงพิเศษถูกใช้เพื่อเปิดใช้งานเจลฟอกสีฟันที่ใช้กับฟัน ซึ่งช่วยเร่งกระบวนการฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟันด้วยเลเซอร์: คล้ายกับการฟอกสีฟันด้วยแสง LED แต่ใช้เลเซอร์แทนการใช้แสง การฟอกสีฟันด้วยเลเซอร์จะได้ผลดีกว่าและเร็วกว่าวิธีฟอกสีฟันแบบอื่นๆ แต่ก็มีราคาแพงกว่าเช่นกัน

Philips Zoom!: นี่คือระบบการฟอกสีฟันแบบเก้าอี้ที่ใช้การผสมผสานระหว่างแสง LED และเจลไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อทำให้ฟันขาว เป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนในการไปพบทันตแพทย์เพียงครั้งเดียว

Opalescence Boost: ระบบฟอกสีฟันในสำนักงานอีกระบบหนึ่งที่ใช้เจลไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นสูงที่เปิดใช้งานด้วยแสงพิเศษ เป็นวิธีที่รวดเร็วและได้ผลยาวนาน

ท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับการฟอกสีฟันจะขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และความชอบของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

การฟอกสีฟันใช้เวลานานเท่าไหร่?

ระยะเวลาที่ใช้ในการฟอกสีฟันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการที่ใช้ หลักเกณฑ์ทั่วไปบางประการมีดังนี้

การฟอกสีฟันในที่ทำงาน: วิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการฟอกสีฟัน และโดยทั่วไปแล้วจะเห็นผลลัพธ์ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง

ชุดซื้อกลับบ้าน: ชุดเหล่านี้อาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน แต่ระยะเวลาที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารฟอกสีฟันและความถี่ที่ใช้

ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์: ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น ยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง เจล และน้ำยาบ้วนปาก อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน และไม่ได้ผลเท่ากับวิธีฟอกสีฟันโดยมืออาชีพ

สิ่งสำคัญคือต้องระลึกไว้เสมอว่าผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป และการสัมผัสอาจจำเป็นเพื่อรักษาระดับความขาวที่ต้องการ นอกจากนี้ บุคคลบางคนอาจไม่เหมาะกับการฟอกสีฟัน เช่น ผู้ที่เป็นโรคเหงือก ฟันผุ หรือมีอาการเสียวฟัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนดำเนินการขั้นตอนการฟอกสีฟัน

ข้อดีและข้อเสียของการฟอกสีฟัน

เช่นเดียวกับขั้นตอนการเสริมความงาม การฟอกสีฟันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นี่คือข้อดีและข้อเสียของการฟอกสีฟัน:

ข้อดี:

ปรับปรุงรูปลักษณ์: การฟอกสีฟันสามารถปรับปรุงรูปลักษณ์ของรอยยิ้มของคุณได้อย่างมากโดยการขจัดคราบและการเปลี่ยนสี วิธีนี้สามารถเพิ่มความมั่นใจในตนเองและทำให้คุณรู้สึกมีเสน่ห์มากขึ้น

ไม่รุกราน: การฟอกสีฟันเป็นขั้นตอนที่ไม่รุกรานซึ่งไม่จำเป็นต้องตัดหรือถอนโครงสร้างฟัน

ราคาไม่แพง: เมื่อเทียบกับขั้นตอนทางทันตกรรมเพื่อความงามอื่น ๆ การฟอกสีฟันมีราคาค่อนข้างแพงและเข้าถึงได้

สะดวก: วิธีการฟอกสีฟันหลายวิธี เช่น ชุดนำกลับบ้าน สามารถทำได้ที่บ้านของคุณเองอย่างสะดวกสบาย

จุดด้อย:

ความไว: บางคนอาจมีความรู้สึกไวหรือไม่สบายชั่วคราวระหว่างและหลังขั้นตอนการฟอกสีฟัน

ไม่ถาวร: ผลการฟอกสีฟันไม่ถาวร และอาจจำเป็นต้องทำการรักษาแบบสัมผัสเพื่อรักษาระดับความขาวที่ต้องการ

อาจทำให้เกิดความเสียหายได้: หากทำไม่ถูกต้อง การฟอกสีฟันอาจทำให้เคลือบฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปากเสียหายได้

ผลลัพธ์อาจแตกต่างกัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ทำไมต้องรักษารากฟัน

ทำไมต้องรักษารากฟัน

รักษารากฟัน

การรักษาคลองรากฟันเป็นขั้นตอนทางทันตกรรมที่ดำเนินการเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเสียหายภายในฟัน ขั้นตอนนี้ใช้เพื่อรักษาฟันที่อักเสบหรือติดเชื้ออันเป็นผลมาจากการผุ การบาดเจ็บ หรือสาเหตุอื่นๆ เป้าหมายของการรักษาคลองรากฟันคือการกำจัดเนื้อเยื่อที่เป็นโรคออกและรักษาโครงสร้างฟันที่ดีที่เหลืออยู่

โดยทั่วไปขั้นตอนจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่อไปนี้:

ยาสลบ: ทันตแพทย์จะทำให้ฟันและบริเวณโดยรอบชาเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย

การเข้าถึงเนื้อฟัน: ทันตแพทย์จะทำการเปิดเล็ก ๆ ที่ด้านบนของฟันเพื่อเข้าถึงเนื้อฟันที่ติดเชื้อหรือเสียหาย

การทำความสะอาดและปรับแต่งคลอง: ทันตแพทย์จะเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเสียหายออกและจัดรูปร่างคลองเพื่อเตรียมสำหรับการอุดฟัน

อุดคลอง: ทันตแพทย์จะอุดคลองด้วยวัสดุคล้ายยางที่เรียกว่า gutta-percha ซึ่งจะปิดคลองและช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

การอุดฟัน: ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันหรือครอบฟันเพื่อป้องกันและฟื้นฟูรูปร่างและการทำงานของฟัน

การรักษารากฟันเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ซึ่งสามารถช่วยรักษาฟันที่เสียหายหรือติดเชื้อจากการถอนฟันได้ ด้วยการดูแลที่เหมาะสม ฟันที่ผ่านการรักษาคลองรากฟันสามารถคงอยู่ไปตลอดชีวิตได้

3 ขั้นตอนของการรักษารากฟันคืออะไร

การรักษาคลองรากฟันมักเกี่ยวข้องกับสามขั้นตอน:

การวินิจฉัยและการเตรียมการ: ในขั้นตอนนี้ ทันตแพทย์จะวินิจฉัยความจำเป็นในการรักษาคลองรากฟัน เอ็กซเรย์ และชาฟันที่ได้รับผลกระทบและบริเวณโดยรอบเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย

การทำความสะอาดและการปรับรูปร่าง: ในขั้นตอนนี้ ทันตแพทย์จะเข้าถึงห้องเยื่อและคลองรากฟันและกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเสียหายออก จากนั้นทันตแพทย์จะทำความสะอาดและจัดรูปร่างคลองฟันเพื่อเตรียมอุดฟัน

การอุดฟันและอุดฟัน: ในขั้นตอนนี้ ทันตแพทย์จะอุดคลองที่สะอาดและได้รูปทรงด้วยวัสดุคล้ายยางที่เรียกว่า gutta-percha และอุดฟัน ทันตแพทย์อาจอุดฟันหรือครอบฟันเพื่อป้องกันและฟื้นฟูรูปร่างและการทำงานของฟัน

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าจำนวนและขั้นตอนที่แน่นอนของการรักษาคลองรากฟันอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของกรณีและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั่วไปที่สรุปไว้ข้างต้นเป็นวิธีการทั่วไปสำหรับการรักษาคลองรากฟันส่วนใหญ่

รากฟันมีอายุกี่ปี?

ด้วยการดูแลและบำรุงรักษาที่เหมาะสม การรักษาคลองรากฟันสามารถคงอยู่ไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการรักษาที่ยาวนานอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ตำแหน่งของฟัน ประเภทของวัสดุบูรณะที่ใช้ และสุขภาพช่องปากโดยรวมของผู้ป่วย

โดยทั่วไปแล้วการรักษารากฟันและครอบฟันที่ทำได้ดีสามารถอยู่ได้ 10-30 ปีหรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ และแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีเพื่อยืดอายุการรักษาให้ยาวนานที่สุด

สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ เช่นเดียวกับการรักษาทางทันตกรรมทั้งหมด การรักษาคลองรากฟันไม่สามารถป้องกันได้ 100% และอาจล้มเหลวเมื่อเวลาผ่านไป ในกรณีเช่นนี้ อาจจำเป็นต้องถอยกลับหรือการรักษาทางเลือก เช่น การฝังรากฟันเทียม การตรวจสุขภาพฟันและเอ็กซเรย์เป็นประจำสามารถช่วยตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเพิ่มโอกาสของผลสำเร็จ

การรักษารากฟันข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีและข้อเสียของการรักษาคลองรากฟันมีดังนี้

ข้อดี:

ช่วยรักษาฟันที่เสียหายหรือติดเชื้อ: การรักษาคลองรากฟันช่วยให้ทันตแพทย์สามารถกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเสียหายภายในฟันและรักษาโครงสร้างฟันที่แข็งแรงที่เหลืออยู่ ซึ่งจะช่วยรักษาฟันจากการถอนฟัน

บรรเทาอาการปวด: การรักษาคลองรากฟันสามารถบรรเทาความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากฟันที่ติดเชื้อหรืออักเสบได้

ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ: การรักษาคลองรากฟันจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปยังส่วนอื่น ๆ ของปากหรือร่างกายโดยการเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออก

ฟื้นฟูการทำงาน: การรักษาคลองรากฟันช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ฟันที่รักษาได้ตามปกติ ฟื้นฟูการทำงานและปรับปรุงการสบฟันโดยรวม

จุดด้อย:

ต้องเข้ารับการตรวจหลายครั้ง: การรักษาคลองรากฟันมักต้องไปพบทันตแพทย์หลายครั้งและอาจใช้เวลานาน

อาจมีราคาแพง: การรักษาคลองรากฟันอาจมีราคาแพงกว่าการรักษาทางทันตกรรมอื่นๆ และอาจไม่อยู่ในประกัน

อาจเจ็บปวด: แม้ว่าโดยทั่วไปการรักษาคลองรากฟันจะทำโดยใช้ยาชาเฉพาะที่และไม่เจ็บปวด แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดหลังการทำหัตถการ

ไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป แม้ว่าโดยทั่วไปการรักษาคลองรากฟันจะประสบความสำเร็จ แต่ก็มีโอกาสเล็กน้อยที่การรักษาอาจล้มเหลวและอาจต้องถอนฟัน

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าข้อดีและข้อเสียของการรักษาคลองรากฟันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีและความต้องการของผู้ป่วย ทันตแพทย์หรือทันตแพทย์รักษารากฟันสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมและช่วยตัดสินว่าการรักษาคลองรากฟันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอนุภาคหรือไม่

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน BPDC DENTAL

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน BPDC DENTAL

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน หรือคลินิกทันตกรรมที่อยู่ใกล้บ้านของคุณ เพียงเปิด Google map เพื่อที่จะแนะนำ ให้คุณได้รู้จักกับคลินิกทันตกรรม ใกล้ๆ บ้านคุณ

บริการทำฟัน ใกล้คุณ

การบริการทำฟันของที่นี่มีคุณภาพเกินราคา ไม่ว่าจะอุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟันคุด รักษาโรคเหงือก เอ็กซเรย์เพื่อวางแผนจัดฟัน คุณหมอที่นี่ก็มีความสามารถและทักษะที่เชี่ยวชาญ เครื่องมือแพทย์ วัสดุที่ต้องใช้ทำฟันล้วนได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล อีกทั้งยังทันสมัย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการรักษาฟันสูง แต่ราคากลับไม่แพงเลย ทำฟันแต่ละรายการมีราคาที่สมเหตุสมผล บางช่วงยังมีโปรโมชั่นดีๆที่คืนกำไรให้กับลูกค้าอีกด้วย

บริการทำฟันของที่นี่ราคาไม่แพง การติดต่อสอบถามหรือนัดปรึกษาปัญหาฟันก็สะดวกรวดเร็ว คุณหมอของคลินิกทำฟันแห่งนี้จะถนัดและเชี่ยวชาญในการจัดฟันและรักษาโรคเหงือกเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าจะจัดฟันออกมาแล้วพัง เพราะคุณหมอและคุณผู้ช่วยจะคอยให้คำแนะนำ ติดตามดูอาการอย่างสม่ำเสมอ

วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ของที่นี่ได้มาตรฐานสากล เทคโนโลยีที่นำมาใช้ร่วมกันก็มีประสิทธิภาพสูง มั่นใจได้เลยว่าการทำฟันของที่นี่มีคุณภาพเกินราคาแน่นอน

ติดต่อนัดปรึกษาปัญหาฟันได้สะดวก มีระบบการจัดการที่ดี เจ้าหน้าที่สามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ และมีบางครั้งที่มีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ เจ้าหน้าที่ของคลินิกทำฟันก็สามารถให้บริการได้อย่างไม่ติดขัด คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาฟันเบื้องต้นก็ช่วยไกด์แนวทางให้ลูกค้าได้เยอะ ทำให้หลายๆคนประทับใจในการบริการทำฟันของที่นี่ และกลับมาใช้บริการที่คลินิกอยู่เป็นประจำ

การให้บริการทันตกรรม

เจ้าหน้าที่ให้บริการดี คอยแนะนำโปรโมชั่นและแนวทางการรักษาฟันได้ดีมากๆ สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการ ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คอยอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อทำนัด มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำฟันแต่ละรายการก็สามารถตอบและไขข้อสงสัยนั้นๆได้ ถือว่าเป็นคลินิกทำฟันอีกแห่งหนึ่งที่อบรมและให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพ

บริการเกี่ยวกับทันตกรรม

– บริการจัดฟัน จัดฟันด้วยเครื่องมือเทคโนโลยี ทางการแพทย์ ที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย

– อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ใช้สิทธิประกันสังคม900บาท/ปีได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

– บริการฟอกสีฟัน ด้วยเทคโนโลยีที่สะอาดและรวดเร็วในการบริการ

– บริการเคลือบฟลูออไรด์ สำหรับเด็กๆ และนักเรียน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น การศึกษา ประสบการณ์ ชื่อเสียง และวิธีการรักษาของทันตแพทย์จัดฟัน คุณอาจต้องการพิจารณาสถานที่และชั่วโมงการฝึก รวมถึงตัวเลือกค่าใช้จ่ายและการชำระเงิน ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางส่วนที่คุณสามารถปฏิบัติตามเพื่อเลือกทันตแพทย์จัดฟันได้:

กำหนดความต้องการในการจัดฟันของคุณ: ทำรายการข้อกังวลและเป้าหมายในการจัดฟันของคุณ เช่น การจัดฟันให้ตรง แก้ไขฟันเหยิน หรือปรับปรุงการสบฟันของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้คุณพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีประสบการณ์ในการรักษาปัญหาเฉพาะเหล่านี้

วิจัยทันตแพทย์จัดฟันในพื้นที่ของคุณ: มองหาทันตแพทย์จัดฟันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งอเมริกา (AAO) คุณยังสามารถขอคำแนะนำจากทันตแพทย์ทั่วไปหรือเพื่อนและครอบครัว

กำหนดการให้คำปรึกษา: ติดต่อทันตแพทย์จัดฟันหลายคนและนัดหมายการปรึกษาหารือเพื่อพบพวกเขาด้วยตนเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีในการถามคำถามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพและวิธีการรักษาของพวกเขา

ประเมินการปฏิบัติ: พิจารณาสถานที่และชั่วโมงของการปฏิบัติ ตลอดจนความเป็นมืออาชีพและความเป็นมิตรของพนักงาน นอกจากนี้ คุณยังอาจต้องการสอบถามเกี่ยวกับประเภทของตัวเลือกการรักษาที่มี เช่น การจัดฟันแบบดั้งเดิมหรือการจัดฟันแบบใส

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงิน: การจัดฟันอาจมีราคาแพง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงินก่อนตัดสินใจ สอบถามเกี่ยวกับความคุ้มครองของประกันและตัวเลือกทางการเงิน เช่น แผนการชำระเงินหรือส่วนลดสำหรับการชำระเงินล่วงหน้า

ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ คุณจะพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีประสบการณ์ และเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

วิธีทำความสะอาดการจัดฟัน

สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน เช่น เหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟัน เพื่อป้องกันฟันผุและโรคเหงือก เคล็ดลับในการทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟันของคุณมีดังนี้

แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงทุกพื้นผิวของฟัน รวมถึงด้านหน้า ด้านหลัง และด้านบน อย่าลืมแปรงไปรอบ ๆ และใต้ลวดและเหล็กจัดฟันของคุณ

ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน: ใช้แปรงซอกฟันหรือไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างฟันและใต้ลวดจัดฟัน

บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก: ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและทำให้ลมหายใจสดชื่น

ทำความสะอาดเครื่องใช้ของคุณ: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือแปรงอุปกรณ์จัดฟันค่อยๆ ทำความสะอาดเครื่องมือจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟันของคุณ คุณยังสามารถแช่เครื่องมือจัดฟันในสารละลายที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำเพื่อช่วยขจัดคราบพลัคและแบคทีเรีย

ไปพบทันตแพทย์จัดฟันของคุณเป็นประจำ: ปฏิบัติตามกำหนดเวลาที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำสำหรับการตรวจสุขภาพและการปรับ ในระหว่างการนัดตรวจเหล่านี้ ทันตแพทย์จัดฟันของคุณจะตรวจสุขภาพฟันและเหงือกของคุณ และทำการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่จำเป็น

เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะสามารถช่วยรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี และรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้แข็งแรงขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

“อาการร้อนใน” แผลเล็กๆในช่องปากที่สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ  และนำมาซึ่งความรำคาญใจให้กับผู้ที่เป็น ทั้งยังสร้างความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาแปรงฟันหรือรับประทานอาหาร โดยส่วนใหญ่มักพบบริเวณกระพุ้งแก้ม พื้นช่องปากด้านข้างลิ้นหรือใต้ลิ้น และริมฝีปากด้านใน นอกจากนั้น “ร้อนใน” ยังเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว ให้กลับมาดูแลตัวเอง นอกจากนั้น อาการร้อนใน สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เลือกเวลา สิ่งที่สำคัญคือการกลับมาดูที่ต้นเหตุเพื่อจะได้รักษาและป้องกันได้ไม่ให้ลุกลามร้ายแรงต่อไป

ร้อนในมีอาการอย่างไร

ร้อนใน หรือแผลร้อนใน (Aphthous Ulcers) เป็นแผลที่มีขนาดเล็กและตื้น มีสีเหลืองหรือสีขาวล้อมรอบด้วยสีแดง เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือที่เหงือก ในบางรายพบบริเวณด้านในริมฝีปาก แก้มหรือลิ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเวลารับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือการพูดคุยทั่วไป

สาเหตุของอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัยกระตุ้นเสริมดังต่อไปนี้

  • บุคคลในครอบครัวมีประวัติของการเป็นแผลร้อนใน ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงห่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน
  • ความเครียด ความกังวลใจ และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก และธาตุเหล็ก เป็นต้น และการดื่มน้ำน้อยจนเกินไป
  • การตอบสนองต่อแบคทีเรียภายในช่องปาก หรือเชื้อไวรัส
  • เกิดการบาดเจ็บภายในช่องปาก
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การแพ้อาหาร
  • มีแผลกดทับหรือเสียดสีจากฟันปลอมที่หลวมเกินไป หรือเหล็กดัดฟันไม่พอดีกับฟัน
  • การกัดกระพุ้งแก้มของตนเอง

อาการร้อนในลักษณะไหนที่ควรไปพบแพทย์

โดยส่วนใหญ่แผลจากอาการร้อนในจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งอาการดังกล่าว ได้แก่

  • แผลร้อนในที่ใหญ่กว่าปกติ
  • แผลเดิมยังไม่หาย  แต่ก็มีแผลใหม่เกิดขึ้นอีก และมีแผลในช่องปากเกิดขึ้นบ่อยๆ
  • เป็นแผลร้อนในนาน 2 สัปดาห์หรือมากกว่า
  • แผลที่เกิดจากอาการร้อนในลุกลามไปยังบริเวณริมฝีปาก
  • ไม่สามารถรักษาแผลให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
  • เป็นแผลร้อนในพร้อมกับมีไข้สูง

การรักษาอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถรักษาได้ทั้งด้วยตนเองและรักษาตามแนวทางทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้

การรักษาด้วยตนเอง

ถึงแม้ว่าอาการร้อนในจะสามารถหายเองได้ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องรักษาความสะอาดภายในช่องปากควบคู่กันไปด้วย เช่น กลั้วปากด้วยน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน,ควรแปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก,หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดเพื่อให้แผลหายได้เร็วขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลร้อนในได้ เช่น ยาไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)

การรักษาตามแนวทางทางการแพทย์

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นแผลร้อนในมานานมากกว่า 2 สัปดาห์ และรักษาด้วยตัวเองแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ เช่น มีอาการเจ็บและลำบากในการพูดและการรับประทานอาหาร ,มีอาการอ่อนเพลีย,มีไข้ และเกิดการอักเสบของผิวหนังบริเวณข้างเคียง แนะนำไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ยาบ้วนปากต้านแบคทีเรีย หรือยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) หรือยาลิโดเคน (Lidocaine) เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวด ไม่เพียงเท่านั้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาประเภทคอร์ติโคสเตอรอยด์ เช่น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone)ร่วมด้วย

การป้องกันอาการร้อนใน

อาการร้อนใน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถป้องกันได้ เพื่อลดความถี่ในการเกิดแผลร้อนในให้น้อยลงได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  1. การดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปาก
    การดูแลสุขภาพภายในช่องปากด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ช่วยลดการเกิดอาการร้อนในภายในช่องปากได้ ดังนี้
  2. แปรงฟันหลังมื้ออาหารเป็นประจำหรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะทำให้ไม่มีเศษอาหารตกค้างที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในขึ้นได้
  3. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อหลังรับประทานอาหารและก่อนนอน โดยให้เลือกน้ำเกลือที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ใส ไม่มีสิ่งเจือปน
  4. ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟต
  5. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง
  6. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
    ให้พยายามเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภททอด อาหารรสจัด อาหารรสเปรี้ยวจัดอาหารเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ รับประทานผัก ผลไม้หรืออาหารประเภทธัญพืชมากขึ้น งดดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้แผลในปากที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้นมาได้

“ร้อนใน” นอกจากจะเป็นอาการที่สร้างความรำคาญใจแบบเจ็บแปลบให้กับผู้ที่เป็นแล้ว ยังอาจเป็นอาการที่แสดงถึงโรคอื่นๆตามมาด้วยโรคซีลิแอ็ก (ลำไส้เล็กทำงานผิดปกติ) โรคโครห์น (ทางเดินอาหารอักเสบอย่างรุนแรง) หรือ โรคโลหิตจาง ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยต่อไป และนอกจากนั้น อาการร้อนใน ยังแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังเหนื่อยล้า  จึงเป็นเวลาที่จะหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและเพื่ออาการร้อนในเหล่านี้จะไม่มารบกวน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ พร้อมวิธีการเลือกใช้อย่างถูกต้อง

“เหงือก” อวัยวะที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบภายในช่องปาก ที่ทำให้หน้าที่สำคัญในการยึดเกาะฟันไว้ให้ติดกับกระดูกขากรรไกรและเป็นอวัยวะที่ช่วยรองรับแรงในการบดเคี้ยวอาหาร มีลักษณะเป็นขอบเรียบและเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมาย และแน่นอนว่าถ้ามีอาการผิดปกติที่เหงือก อาการก็จะออกมาอย่างชัดเจนและสังเกตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเหงือกบวม หรือเลือดออกตามไรฟัน หรืออาจจะเข้าขั้นสู่การเป็นโรคเหงือกอักเสบเลยก็เป็นได้ โรคเหงือกอักเสบมีที่มาที่ไปอย่างไร และมียาตัวไหนที่สามารถรักษาหรือบรรเทาอาการได้บ้าง เราจะไปเรียนรู้จักโรคนี้ด้วยกันค่ะ

โรคเหงือกอักเสบคืออะไร

โรคเหงือกอักเสบ จะมีลักษณะคือสีของเหงือก ซึ่งแต่เดิมเป็นสีชมพูจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด มีอาการบวมและมีเลือดออกขณะแปรงฟัน หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นโรคปริทันต์  ซึ่งมีการทำลายกระดูกร่วมด้วย และที่สำคัญอาจทำให้สูญเสียฟันได้

สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ

โรคเหงือกอักเสบมีสาเหตุมาจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียเป็นเวลานานในช่องปาก ซึ่งเกิดจากการที่แปรงฟันไม่สะอาด หรือทำความสะอาดช่องปากได้ไม่สะอาดเพียงพอจนทำให้เกิดแบคทีเรีย และกลายเป็นหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟัน และเมื่อหมักหมมเป็นเวลานานเข้าเหงือกก็จะมีการอักเสบและบวมได้ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆที่กระตุ้นให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ เช่น ฟันคุดภายในช่องปาก การใส่เครื่องมือจัดฟัน การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด การขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ รวมไปถึงปัจจัยทางพันธุกรรม

ประเภทอาการของเหงือกอักเสบ

เหงือกอักเสบมีหลายอาการให้สังเกตหลักๆดังต่อไปนี้

  • เหงือกบวมแดง อักเสบ
    อาการลักษณะนี้ เหงือกจะเปลี่ยนจากสีชมพูอ่อน กลายเป็นสีแดงเข้มหรือม่วง และมีอาการบวมโตขึ้นเรื่อยๆจนบิดเนื้อฟัน มีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส นอกจากนั้นยังมีเลือดออกตามไรฟันหรือฟันผุร่วมด้วย
  • เหงือกบวม เป็นหนอง
    ไม่เพียงเหงือกจะบวมโต แต่ยังมีหนองร่วมด้วย เนื่องจากว่า หากเหงือกมีการอักเสบหรือติดเชื้อ บริเวณขอบเหงือกจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วงและมีความคล้ำเกิดขึ้น เมื่อลองกดดูจะมีหนองไหลออกมา
  • อาการรากฟันอักเสบ
    รากฟันอักเสบเป็นอาการที่เส้นเลือดในโพรงประสาทฟันเกิดการอักเสบ ทำให้เหงือกมีหนองเกิดขึ้น ส่วนสีของฟันก็จะคล้ำขึ้น จะรู้สึกเจ็บและเสียวฟันเมื่อเคี้ยวอาหาร หากปล่อยเอาไว้อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เช่นอาจทำให้เกิดการสูญเสียฟัน เป็นโรคที่เกี่ยวกับเหงือก หรืออาจจะลุกลามกลายเป็นมะเร็งในช่องปากก็เป็นได้

ยาแก้เหงือกอักเสบมีอะไรบ้าง

ยาแก้เหงือกอักเสบ ส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ไม่ยากนัก ใช้รักษาในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก แต่ให้อยู่ในการดูแลของเภสัชกร แต่หากอาการหนักหรือมีการปวดฟันร่วมด้วย แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์  เพื่อป้องกันการใช้ยาผิดประเภทและเพื่อการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งยาที่ใช้ในปัจจุบันมี 5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  1. ยาพาราเซตามอล(Paracetamol)
    เป็นยาสามัญประจำบ้านขั้นพื้นฐานที่บรรเทาอาการปวดทั่วไปได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยขนาดการใช้ยาจะอยู่ที่ 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้ไม่ควรรับประทานยาเกินขนาดหรือในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจเกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้
  • ยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(Nonsteroidal anti-inflammatory drug) หรือ “NSAIDs”
    ยาแก้อักเสบประเภทนี้มีอยู่หลายชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), พอนสแตน (Ponstan), ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) หรือ (Diclofenac) เป็นต้น นำมาใช้บรรเทาอาการปวดที่มีระดับปานกลางไปจนถึงมาก  หากรับประทานมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของไตและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ยาเมโทรนิดาโซล(Metronidazole)
    เป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียในร่างกายได้ ในกรณีที่มีอาการปวดฟัน เหงือกบวม หรือเหงือกอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาชนิดนี้เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ยาเมโทรนิดาโซลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ยาเบนโซเคน(Benzocaine)
    เป็นยาชาเฉพาะที่ที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดแผลในปาก ปวดฟัน ปวดเหงือก หรืออาการปวดหูชั้นกลาง เป้นต้น แต่จัดเป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เอง แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือทันตแพทย์เท่านั้น
  • ยาในกลุ่มต้านเชื้อแบคทีเรียหรือแก้อักเสบ
    ในกรณีที่มีหนองร่วมด้วย นั่นคือสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะจ่ายยาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากด้วย เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin), เพนนิซิลิน (Penicillin), เตตร้าซัยคลิน (Tetracyclines) หรือเลโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin) เป็นต้น

การรับประทานยาทุกชนิดมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการใช้ยาสำหรับช่องปากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาเหงือกอักเสบ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารักษาด้วยตัวเอง เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดอันตรายแล้วยังอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ใช้เช่นกัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

หากจัดฟันทั้งที ต้องทานอาหารแบบไหน ถึงจะไม่ติดเหล็กดัด

เคยไหมที่จัดฟันแล้วรู้สึกอยากทานนั่นนี่ และเห็นเมนูที่ชื่นชอบแล้วน้ำลายสอตามมา แต่พอทานแล้วสัมผัสได้ถึงอุปสรรคที่เข้ามา โดยเฉพาะเศษอาหารเข้าตามเหล็กจัดฟัน จนต้องทำความสะอาดที่ยุ่งยากกว่าเดิมอีก การเลือกอาหารที่เหมาะสมต่อกลุ่มคนที่จัดฟัน ถือว่าสำคัญมาก เพราะการจัดฟัน จะต้องสรรหาอาหารสำหรับคนจัดฟันเช่นเดียวกับการปรับตัวอื่นๆ ในชีวิต ในช่วงสองสามวันแรกนั้นยากที่สุด การได้รับการติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน หมายความว่าช่องปากและฟันช่วงนี้จะไวต่อความรู้สึกในวันหลังได้รับการติดตั้งครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องทานอาหารประเภทอ่อนๆ จึงดีที่สุดในช่วงเริ่มต้น

บางทีมันยากที่จะกินให้ถนัดในวันแรก ไม่เพียงแต่ฟันและเหงือกเจ็บตามมา แต่ยังกระทบกระทั่งในช่องปาก ที่อาจจะทำให้ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป มันอาจจะยากที่จะกินอาหารที่ชอบ ในบทความนี้จะมาแนะนำอาหารสำหรับคนจัดฟันสามารถทานได้ โดยถูกหลักโภชนาการ และปลอดภัยต่อสุขภาพฟันในช่วงจัดฟัน จะต้องเลือกที่ไม่บั่นทอนต่อสุขภาพฟัน จะมีเมนูอะไรบ้าง ซึ่งจะขอแนะนำได้ดังนี้ว่ามีอะไรบ้าง

  1. โยเกิร์ต : โยเกิร์ตเป็นอาหารอ่อนๆ ที่บรรจุโปรตีนแสนอร่อย ซึ่งสามารถรับประทานได้เมื่อจัดฟันครั้งแรก โยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บฟัน เต็มไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามิน B6 และ B12 นอกจากนี้ โยเกิร์ตบางชนิดยังมีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ดี โดยรวมแล้ว โยเกิร์ตนั้นดีสำหรับฟันและกระดูกที่แข็งแรง และเหมาะสำหรับการย่อยอาหารขอแนะนำว่าทานโยเกิร์ตไขมันต่ำเพื่อรักษาสมดุลของอาหาร แต่ต้องระวังหลายๆ ยี่ห้อเพิ่มปริมาณน้ำตาลเพื่อให้โยเกิร์ตไขมันต่ำมีรสชาติที่ดีขึ้น
  2. ซุป : เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ หากนึกภาพคุณแม่ได้เตรียมซุปที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ไม่สบายใจมาเป็นเวลานาน แต่ซุปอุ่นๆ เป็นอาหารสำหรับคนจัดฟันครั้งแรก ซุปทำง่ายมากและเป็นอาหารอ่อน แม้แต่ซุปกระป๋องก็อุ่นได้ หากใครชอบทานก๋วยเตี๋ยวทานได้เลย
  3. มันเทศ หรือมันฝรั่งหวานนึ่งสุก : คุณค่าทางโภชนาการของมันฝรั่งหวานเป็นที่รู้จักกันดี เป็นอาหารอเนกประสงค์และนิ่มมากที่สามารถกินได้ทั้งที่ใส่เหล็กจัดฟัน สามารถเตรียมได้หลายวิธี ทั้งอบ นึ่ง ทอด หรือผัด มันฝรั่งหวานมีรสหวานแป้งและแสนอร่อย
  4. ปลา : เนื่องด้วยปลาที่เป็นขุยมีไขมันต่ำและเต็มไปด้วยโปรตีน ปลายังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูงอีกด้วย โอเมก้า 3 นั้นยอดเยี่ยมสำหรับความสามารถในการต้านการอักเสบ ในฐานะที่เป็นสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติ โอเมก้า 3 ที่พบในปลาสามารถลดสัญญาณของการอักเสบ รวมทั้งความเจ็บปวด บวม แดง หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ได้
  5. ผลไม้ : ผลไม้จัดว่าเป็นอาหารสำหรับคนจัดฟัน และผลไม้หลายชนิดเป็นอาหารอ่อนที่สมบูรณ์แบบเมื่อจัดฟันครั้งแรก หากเริ่มจัดฟันในช่วงฤดูร้อน ผลไม้หลายชนิดจะมีความหวานสูงสุด ผลไม้ที่เติมวิตามินซีมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม และสามารถลดปัญหาเหงือกได้
  6. Smoothie : สมูทตี้เป็นหนึ่งในอาหารสำหรับคนจัดฟันที่ดีที่สุดในขณะที่ติดตั้งเครื่องมือครั้งแรก เนื่องจากสามารถทำสมูทตี้ด้วยส่วนผสมต่างๆ ได้ สามารถเพิ่มผลไม้ ผัก และน้ำผลไม้ต่างๆ เพื่อปรับแต่งเนื้อสัมผัสและรสชาติได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาอาหารให้อ่อนนุ่มสำหรับการจัดฟัน
  7. Protein Shake : โปรตีนเชคไม่ได้มีไว้สำหรับนักเพาะกายและนักกีฬาเท่านั้น โปรตีนเชคเป็นสารอาหารที่สมดุล สามารถทำหน้าที่เป็นอาหารทดแทนเมื่อต้องการอาหารระหว่างเดินทาง และไม่สะสมเศษอาหารตามร่องฟัน และสร้างโปรตีนต่อเหงือกดีขึ้น
  8. ข้าวโอ๊ต : ข้าวโอ๊ตมีเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์และอุ่นพอที่จะบรรเทาอาการเมื่อยขณะขยับปาก ข้าวโอ๊ตเป็นหนึ่งในอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารมากที่สุดในโลก อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น เบต้ากลูแคน ประโยชน์ของหัวใจเหล่านี้มีผลอย่างกว้างขวางและข้าวโอ๊ตสามารถลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในกระแสเลือดและลดโอกาสของโรคหัวใจได้

เป็นไงบ้างสำหรับอาหารสำหรับคนจัดฟันที่สามารถทานได้ ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดี ทั้งต่อสุขภาพฟันโดยตรงและสุขภาพอื่นๆ ทางอ้อม ช่วงที่จัดฟันนั้น จะเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวจากสิ่งที่ชอบ เมื่อมีเมนูที่ชอบแต่ยังเจ็บอยู่นั้น ให้อดใจไว้ก่อน อย่าเพิ่งทานอาหารที่เหนียวๆ หนืดๆ หรือแสลงต่อการจัดฟันโดยตรง เช่น ทอฟฟี่ หมากฝรั่ง หรือลูกอม ซึ่งจะทำลายต่อผิวฟัน และอุปกรณ์การจัดฟันเข้ามาด้วย การเลือกทานอาหารก็ยังช่วยให้สุขภาพช่องปากดีในระยะยาวอีกด้วย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร ให้เหมาะกับฟันของเราในยุค 2023

หากใครไปตามคลินิกทันตกรรม หรือไปแผนกทันตกรรมตามโรงพยาบาลต่างๆ จะเห็นได้ว่าทุกปัญหาช่องปากจะแนะนำให้ใช้ “ไหมขัดฟัน” เสมอ โดยเหตุผลหลักๆ ของการใช้ไหมขัดฟันช่วยลดเศษอาหารตามซอกฟัน ขจัดคราบหินปูนระหว่างฟัน ช่วยให้ปากและเหงือกแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งความสะอาดของช่องปากที่ไม่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบ เป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือกที่เหงือกบวมและมีเลือดออกง่าย เหงือกที่แข็งแรงจะไม่มีเลือดออกเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน โดยทั่วไปแล้ว ไหมขัดฟันถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความสะอาดช่องปาก โดยใช้กับบริเวณที่คับแคบระหว่างฟัน ยังสามารถใช้ไหมขัดฟันขูดด้านข้างของฟันแต่ละซี่ขึ้นและลงได้

ทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) เพื่อทำความสะอาด โดยเริ่มตั้งแต่เปิดใช้งานจนกระทั่งใช้เสร็จแล้ว ตามหลักการแล้ว ผู้ป่วยหรือผู้มาใช้บริการทันตกรรม จะใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง เวลาที่ดีที่สุดที่จะใช้ไหมขัดฟันคือตอนกลางคืน โดยช่วงก่อนนอนและก่อนแปรงฟันเป็นช่วงที่สำคัญมาก ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เนื่องจากการแปรงฟันจะช่วยขจัดสารใดๆ ที่ขับออกจากปาก แต่ยังเอาออกไม่หมด จึงต้องมีการใช้ไหมขัดฟันเข้ามา

วิธีการเลือกซื้อไหมขัดฟันนั้น ก่อนอื่นจะต้องเลือกชนิดของไหมขัดฟันเสียก่อน โดยมีวิธีเลือกได้ดังนี้

  1. Unwaxed Floss (ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์) : เป็นไหมขัดฟันที่ใช้กันทั่วไปประเภทหนึ่ง ผลิตจากวัสดุไนลอนที่บิดเป็นเกลียวหลายเส้นเข้าด้วยกัน ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์ไม่มีสารปรุงแต่ง ซึ่งหมายความว่าไหมขัดฟันประเภทนี้ปราศจากสารเคมี ไหมขัดฟันในรูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันเล็กน้อย เนื่องจากมีความบางกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่นมาก ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่จะทำลายและฉีกขาดในช่องปากได้ง่ายกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่น
  2. Waxed Floss (ไหมขัดฟันแว็กซ์) : หรือที่คนไทยเรียกว่า “ไหมเคลือบขี้ผึ้ง” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นไหมขัดฟันที่ถูกสร้างขึ้นคล้ายกับแบบที่ไม่ได้แว็กซ์ด้วยการเติมชั้นแว็กซ์ลงบนไหมขัดฟัน ชั้นเคลือบแว็กซ์นี้ช่วยให้ทนทาน มีความแข็งแรงมากขึ้น จึงไม่ฉีกขาดหรือแตกบนร่องฟันผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทำความสะอาดเลื่อนไปมาระหว่างฟันได้ดีกว่า
  3. Dental Tape (เทปทันตกรรม) : เทปติดฟันหรือเรียกอีกอย่างว่า “แบบหนา” ค่อนข้างคล้ายกับไหมขัดฟันประเภทอื่นๆ ยกเว้นว่ามันหนากว่ามาก มีโครงสร้างที่แบนกว่าซึ่งทำให้นึกถึงเทปธรรมดาชิ้นหนึ่ง เทปติดฟันเหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างขนาดใหญ่และต้องการไหมขัดฟันที่หนากว่า  ในประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหนากว่า เทปพันฟันจึงอาจเข้าไประหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ยาก
  4. Polytetrafluorethylene Floss (PTFE) : ไหมขัดฟันรูปแบบนี้มี Polytetrafluorethylene เป็นวัสดุที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยในรูปแบบของผ้า Gore-Tex วัสดุนี้มีความแข็งแรงมาก แทบไม่ต้องกังวลว่าวัสดุจะฉีกขาดขณะใช้งาน โครงสร้างที่เรียบลื่นทำให้เหมาะสำหรับการเลื่อนเข้าไปในช่องว่างเล็กๆ ระหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ง่าย แต่ต้องระวังสารก่อมะเร็ง
  5. Super floss (ไหมขัดฟันเฉพาะ) : เป็นไหมขัดฟันชนิดพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีสะพานฟัน เครื่องมือจัดฟัน และช่องว่างฟันกว้าง มันมีสามองค์ประกอบหลัก เช่น ไหมขัดฟันธรรมดา ไหมขัดฟันที่เป็นรูพรุน และที่สนปลายแข็ง ผู้ใช้สามารถใช้ไหมขัดฟันใต้สะพานและอุปกรณ์ทันตกรรมอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายเพื่อทำความสะอาดอย่างทั่วถึงเมื่อใช้ที่สนด้าย

วิธีการเลือกไหมขัดฟัน

นอกจากดูชนิดของมันแล้วนั้น จะต้องดูคุณภาพการผลิต คำแนะนำของทันตแพทย์ และวันหมดอายุเสมอ เพื่อเลือกตามลักษณะฟันที่เหมาะสม ไหมขัดฟันแบบหนาอาจทำให้รู้สึกไม่สบายฟันเลย ดังนั้นไหมขัดฟันแบบบางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด รวมถึงไหมขัดฟันแบบขี้ผึ้งสามารถช่วยให้กระบวนการทำความสะอาดช่องปากง่ายขึ้นเล็กน้อย สำหรับคนที่มีฟันห่าง ถ้าใช้ไหมขัดฟันแบบหนาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันอาจต้องการใช้เทปพันฟัน เพียงแต่เทปพันฟัน ไม่ค่อยนิยมมากเป็นวงกว้าง หากใครจะเลือกซื้อจริงๆ อยากให้สอบถามทางเภสัชกร และทันตแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำการใช้ให้เหมาะสมกับสภาพฟันจะดีที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาฟันโยก จะมีความแตกต่างกันระหว่างฟันน้ำนมกับฟันแท้ ในช่วงฟันน้ำนม เป็นสัญญาณของการงอกของฟันแท้ในช่วงเด็กวัย 6-12 ปี หากเป็นฟันโยกของฟันแท้ อาการฟันโยกจะเกิดได้ทั้งการกระแทกของฟัน รากฟันไม่แข็งแรง รวมถึงเกิดจากโรคปริทันต์ โดยจะให้น้ำหนักทางโรคปริทันต์ จะเป็นการติดเชื้อในเหงือกและกระดูกรอบๆ ฟัน ในระยะลุกลามของโรคปริทันต์ อาการฟันโยกเป็นสัญญาณทางคลินิกที่อาจสะท้อนถึงระดับของการทำลายปริทันต์ ที่เกิดจากการติดเชื้อเฉพาะที่ในเหงือกและโครงสร้างรอบๆ ฟัน (เอ็นและกระดูกถุงในฟัน) และกระทบต่อความมั่นคงของเหงือกและฟันในการขบเคี้ยว การติดเชื้อเหล่านี้เกิดจากแบคทีเรีย ที่เกิดจากคราบสิ่งสกปรกสะสมในช่องปากด้วย

ในผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงของอาการฟันโยกค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันแท้ขึ้นครบหมดแล้ว แต่มีความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตบางอย่าง ที่กระทบต่อสุขภาพช่องปาก และเป็นกลุ่มที่พบแผนกทันตกรรมบ่อยมากในวัยนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมฟันผู้ใหญ่จึงมีการโยกออกมา โดยสาเหตุของอาการฟันโยก จะแบ่งได้ดังนี้

สาเหตุของอาการฟันโยก

  1. การบาดเจ็บที่เกิดกับฟันเนื่องจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  หรือการหกล้มอย่างหนักจนมีอาการฟันโยก บางรายอาจจะเกิดจากการเล่นกีฬา เช่น กีฬาต่อสู้ กีฬาฟุตบอล หรือกีฬาที่มีการปะทะหนักๆ
  2. การสบฟันผิดรูป เช่น การสบฟันลึกที่ทำให้ฟันเคี้ยวมากเกินไป ทำให้เคลื่อนตัว การนอนกัดฟันหรือการกัดฟันเป็นนิสัย ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
  3. โรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือก จะมีอาการเหงือกร่น ฝีเหงือก ซีสต์หรือเนื้องอกในขากรรไกร
  4. การสูบบุหรี่ อาการฟันโยกมาจากการสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและช่องปากโดยตรง และทำให้สะสมแบคทีเรียง่ายขึ้น จึงเสี่ยงต่อโรคฟันหรือปริทันต์เข้ามาด้วย

อาการของฟันโยก

อาการฟันโยกที่พบบ่อย ซึ่งสังเกตได้จากความผิดปกติทางกายภาพ โดยเริ่มเสียวฟันโดยรอบ จากนั้นจะมีอาการอื่นๆ ตามมา เนื่องจากสุขภาพช่องปากขาดการดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งจะมีอาการดังนี้

  • ฟันเริ่มโยก
  • รอยแดงของเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน
  • ความเจ็บปวดหรือไม่สบายตามรอบๆ ฟันและเหงือก
  • การเคี้ยวอาหารลำบาก
  • มีอาการเจ็บ หรือมีปัญหาเหงือกที่บอบบาง

หากมีอาการเหล่านี้ ทันตแพทย์จะประเมินสถานการณ์โดยใช้เครื่องมือทางคลินิกและค่อยๆ เช็คช่องปากไปมา หากทันตแพทย์มั่นใจว่ามีอาการฟันโยก ทางทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น บางรายอาจจะต้องเอ็กซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของช่องปากและขากรรไกรร่วมด้วย

วิธีการรักษาฟันโยก

หากตรวจอาการฟันโยกพบว่าเคลื่อนไหวได้เนื่องจากการสบฟันที่ไม่ถูกต้อง จะได้รับคำแนะนำให้รักษาเพื่อแก้ไขการสบฟันเพื่อบรรเทาการบดเคี้ยวที่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพช่องปาก และรบกวนต่อจิตใจ โดยมีวิธีการรักษาได้ดังนี้

  • ในกลุ่มเล่นกีฬาอันตราย จะต้องสวมฟันยางที่ออกแบบโดยทันตแพทย์ เนื่องจากตามร้านอุปกรณ์กีฬา จะไม่ตอบโจทย์ทางทันตกรรมของบุคคลนั้น และไม่รองรับอันตรายต่อฟันได้
  • หากมีซีสต์หรือเนื้องอกทำให้เกิดอาการปวดและเคลื่อนไหวได้ ควรรักษาอาการก่อน แล้วค่อยรักษาอาการฟันโยก เนื่องจากซีสต์จะลุกลามรวดเร็ว และทำให้การบดเคี้ยวไม่ดี
  • การทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีที่คลินิก ซึ่งจะมีการทำความสะอาดโดยทันตแพทย์ การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูน ซึ่งช่วยป้องกันอาการฟันโยกและโรคปริทันต์ได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม
  • ไปที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยปีละสองครั้ง

อาการผิดปกติของฟันโยก เป็นสัญญาณทางทันตกรรมที่ร้ายแรง ไม่ควรมองข้ามอาการฟันโยกเลย เนื่องจากมันเป็นอาการเสี่ยงของโรคปริทันต์ ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายอย่างมากของสุขภาพช่องปาก อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยในช่องปากที่ดี เริ่มจากการรักษาความสะอาดที่บ้าน ทุกคนอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันโยก จนกระทั่งฟันหลุดจากสาเหตุใดๆ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ แต่การดูแลช่องปาก ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น เว้นแต่ในกรณีอาการฟันโยกเกิดจากอาการผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ อยากให้ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรงเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ รวมถึงการรักษาในลำดับต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม