เคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม

หาคำตอบ การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม?

หาคำตอบ การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นไหม?

เราอาจจะเคยได้ยิน ยาสีฟันต้องมีฟลูออไรด์ แล้วนอกจากฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ฟลูออไรด์แบบอื่น ๆ จำเป็นต้องเคลือบไหม? มีใครสงสัยเหมือนกันบ้างหรือเปล่าคะ ว่าตัวช่วยป้องกันฟันผุของเรามีแค่การแปรงฟันอย่างเดียวจริงหรือ เราจะไปหาคำตอบด้วยกันค่ะ

ฟลูออไรด์คืออะไร

ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการศึกษาวิจัยพบว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ โดยเราสามารถพบได้ในน้ำดื่ม น้ำตามธรรมชาติทั่วไป กระบวนการทำงานของมัน คือ ฟลูออไรด์จะเข้าไปจับตามผิวฟันซึ่งมีแคลเซียมกับฟอสฟอรัส ผิวฟันจะมีความต้านทานต่อกรดได้มากขึ้น นั่นก็จะช่วยทำให้โครงสร้างของผิวฟันแข็งแรงขึ้นได้ ลองคิดง่าย ๆ ดูว่า ฟันผุเกิดจากแผ่นคราบจุลินทรีย์ อาจจะมาจากการที่เราแปรงฟันไม่สะอาด มีแบคทีเรียที่ใช้น้ำตาลจากการที่เราทานเข้าไป จากนั้นก็จะปล่อยกรดมาที่ผิวฟัน เมื่อเกิดการสะสมนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้ผิวฟันเป็นรู รูก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นการป้องกันฟันผุจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ๆ เราต้องพยายามไม่ให้ฟันหรือภายในช่องปากของเรามีแบคทีเรียหรือแผ่นคราบจุลินทรีย์ ซึ่งการแปรงฟันให้สะอาดคือการป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี อีกอย่างคือ จะต้องไม่ให้อาหารแบคทีเรีย อย่างการทานอาหารหวานให้น้อยลง และอย่างสุดท้ายคือการทำให้ผิวฟันแข็งแรง นั่นแปลว่าเราจะต้องได้รับฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์ส่วนเรื่องอะไรได้บ้าง

อย่างที่เรารู้กันดี ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุ จากการที่ฟลูออไรด์เข้าไปจับกับผิวฟันที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส อีกทั้งฟลูออไรด์ยังสามารถดึงทั้งสองแร่ธาตุนั้นเข้ามาในเนื้อฟันได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการฟันผุในระยะแรกเริ่มให้กลับมาเป็นปกติได้

ใครบ้างที่ควรเคลือบฟลูออไรด์

  • กลุ่มแรก เด็กอายุ 6 เดือน – 3 ปี หรือเด็กที่กำลังมีฟันน้ำนมซี่แรก ควรจะได้รับการเคลือบฟลูออไรด์โดยการใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ ซึ่งโดยมากทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้ปกครองแปรงฟันให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น ควรใช้ยาสีฟันเพียงเล็กน้อย อาจจะแตะ ๆ นิดหน่อย สำหรับแปรงฟัน
  • กลุ่ม 2 เด็กอายุ 3 ปี สามารถที่จะแปรงฟันได้เองบ้าง เน้นการใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่ส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่มีค่าอยู่ที่ 1,000 PPM
  • กลุ่ม 3 เด็กอายุ 6 ปี – 18 ปี จะใช้เป็นฟลูออไรด์อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าฟลูออไรด์เจล จะมีค่าฟลูออไรด์มากกว่า 10,000 PPM ซึ่งไม่สามารถทำได้เอง จะต้องทำโดยทันตแพทย์เท่านั้น ดังนั้นจึงควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อพิจารณว่าควรจำหรือไม่ โดยทั่วไปจะนิยมทำ 1-2 ครั้งต่อปี
  • กลุ่ม 4 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อฟันผุ เช่น อาจจะเป็นผู้สูงอายุที่มีภาวะน้ำลายน้อย หรือได้รับยาบางชนิดทำให้น้ำลายน้อยซึ่งจะทำให้เกิดภาวะฟันผุได้ง่าย เนื่องจากน้ำลายเป็นตัวชะล้างให้ผิวฟันสะอาด, ผู้ที่ฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ซึ่งส่งผลให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อย ทำให้ปากแห้ง ส่งผลให้ฟันผุง่ายขึ้น
  • กลุ่ม 5 ผู้ที่มีปัญหาด้านช่องปาก เช่น ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหงือกร่น มีรากฟันโผล่ และเสี่ยงต่อรากฟันผุ

เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้หรือไม่

จริง ๆ ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้ค่ะ ซึ่งจะใช้เป็นฟลูออไรด์ที่เข้มข้นสูงทาลงบนผิวฟัน แนะนำให้ผู้ปกครองปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ทันตแพทย์พิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องทำหรือไม่

สรุปแล้ว การเคลือบฟลูออไรด์จำเป็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบุคคล หากเป็นในเด็กควรที่จะต้องเคลือบเพื่อป้องกัน ส่วนในวัยผู้ใหญ่ จะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทันตแพทย์ว่าแต่ละคนนั้นมีความจำเป็นหรือเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#เคลือบฟัน #เคลือบฟลูออไรด์

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

อยากมีฟันสวยต้องดู!! เปิดค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน

มีไหมคะ ใครที่กำลังเครียดและกังวลว่าจะมีเงินจ่ายค่าจัดฟันไหม จะแพงหรือเปล่า แต่ก็อยากสวย อยากหล่อ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเงินในกระเป๋า ใครที่อยากมีฟันสวยจะต้องไม่พลาดบทความนี้เลย

จัดฟันแพงไหม?

คำถามที่หลายคนให้ความสนใจกันมาก เมื่อต้องถึงเวลาตัดสินใจจัดฟัน คือเรื่องของค่าใช้จ่าย จัดฟันแพงไหม? ซึ่งต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ค่าใช้จ่ายของการจัดฟันไม่ได้มีแค่เครื่องมือที่ใช้สำหรับจัดฟันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เราจึงขออธิบายค่าใช้จ่ายตามขั้นตอนดังนี้

  1. พบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการจัดฟัน รวมถึงการ X-ray ช่องปาก เพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้า ขากรรไกร และฟันทั้งปาก รวมถึงการพิมพ์ช่องปาก ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 – 3,000 บาท
  2. เคลียร์ช่องปาก ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะนำไปสู่ขั้นตอนของการจัดฟันและติดเครื่องมือซึ่งแต่ละบุคคลก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น อุดฟันผุ ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ฯลฯ โดยจะมีค่าใช้จ่ายราว ๆ 1,000 – 8,000 บาท
  3. ติดเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายครั้งแรกในแต่ละคลินิกก็จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไปค่ะ บางแห่งก็แบ่งจ่าย แต่บางแห่งก็ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนทีเดียว หากเป็นกรณีแบ่งจ่ายจะเริ่มต้นค่าใช้จ่ายประมาณ  1,500 – 3,000 บาท ส่วนราคาเงินก้อนเริ่มต้น 38,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดฟัน ซึ่งจะมีปัจจัยข้อดีข้อเสียและระยะเวลาในการจัดที่แตกต่างกันออกไป

จัดฟันครั้งแรกปวดกี่วันถึงจะหาย

สำหรับใครที่สงสัยว่า จัดฟันครั้งแรกปวดไหม บอกเลยว่าอาการปวดมากน้อยแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่มีอาการปวดแน่นอนค่ะ จึงมีคำถามตามมาอีกว่าถ้าปวดจะปวดต่อไปอีกกี่วัน การปวดฟันหลังการจัดฟันมีสาเหตุมาจากการติดหรือปรับเครื่องมือจัดฟัน ใหม่ ๆ หลอดเลือดถูกกดจากแรงดัดฟัน จึงทำให้รู้สึกเจ็บ ซึ่งอาการปวด เหล่านี้จะค่อยดีขึ้นภายใน 3-5 วัน ช่วงที่รู้สึกปวด สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยง การเคี้ยวอาหารที่แข็งและเหนียว เพราะจะทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดได้

จัดฟันต้องถอนฟันไหม

นี่คือหนึ่งในคำถามที่มีคนสงสัยกันมากที่สุด ซึ่งอาจจะเคยเห็นบางคนก็ต้องถอนฟัน บางคนก็ไม่ต้อง ทั้งที่ใครจะถูกถอนหรือไม่ จะต้องให้ทันตแพทย์ตรวจสภาพช่องปากและฟัน ด้วยการถ่ายภาพเอกซเรย์ฟันเพื่อดูโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกร ทำแบบหล่อปูนจำลองฟันอย่างละเอียด ก่อนถึงจะวิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละรายจำเป็นต้องถอนฟันหรือไม่ แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความผิดปกติของคนไข้แต่ละคน ถ้าจำเป็นต้องถอน ทันตแพทย์จะแจ้งอีกครั้งพร้อมระบุจำนวนซี่ในการถอน ถอนซี่ใดบ้าง จากนั้นจะมีการวางแผนขั้นตอนการรักษาตามลำดับ

ค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน เราสามารถวางแผน พร้อมคิดไว้ล่วงหน้าได้ว่าเราต้องการจัดฟันในรูปแบบใด ซึ่งแต่ละแบบก็มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • การจัดฟันแบบโลหะ มีช่วงราคาอยู่ที่ 38,000 – 47,000 บาท
  • การจัดฟันแบบดามอน มีช่วงราคาอยู่ที่ 76,000 – 78,000 บาท
  • การจัดฟันแบบใส Invisalign มีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาท

ดังนั้นหากใครอยากมีฟันสวย ก็จะต้องวางแผนค่าใช้จ่ายเอาไว้ให้ดี ๆ เลยค่ะ เลือกรูปแบบการจัดฟันพร้อมค่าใช้จ่ายที่คิดว่าเรามีกำลังมากพอจะจ่าย เพราะหากเราเลือกรูปแบบที่ค่าใช้จ่ายเกินกำลัง ก็จะส่งผลต่อแผนการจัดฟันในอนาคต อาจจะต้องหยุดไป ทำไม่ต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่เป็นไปตามที่หวัง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม

แปรงฟันที่ถูกวิธี บ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญไหม?

มีใครเคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าที่เราแปรงฟันกันอยู่ทุกวันนี้ แปรงฟันกันถูกวิธีแล้วหรือยัง และเวลาหลังแปรงฟันเราควรบ้วนน้ำหรือไม่ นับว่าเป็นข้อถกเถียงกันมามากว่า บ้วนน้ำหลังแปรงฟันแบบไหนถึงจะดี หรือการบ้วนน้ำหลังแปรงฟันจริง ๆ แล้วมันสำคัญจริง ๆ หรือเปล่า

การบ้วนน้ำหลังแปรง = ความเข้าใจผิด

ในช่วงหลังที่ทันตแพทย์ออกมารณรงค์และแนะนำให้คนแปรงฟันโดยไม่บ้วนปาก หรือที่เราเรียกว่า “แปรงแห้ง” เพื่อป้องกันฟันผุ หลายคนมักเอาแปรงไปจุ่มน้ำก่อนแปรงฟัน พอแปรงเปียก น้ำในปากก็เยอะ ยาสีฟันก็เจือจางลงเร็ว โดยมีงานวิจัยในระยะหลังออกมาว่า ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์สามารถป้องกันฟันผุได้ดีขึ้น ถ้าบ้วนน้ำหลังการแปรงฟันเพียงครั้งเดียว ตามวิจัยระบุเปรียบเทียบการบ้วนน้ำจากแก้ว (น้ำ 1 แก้ว บ้วนหลายครั้ง) และการบ้วนน้ำครั้งเดียวจากอุ้งมือ พบว่า การบ้วนน้ำหลาย ๆ ครั้ง จะชะล้างเอาฟลูออไรด์ที่เกาะติดผิวฟันออกไป ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุลดลง

บ้วนน้ำหลังแปรงฟันแบบไหนถึงจะดี?

แน่นอนว่าสำหรับใครที่แปรงฟันแบบบ้วนน้ำมาตลอดชีวิต จะให้มาแปรงแห้งก็คงจะเป็นอะไรที่ทำใจกันได้ยาก หากคุณเป็นคนที่ติดการบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน เราแนะนำว่า ให้ใช้เทคนิค “ถุยทิ้ง” พยายามถุยฟองทิ้งให้หมดแต่หากใครรู้สึก แหยะในปาก ให้ใช้วิธีเริ่มจากฝึกบ้วนน้ำครั้งเดียวหลังแปรงฟันเสร็จแล้ว โดยบ้วนฟองออกก่อนให้ได้มากที่สุดแบบไม่ต้องใช้น้ำ จากนั้นค่อยบ้วนน้ำครั้งเดียว ถ้าทำแบบนี้จะทำให้รู้สึกสบายในช่องปากยิ่งขึ้น ไม่มีฟองของยาสีฟันตกค้างอยู่ในช่องปาก ลองฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องสัก 3 สัปดาห์ ร่างกายก็ปรับให้คุ้นชินกับการแปรงฟันด้วยวิธีดังกล่าว เพราะจงจำไว้ว่า บ้วนน้ำเยอะ ฟันผุเยอะ บ้วนน้ำน้อย ฟันผุน้อย ไม่บ้วนเลยฟันผุน้อยที่สุด โดยปริมาณน้ำที่ใช้ในการบ้วนปากมีผล กับการเกิดฟันผุ แต่ระยะเวลาที่บ้วนทิ้งไม่มีผล

เศษอาหารที่หลุดจากการแปรงควรทำอย่างไร

การแนะนำแปรงแห้ง อาจจะทำให้ใครที่ไม่คุ้นชินรู้สึกว่ายังแปรงได้ไม่สะอาด เพราะมีเศษอาหารเหลืออยู่ภายในช่องปาก แต่บ้วนน้ำไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดี แนะนำให้กำจัดเศษอาหารตั้งแต่ก่อนแปรงฟันค่ะ เช่น บ้วนน้ำแรง ๆ ใช้ไหมขัดฟัน ในกรณีที่ใช้ไหมขัดฟัน ให้ใช้ก่อนแปรงฟันเพื่อเปิดผิวฟันออกให้สัมผัสกับฟลูออไรด์จากยาสีฟันมากขึ้น ใช้เสร็จก็บ้วนน้ำทิ้งไป

การบ้วนน้ำหลังแปรงฟันน้อย จะเป็นอันตรายต่อช่องปากหรือไม่

นอกจากความไม่คุ้นชินกับการแปรงแห้งแล้ว ยังมีเรื่องของความกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ว่าถ้าเราทิ้งยาสีฟันค้างไว้ภายในปาก จะเป็นอันตรายต่อช่องปากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวหรือเปล่า สารเคมีที่กล่าวถึงกันมากที่สุด ได้แก่ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่นิยมใช้ในเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่วนผสมในยาสีฟันนั้น จะถูกควบคุม ทั้งชนิดและปริมาณที่ใช้ให้ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก จะถูกกำหนดปริมาณที่เผื่อการกินลงไปแล้วโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

โบกมือลาฟลูออไรด์ เมื่อบ้วนน้ำหลายครั้ง

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในยาสีฟันมีฟลูออไรด์ที่ช่วยป้องกันฟันผุ การจะป้องกันได้ก็ต้องมีสารฟลูออไรด์เหลือเกาะผิวฟันให้มากที่สุด นั่นแปลว่า ถ้าบ้วนน้ำหลาย ๆ ครั้ง เราก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรในการป้องกันฟันผุจากฟลูออไรด์ได้เลย

สรุปได้ว่า การบ้วนน้ำหลังแปรงสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยชินกับการแปรงแห้งนั่นเอง เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ จะทำได้ดีที่สุดเมื่อเราไม่บ้วนน้ำเลยค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ตรวจสุขภาพฟัน #ทำฟัน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการขูดหินปูน ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี

รู้หรือไม่ว่าแค่แปรงฟันอย่างเดียว ไม่ช่วยให้ช่องปากของเรามีสุขภาพที่ดี นั่นเป็นเพราะนอกจากการแปรงฟันแล้ว เรายังต้อง “ขูดหินปูน” ด้วยค่ะ คราบหินปูนเป็นคราบที่ใช้แค่เพียงขนแปรงสีฟันไม่สามารถที่จะขัดออกได้ โดยเฉพาะหากใครที่ปล่อยคราบหินปูนนั้นเกาะแน่นเป็นเวลานาน ทำให้หลายคนจึงต้องไปขูดหินปูน แต่ทำไมบางคนก็ขูดบ่อย บางคนก็แทบจะไม่ขูดเลย จริง ๆ แล้ว เราควรขูดหินปูนบ่อยแค่ไหน เราจะมาหาคำตอบ พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กัน

จุลินทรีย์ในช่องปากเกิดขึ้นได้อย่างไร

อาหารชั้นดีของจุลินทรีย์คือน้ำตาล ที่จะสร้างกรดและสารพิษ ซึ่งกรดตัวนี้จะเป็นตัวทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุและเหงือกอักเสบ หากใครที่มีคราบหินปูนที่หนา ลองเอาลิ้นสัมผัสไปตามฟันจะรู้สึกได้เลยว่ามีคราบหินปูนเกาะอยู่ ถ้าเราแปรงฟันไม่สะอาด ก็จะเกิดการสะสมของหินปูนหนาและแข็งมากขึ้นจนไม่สามารถเอาออกได้ด้วยแค่การแปรงฟัน จะต้องใช้เครื่องมือของทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูนที่อยู่ทั้งเหนือและใต้เหงือก

ผลข้างเคียงจากคราบหินปูน

เมื่อคราบหินปูนปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน จะทำให้เหงือกอักเสบ ละเมื่อปล่อยออกมานาน ๆ กระดูกที่รองรับรากฟันจะค่อย ๆ ละลาย ทำให้ฟันโยกไม่แข็งแรง โดยปัญหาที่เกิดจากคราบหินปูน ได้แก่ เลือดออกขณะแปรงฟัน มีกลิ่นปาก เหงือกร่น โรคปริทันต์  ฟันผุ ฯลฯ

ขูดหินปูน ควรทำบ่อยแค่ไหน?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันมากว่า ขูดหินปูน ควรทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี ในความเป็นจริงแล้ว การขูดหินปูนอาจไม่จำเป็นต้องขูดกันบ่อย ๆ สามารถขูดปีละครั้ง หรือ 6 เดือนครั้งก็ได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูนภายในช่องปากด้วยค่ะ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง หรือจะไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและเหงือกเป็นประจำ จะทำให้เราทราบว่าเราจำเป็นต้องขูดหินปูนไหม

การขูดหินปูนสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ส่วนการจะขูดบ่อยแค่ไหนนั้น  ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถดูแลรักษาฟันได้ดีแค่ไหน และหากสามารถทำความสะอาดได้ดี ไม่มีโรคเหงือกอักเสบและไม่มีร่องลึกปริทันต์ การ
ขูดหินปูนอาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้ค่ะ

โดยปกติแล้ว ทันตแพทย์มักจะแนะนำให้มาตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูน ปีละ 1 ครั้ง สำหรับการดูแลสุขภาพช่องปากเบื้องต้นที่ทุกคนก็ทำได้ คือ การแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และไม่ลืมที่จะใช้ไหมขัดฟันแซะเศษอาหารตามซอกฟันก่อนแปรงฟันในช่วงเวลาเย็นเป็นประจำ รวมถึงการแปรงลิ้น จะทำให้ไม่มีเศษอาหารตกค้าง ซึ่งจะเอื้อต่อการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหินปูน และเหงือกอักเสบตามมา

ขูดหินปูนบ่อย ๆ ทำให้ฟันสึกจริงหรือ?

หลายคนไม่กล้าไปขูดหินปูนเพราะกลัวว่าขูดไปแล้วฟันสึกบ้าง ฟันบางบ้าง หรือบางคนที่กังวลว่าขูดหินปูนบ่อย ๆ โอกาสจะทำให้ฟันเป็นแบบนั้นมันจริงหรือเปล่า ต้องบอกเลยค่ะว่า การขูดหินปูน เป็นการใช้ความถี่ในการสั่นของเครื่องมือ เพื่อเป็นการกะเทาะให้หินปูนแตก และร่อนเป็นแผ่น ๆ ออกมา ไม่ใช่เป็นการไปขูด หรือไปทำการกรอฟัน ดังนั้น การขูดหินปูน จะไม่ทำให้เนื้อฟันสึกกร่อน หรือฟันบางได้เลยค่ะ แต่อาจจะมีความรู้สึกว่าขูดหินปูนแล้วฟันสะอาดขึ้น รู้สึกโล่งมากขึ้น และเมื่อเอาลิ้นสัมผัสตามร่องฟันแต่ละซี่ได้ จะรู้สึกว่าเหมือนฟันกำลังสึกกร่อน ฟันบางลงนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยที่ว่า ขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนถึงจะดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าดูแลรักษาฟันอย่างไร มีพฤติกรรมอะไรที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดคราบหินปูนหนาหรือไม่ หากไม่มี อัตราความถี่ในการขูดหินปูนก็จะน้อยลงตามไปด้วย โดยทั่วไปแล้วก็มักจะทำหลังจากการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพช่องปากประจำปี

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายขูดหินปูน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#หินปูน #ขูดหินปูน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน

เชื่อว่า ใครที่ฟันขาว ยิ้มสวยได้ เป็นอะไรที่หลายคนต่างอิจฉา เพราะคุณจะสามารถยิ้มได้ออกมาอย่างมั่นใจ นั่นจะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้น่าดึงดูดใจมากขึ้น แต่ถ้าใครฟันไม่ขาวอย่างใจ ไม่ว่าจะเหลืองหรือมีสีคล้ำ เดี๋ยวนี้คลินิกทันตกรรมมีนวัตกรรมที่เรียกว่า “ฟอกสีฟัน” ที่จะเนรมิตฟันของคุณให้กลับมาขาวได้เหมือนเดิมแล้วค่ะ ว่าแต่ อะไรบ้างล่ะที่เราจะต้องรู้ ก่อนตัดสินใจไปฟอกสีฟัน?

การฟอกสีฟัน คืออะไร

การฟอกสีฟัน คือ การทำให้ฟันเกิดการเปลี่ยนแปลงสีหรือการทำให้ขาวขึ้น โดยใช้น้ำยาฟอกสีฟัน และกระตุ้นการแตกตัวของน้ำยาฟอกสีฟันด้วยแสง Cool Light LED หรือเลเซอร์

อะไรทำให้สีฟันเข้มขึ้นได้บ้าง

ก่อนที่เราจะตัดสินใจไปฟอกสีฟัน เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันของเราเปลี่ยนสีไป เพื่อที่เราจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันมีสีเข้มมาจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  1. การเปลี่ยนสีฟันที่เกิดขึ้นภายในตัวฟัน

อาจจะเกิดจากการดื่มน้ำหรือรับประทานสารที่มีฟลูออไรด์มากเกินไป ทำให้ฟันตกกระ รวมถึงภาวะ

ฟันตาย (ฟันที่ไม่มีเส้นเลือดหรือเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง ทำให้ฟันมีสีไม่ขาวเป็นธรรมชาติ) เนื่องจากถูกกระทบกระแทก ซึ่งสาเหตุนี้ส่วนใหญ่มักไม่สามารถใช้วิธีฟอกสีฟันให้กลับมาขาวได้

  • การเปลี่ยนสีของฟันที่เกิดขึ้นภายนอกตัวฟัน

ได้แก่ การมีคราบหินปูนหรือคราบน้ำลาย คราบชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์แดง แกงต่าง ๆ การสูบบุหรี่

รวมถึง การแปรงฟันที่ผิดวิธี ทำให้เกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์และหินปูนไปเกาะที่ผิวนอกของตัวฟันทีละน้อย ๆ จนทำให้ฟันค่อย ๆ มีสีเหลืองเข้มขึ้น สาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก ทั้งการฟอกสีฟัน ขัดฟัน ขูดหินปูน

  • การเปลี่ยนสีของฟันที่เกี่ยวข้องกับอายุ

เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น เคลือบฟันจะบางลงทำให้เห็นเนื้อฟันที่อยู่ชั้นในและมีสีเหลืองที่ชัดเจน

ขึ้น หากเป็นฟันที่เหลืองตามธรรมชาติ จะฟอกสีฟันได้ ทั้งนี้ทันตแพทย์จะต้องตรวจดูสภาพเหงือกและฟัน รวมถึงรอยร้าวต่าง ๆ บนตัวฟันก่อน

วิธีในการฟอกสีฟัน

สำหรับวิธีการฟอกสีฟัน โดยทั่วไปเราสามารถปรึกษาทัตแพทย์เพื่อเลือกวิธีการฟอกสีฟันที่เหมาะสมกับเคสของตัวเราเอง เราจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. In-office Bleaching (การฟอกสีฟันในคลินิก) ทำได้ 2 วิธี
  2. การฟอกสีฟันโดยใช้เลเซอร์ฟอกสีฟัน เป็นการใช้แสงที่ให้ความร้อนต่ำมากระตุ้นปฏิกิริยาเคมี ในเจลฟอกสีฟันที่จะทำหน้าที่ดึงเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
  3. การฟอกสีฟันโดยใช้แสงเย็น (Cold Light) เป็นการใช้แสง LED ในอุณหภูมิที่ต่ำ ฉายลงบนฟันที่ทาน้ำยาฟอกสีฟันเรียบร้อยแล้ว แสงจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของน้ำยาฟอกสีฟัน ให้เม็ดสีหนาทึบของฟันแตกตัว ทำให้ฟันดูขาวกระจ่างขึ้น ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
  4. การฟอกสีฟันโดยใช้เครื่องฉายแสง UV (แสงสีฟ้า) เป็นการฟอกสีฟันด้วยพลังงานแสงความร้อน เพื่อไปกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในเจลฟอกสีฟัน ซึ่งสามารถเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เหงือกเจ็บแสบ แดง หรืออักเสบ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

  5. At home Bleaching (การกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน)

วิธีนี้เป็นการฟอกสีฟัน โดยการนำน้ำยาฟอกสีฟันกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน ภายใต้การควบคุมดูแล

ของทันตแพทย์เป็นระยะ ๆ ซึ่งจะต้องไปพบทันตแพทย์ในครั้งแรกเพื่อพิมพ์ปาก ทำถาดสำหรับใส่สารฟอกสีฟัน โดยถาดจะต้องแนบพอดีกับตัวฟันและเหงือก โดยต้องใส่ทิ้งไว้ตลอดคืน นาน 10-15 วัน ข้อดีของวิธีนี้คือ ราคาถูก และสะดวกสบายมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาพร้อมความมีวินัยในการทำ

ฟอกสีฟัน ทำให้ฟันขาวขึ้นได้จริงไหม อยู่ได้นานแค่ไหน

การฟอกสีฟันทำให้ฟันขาวขึ้นได้จริงค่ะ ส่วนผลลัพธ์จากการฟอกสีฟันจะอยู่ได้ยาวนานแค่ไหนต้องขึ้นอยู่กับสภาพฟันของเรา รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราด้วย แต่โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี

รู้อย่างนี้แล้ว หากใครสนใจที่จะฟอกสีฟัน เบื้องต้นแนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อพิจารณาสภาพฟันและวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายฟอกสีฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ฟันขาว #ฟอกสีฟัน

ดัดฟันตอนแก่ต้องดู!! ทำได้จริงไหม และจะส่งผลเสียอะไรบ้าง

ดัดฟันตอนแก่ต้องดู!! ทำได้จริงไหม และจะส่งผลเสียอะไรบ้าง

ใคร ๆ ก็อยากสวย ยิ้มมาแล้ว ฟันเรียงตัวกันสวย แต่หลายครั้งช่วงวัยรุ่นหรือเด็ก ๆ การเงินอาจจะไม่เอื้อทำให้ไปดัดฟันไม่ได้ กว่าจะมีเงินก็อายุมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ นะคะที่อยากมีฟันที่สวย หลายคนก็อายเด็กบ้างที่จะดัดฟันตอนแก่ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าดัดฟันตอนแก่จะส่งผลอะไรกับฟันบ้างหรือเปล่า หรือจะได้ผลดีเท่ากับดัดฟันตอนเด็กไหม เราจะไปหาคำตอบนั้นพร้อมกันค่ะ

จุดประสงค์ของการดัดฟัน

คุณจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะดัดฟันไปเพื่ออะไร เพื่อความสวยงาม? หรือมีปัญหาการสบฟัน ปัญหาการบดเคี้ยว หากไม่ร้ายแรงหรือไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่จำเป็นต้องดัดฟันก็ได้ค่ะ เพราะการดัดฟัน ไม่จบลงแค่ที่การดัดฟัน หลังจากดัดฟันเสร็จ คุณจะต้องใส่รีเทรนเนอร์ตลอดชีวิต และยังต้องดูแลฟันมากกว่าปกติ คุณพร้อมการดูแลส่วนนั้นหรือยัง

คาดหวังมากเกินไปกับการดัดฟัน

หลายครั้งเราพบว่าคนที่มาดัดฟันตอนอายุมากขึ้น มาจากความคาดหวังว่าถ้าดัดฟันแล้ว หน้าจะเรียวขึ้น โหนกหน้าลดลง จมูกโด่ง ฯลฯ ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นความเชื่อและความคาดหวังที่เกินจริงไปหน่อย เพราะการดัดฟันไม่ได้ช่วยเรื่องที่ว่ามาเลยค่ะ การดัดฟันช่วยรักษาฟันซ้อน ฟันเก การสบฟัน หรือการบดเคี้ยวที่ผิดปกติ ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ส่วนหากเคยเห็นใครดัดฟันแล้วหน้าเรียวขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเค้าโครงหน้าของผู้ทำและการจัดเรียงของฟันที่ดีขึ้นนั่นเอง

อายุมากสามารถดัดฟันได้ไหม?

จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีข้อกำหนดว่าอายุเท่าไหร่ถึงจะดัดฟันไม่ได้ เพียงแต่ว่าประสิทธิผลจากการดัดฟัน และผลที่ตามมาอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเท่ากับเด็ก ซึ่งการดัดฟัน มีเงินอย่างเดียวไม่ประสบความสำเร็จนะคะ เพราะการดัดฟันมาซึ่งความรับผิดชอบในการดูแลฟันมากกว่าปกติ มาจากเศษอาหารสามารถติดตามเหล็กดัดฟันได้ง่าย หากทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ ก็จะนำมาซึ่งโรคต่าง ๆ เกี่ยวกับฟัน

ผู้ใหญ่หลายคนอายที่จะดัดฟัน หรือการใส่ยางสี ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้การดัดฟันก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งแบบเดมอน ที่ใช้เป็นโลหะ หรือจะดัดฟันแบบใส ที่สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจโดยไม่เห็นเหล็กและยางสี

ปัญหาที่พบได้บ่อยของคนที่ดัดฟันตอนอายุมาก

ปัญหาช่องปากที่พบได้บ่อยมากเมื่อดัดฟันคือ รึเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์อักเสบ เพราะเมื่อติดเครื่องมือดัดฟันไปแล้ว การทำความสะอาดฟันที่ไม่ดีพอ จะเกิดโรคดังกล่าวตามมาได้ แต่ปัญหานี้จะหมดไป หากคุณเลือกที่จะดัดฟันแบบใสเพราะสามารถถอดเข้าถอดออกได้เอง ทำให้ทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้นด้วย ข้อเสียคือ ราคาแพงมาก ๆ

โรคปริทันต์อักเสบนับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นโตของผู้ใหญ่ที่คิดจะดัดฟันเลยค่ะ เพราะทำให้เกิดข้อจำกัดในการรักษา นั่นคือไม่สามารถถอนฟันออกได้ พูดง่าย ๆ คือ ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนั่นเอง ซึ่งโรคนี้หากเป็นแล้ว ฟันจะโยกจนแทบจะหลุดออกมาทั้งแผงเลย โดยเฉพาะหากใครที่เป็นโรคปริทันต์รุนแรงด้วยแล้ว คงต้องบอกว่า บอกลาการดัดฟันและเก็บฟันไว้กินข้าวจะดีกว่าค่ะ

นอกจากนี้ อีกปัญหาที่พบบ่อยจริง ๆ สำหรับการดัดฟันในผู้ใหญ่ คือ ข้อจำกัดของร่างกาย ในร่างกายเด็กที่กำลังโตจะมีความสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีกว่า การเคลื่อนฟันในเด็กจึงทำได้ง่ายกว่า ผลแทรกซ้อนก็มีน้อยกว่า แต่ร่างกายของผู้ใหญ่เริ่มมีภาวะเสื่อมถอย ซึ่งถ้าหากทันตแพทย์แนะนำ จะแนะนำให้เด็กดัดฟันมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะดัดฟันไม่ได้นะคะ ยังต้องขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย

ผู้ใหญ่คนไหนที่อยากจะดัดฟัน ทางที่ดีแนะนำว่าให้ปรึกษาทันตแพทย์ใกล้บ้านดูก่อน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน

ฟันห่าง รักษาได้จริงไหม โดยไม่ต้องจัดฟัน

ฟันห่าง รักษาได้จริงไหม โดยไม่ต้องจัดฟัน

ใครเคยมีประสบการณ์ “ฟันห่าง” จะรู้ว่าเป็นปัญหาที่กวนใจไม่น้อยเลยค่ะ บางคนถึงกับเสียความมั่นใจในการถ่ายรูปหรือยิ้ม บางคนพยายามต้องคอยใช้ลิ้นดุนเวลายิ้ม เพราะจะได้ไม่เห็นช่องว่างระหว่างฟันชัดเจน ซึ่งหากเป็นฟันหน้าก็จะเป็นอุปสรรคในการรับประทานอาหาร เศษอาหารมักจะเข้าไปติดจนทำให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาได้ ซึ่งการแก้ปัญหา หลายคนนึกออกแต่การจัดฟัน แน่นอนว่าบางคนก็ไม่อยากจะจัดฟัน แล้วแบบนี้ ฟันห่าง ถ้าไม่จัดฟันจะรักษาได้จริงไหม

ฟันห่าง เป็นแบบไหน

ฟันห่าง คือ ช่องว่างระหว่างฟันที่กว้างมากกว่า 0.5 มม. เกิดขึ้นได้กับฟันทุกซี่ แต่ส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณระหว่างฟันหน้าสองซี่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ฟันห่างพบได้ทั้งในเด็กเเละผู้ใหญ่

ฟันห่าง เกิดจากอะไรได้บ้าง

เคยสงสัยกันไหมคะ ว่าทำไมฟันถึงห่าง มันห่างได้เอง หรือมีปัจจัยอะไรไปกระตุ้นให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันขึ้นมา ซึ่งก็มีอยู่หลายสาเหตุดังนี้

  1. ขากรรไกรและขนาดของซี่ฟันไม่สมดุลกัน กล่าวคือ ฟันอาจจะมีขนาดที่เล็กเมื่อเทียบกับขากรรไกรที่ใหญ่ ทำให้เหลือช่องว่างระหว่างฟันมากกว่าปกติ
  2. การสูญเสียฟันบางซี่ ก็สามารถทำให้ฟันห่างได้ ไม่ว่าจะเป็น ฟันล้มจากการถอน หรือในเด็กที่เมื่อฟันหลุดก็สามารถเกิดฟันห่างแบบชั่วคราวจนกว่าฟันแท้จะขึ้นได้
  3. เนื้อเยื้อยึดระหว่างริมฝีปากกับสันเหงือกที่มีลักษณะหนาและแข็งกว่าปกติ ทำให้ขวางระหว่างซี่ฟัน และทำให้เกิดช่องว่างระหว่างซี่ฟันได้
  4. พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การดูดนิ้วโป้ง การดูดปาก ดุนลิ้น ที่จะไปสร้างแรงดันที่ฟันหน้า สามารถนำไปสู่ฟันห่างได้เช่นกัน
  5. ปัญหาการกลืน ใครจะคิดว่าการกลืนจะทำให้ฟันห่างได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ ค่ะ คนปกติ เมื่อกลืนอาหาร ลิ้นจะแตะเพดานปาก เกิดเป็นแรงดันจากลิ้นที่เพดานปาก แต่ในคนที่ผิดปกติ จะเกิดเเรงกดลิ้นกับฟันหน้าขึ้นเเทน เมื่อผ่านไปแรงกดนี้ซ้ำ ๆ เมื่อเวลาผ่านไป จะผลักไปข้างหน้าทำให้ฟันห่างได้

วิธีการรักษาฟันห่าง

ไม่ใช่ทุกคนจะอยากจัดฟันหรือพร้อมที่จะจัดกัน แต่ทว่าพอมีฟันห่าง หลายคนกลับนึกถึงแค่วิธีจัดฟันอย่างเดียว ต้องบอกเลยว่าจริง ๆ แล้วยังมีวิธีช่วยให้ฟันห่างกลับมาชิดกันได้โดยไม่ต้องจัดฟันจริง ๆ ค่ะ มีวิธีดังนี้

  1. การอุดปิดช่องว่างระหว่างฟัน

วิธีนี้สามารถรักษาฟันห่างได้โดยการใช้วัสดุอุดฟันคอมโพสิตเรชิ่นที่มีสีเหมือนฟันธรรมชาติมาช่วย

เสริมเข้าไปบริเวณช่องว่างระหว่างฟัน โดยทันตแพทย์จะเลือกสีของวัสดุอุดฟันให้ใกล้เคียงกับสีฟันเดิมและสร้างรูปร่างให้เรียบเนียนเข้ากับฟันธรรมชาติ ซึ่งทำให้คนอื่นไม่สามารถรู้ได้ว่าฟันซี่นั้นเป็นฟันที่มีการอุดปิดไว้ นอกจากนี้ การอุดปิดช่องว่างยังช่วยรักษาปัญหาฟันบิ่นได้ด้วยค่ะ ข้อดีคือราคาไม่แพง ใช้เวลาไม่นาน โดยสามารถอุดได้ทันที

  • การทำวีเนียร์

การทำวีเนียร์ เป็นการรักษาฟันห่างแบบเติมเต็มรอยยิ้ม โดยใช้เรซินเป็นวัสดุ ปิดทับบริเวณผิวหน้าของ

ฟัน ช่วยปิดบังสีฟันที่ไม่สม่ำเสมอและฟันที่มีรูปร่างไม่สวยงาม รวมถึงฟันที่มีช่องว่างระหว่างฟัน ให้รอยยิ้มสวย ฟันขาวยิ่งขึ้น ข้อเสียของการทำวีเนียร์คือราคาต่อซี่ค่อนข้างสูง

  • การทำรากฟันเทียมหรือสะพานฟัน

วิธีนี้ใช้รักษาฟันห่างได้เช่นกัน แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าสองวิธีแรก เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน

โดยการใช้สกรูโลหะเข้าไปในกระดูกขากรรไกรและยึดเข้ากับฟันปลอม

เห็นไหมล่ะคะ ว่าการรักษาฟันห่างสามารถทำได้มากมายหลายวิธี โดยที่ไม่จำเป็นต้องจัดฟันเลย ซึ่งหากใครสนใจวิธีไหน ให้ลองขอคำปรึกษาจากทันตแพทย์ได้เลย

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ฟันห่าง #จัดฟัน

แปรงฟันถูกวิธี ควรแปรงฟันกี่นาที

แปรงฟันถูกวิธี ควรแปรงฟันกี่นาที ให้มีการปกป้องฟันสูงสุด

มีใครเคยรู้สึกบ้างไหมคะ ว่าเราแปรงฟันสะอาดจริงหรือเปล่า แล้วการแปรงฟันที่ถูกวิธี ควรแปรงฟันกี่นาที จึงจะมีประสิทธิภาพการปกป้องกันเราได้สูงที่สุด เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า ระยะเวลาไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพการแปรงฟัน เพราะบางคนแปรงฟันนานก็จริง แต่ทำไมถึงยังมีฟันผุ แต่กับบางคนแปรงฟันสั้น ๆ แต่ฟันกลับสุขภาพดี แล้วแท้ที่จริงแล้ว เราควรแปรงฟันกี่นาทีกันแน่ เราจะชวนทุกคนมาร่วมหาคำตอบนี้กันค่ะ

เทคนิคง่าย ๆ สำหรับการแปรงฟันให้ถูกวิธี

หลายคนหาคำตอบว่าจริง ๆ แล้วเราควรแปรงฟันกี่นาทีกัน เราขอแนะนำเทคนิคการแปรงฟัน จำไม่ยาก ทำตามได้ง่าย ๆ นั่นคือ เทคนิค 2-2-2 โดยมีรายละเอียดได้แก่

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • แปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ให้นานอย่างน้อยครั้งละ 2 นาที
  • งดกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

เหตุผลที่เราควรแปรงฟันให้ได้ 2 นาที นั่นเป็นเพราะจะได้มีเวลานานพอที่จะทำให้ฟลูออไรด์สามารถเกาะติดและซึมผ่านผิวฟันเข้าไปทำให้ฟันแข็งแรงมากขึ้น ฟันก็จะผุได้ยากขึ้น ทั้งนี้ ได้มีงานศึกษามากมาย พบว่า การแปรงฟันเป็นเวลา 2 นาที ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องฟันได้ดีขึ้น เพราะสามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันได้มากกว่าการแปรงฟันเพียง 1 นาทีเกือบเท่าตัวด้วยค่ะ แต่ในทางกลับกัน หากเราใช้เวลาในการแปรงฟันที่สั้นมาก แปรงไม่กี่วินาที ฟลูออไรด์ที่อยู่ในยาสีฟันก็จะไม่ทันเข้าไปในผิวฟัน อีกทั้ง บรรดาคราบจุลินทรีย์หรือเศษอาหารก็จะยังคงเหลืออยู่ภายในช่องปากแลซอกฟัน นั่นเป็นเหตุทำให้เกิดฟันผุตามมาได้

ถ้าแปรงฟันนานกว่า 2 นาทีล่ะ?

สำหรับคนทั่วไป การแปรงฟัน 2 นาที ถือว่าเพียงพอแล้วค่ะ แต่ในกรณีคนบางกลุ่ม ที่มีฟันซ้อนเก หรือติดของหวาน มีปัญหาโรคเหงือกหรือปัญหาช่องปากต่าง ๆ การแปรงฟัน 2 นาที ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้เช่นกัน รวมถึงยังสามารถแปรงได้บ่อยกว่าวันละ 2 ครั้งอีกด้วย

ประสิทธิภาพการปกป้องกันทวีคูณ เมื่อแปรงแห้ง 2 นาที

นอกจากเราจะควรแปรงฟัน 2 นาทีแล้ว รูปแบบการแปรงที่จะช่วยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันปกป้องฟันของเราได้อย่างดีเยี่ยม คือ การแปรงแห้ง หรือแปรงโดยไม่บ้วนปาก แต่จะใช้วิธี “ถุย” เพื่อเอาฟองที่อยู่ภายในช่องปากออกให้มากที่สุดเท่านั้น หากใครยังนึกไม่ออก เราแนะนำการแปรงแห้งดังนี้

  • ไม่ควรเอาแปรงจุ่มน้ำ หรือบ้วนน้ำทั้งก่อนและหลังแปรงฟัน
  • เมื่อแปรงเสร็จ ให้ใช้วิธี “ถุยทิ้ง” เพื่อให้น้ำลายชะล้างคราบฟองที่เหลือ
  • ในขณะที่เรากำลังล้างรอบปาก น้ำลายจะไหลออกมา ก็ให้เราถุยทิ้งอีก แต่ถ้าหากใครรู้สึกไม่สบายปาก อาจจะใช้ลิ้นกวาดคราบฟองที่เหลือตามกระพุ้งแก้มหรือริมฝีปากด้านในและดูดกระพุ้งแก้ม ซึ่งการขยับกระพุ้งแก้มและการกวาดลิ้นไปรอบปาก จะเป็นการกระตุ้นให้มีน้ำลายเพิ่มากขึ้น โดยอาจจะใช้วิธีแปรงลิ้นเบา ๆ จากโคนลิ้นไปทางปลายลิ้น เพื่อลากเอาฟองที่ตกค้างบนลิ้นออก จากนั้นก็ถุยทิ้งอีกครั้ง เท่านี้ก็จะไม่เหลือฟองยาสีฟันตกค้างมากมายแล้วค่ะ

สิ่งสำคัญของการแปรงฟันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการแปรงฟัน ว่าเราแปรงฟันได้ถูกวิธีหรือไม่ เพราะหากแปรงฟันนาน แต่แปรงไม่สะอาด ก็จะไม่สามารถช่วยปกป้องฟันของเราไว้ได้เลย แถมยังจะก่อให้เกิดผลเสียต่อฟันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคอฟันสึก ฟันบาง เหงือกร่น เหงือกอักเสบ ฯลฯ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ตรวจสุขภาพฟัน #นัดทำฟัน

หนอนในช่องปาก มีจริงหรือไม่

หนอนในช่องปาก มีจริงหรือไม่

สมัยเด็กๆ ผู้ใหญ่มักจะหลอกกันว่า ถ้าไม่ดูแลรักษาฟัน ไม่แปรงฟันให้ดี จะมีหนอนในปาก ซึ่งมันสยองขวัญมาก ทำให้เด็กๆ นั้นกลัวและต้องหาวิธีทำให้ไม่มีหนอนในปาก ด้วยวิธีแปรงฟัน บ้วนปาก

ซึ่งหลายๆ คนน่าจะเคยไปหาหมอบ้านๆ ที่เอากระดาษม้วนใส่หูและเป่าควันร้อนๆ และมีหนอนออกมา ซึ่งตอนเด็กๆ ผมเคยโดนด้วย ทำให้เป็นภาพจำที่หลอนไปเลยครับ งงมากเลยครับว่าหนอนมาได้ยังไง ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันครับว่าหนอนในช่องปากมีจริงหรือไม่

ผลการวิจัยของทันตแพทย์ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พบผู้ป่วยที่มีหนอนอยู่ในช่องปากจำนวนมากนั้น ทพ เผด็จ ตั้งงามสกุล อุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 1 ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โรคนี้มีชื่อว่า Oral myiasis มักพบได้ในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่นผู้ป่วยที่นอนติดเตียงหรือผู้พิการทางสมองที่ไม่สามารถปัดป้องแมลงที่มาตอมไต่ได้ โดยเกิดจากการที่มีแมลงในกลุ่มแมลงวัน บินไปกินเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก และไข่ทิ้งไว้ จากนั้นไข่ก็ฟักตัวเป็นตัวหนอนแล้วไชลึกลงไปอาศัยในเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ใช้บริเวณนั้นเป็นอาหารต่อไป แมลงชนิดนี้พบมากตามภูมิภาคที่มีอากาศร้อนชื้น สามารถออกไข่ไว้ตามผิวหนังที่เป็นแผล รูหู หรือช่องปาก ของมนุษย์ได้ และอาศัยอาหารบริเวณเหล่านั้นเจริญเติบโตต่อไป

ทพ.เผด็จ ตั้งงามสกุล อุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 1 แนะนำให้ประชาชนที่ต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้พิการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ดังนี้

  1. แปรงฟันทำความสะอาดช่องปากผู้ป่วยทุกวัน รวมทั้งหลังรับประทานอาหาร
  2. ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 6 เดือน
  3. ถ้าผู้ป่วยนอนอ้าปาก ควรใส่ mask ปิดปากจมูกให้ผู้ป่วยอยู่เสมอ หรือให้นอนในมุ้งเพื่อป้องกันแมลง
  4. หมั่นตรวจในช่องปาก ในจมูก และรูหูของผู้ป่วย ให้สะอาดอยู่เสมอ

เห็นหรือยังครับว่า หนอนในช่องปากนั้นมีจริง มีเคสเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยติดเตียงเท่านั้นนะครับที่ต้องดูแลสุขภาพฟัน แปรงฟันให้สะอาด สำคัญทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากๆ ครับ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ตรวจสุขภาพฟัน #นัดทำฟัน

แนะนำวิธีดูแลรักษาฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุ

แนะนำวิธีดูแลรักษาฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุ

แนะนำวิธีดูแลรักษาฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุ

ทุกวันนี้คนเรามีพฤติกรรมหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ทำร้ายฟันของเราไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะมาจากไลฟ์สไตล์ การบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มมากขึ้น หรือการดูแลรักษาฟันได้ไม่สะอาดเพียงพอ จนเกิดเป็นฟันผุ ซ้ำร้ายเมื่อฟันผุแล้ว กลับละเลยที่จะไปรักษา ปล่อยเอาไว้ จนเวลาผ่านไปกลายเป็นฟันผุที่ลุกลามรุนแรง แทนที่จะเสียเงินค่าอุดฟันไม่กี่ร้อย ถ้าฟันผุลึกถึงชั้นโพรงประสาท ก็ต้องรักษารากฟันที่ราคาค่อนข้างสูง งั้นเรามาดูวิธีดูแลรักษาฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุดีกว่าค่ะ

How to ดูแลฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุ

คำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ฟันไม่ผุ ก็คงจะตอบกันได้ง่าย ๆ และด้วยวิธีง่าย ๆ ก็คือ การแปรงฟันให้สะอาด แต่วิธีการดูแลรักษาฟันให้ไม่ผุ ยังมีนอกเหนือจากการแปรงฟันด้วยค่ะ เราจึงนำเอามาฝากกัน

  1. ลดการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป

น้ำตาลคือสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำร้ายฟันของเรา ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าถ้างดน้ำตาลจากขนมหวาน

อย่างลูกอม เค้ก ของหวาน หรือน้ำอัดลมต่าง ๆ ก็จะฟันไม่ผุ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ เพราะหลายครั้ง น้ำตาลก็มาในรูปแบบของอาหารจำพวกแป้ง ที่จะมีกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือในถั่วประเภทต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่น้ำอัดลมที่มีน้ำตาล 0%

  • แปรงฟันให้ถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

บางคนสงสัยว่าทำไมแปรงฟันทุกวัน แต่ฟันยังผุอยู่ ฟันของเราจะผุหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งก็มาจาก

คุณภาพในการแปรงฟันของเรา ดังนั้นการแปรงฟันที่ได้คุณภาพ จึงควรแปรงฟันให้นานตั้งแต่ 2 นาทีขึ้นไป เพื่อให้มีเวลานานพอที่จะทำให้ฟลูออไรด์สามารถเกาะติดและและซึมผ่านผิวฟันเข้าไปทำให้ผิวฟันแข็งแรงขึ้น ฟันก็จะผุได้ยากขึ้น ถ้าเราใช้เวลาแปรงไม่กี่วินาที ฟลูออไรด์ในยาสีฟันจะยังไม่ทันเข้าไปในผิวฟัน ที่สำคัญที่สุด ควรแปรงแห้งโดยปราศจากการบ้วนปาก เพื่อให้ได้ฟลูออไรด์ติดที่ผิวฟันให้มากที่สุด

  • การแปรงลิ้น

หลายคนอาจจะคิดว่าการแปรงลิ้นไปเกี่ยวอะไรกับฟันผุ ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่ฟันของเรา

ผุ ก็มาจากปัจจัยต่าง ๆ ภายในช่องปาก เพราะลิ้นถือเป็นอวัยวะที่มีการสะสมแบคทีเรียมากเช่นกัน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่แปรงฟัน อย่าลืมที่จะแปรงลิ้นกินด้วยนะคะ

  • งดการกินอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง

หากใครอยากให้ฟลูออไรด์ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ 100% แนะนำว่า หลังการแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มี

ส่วนผสมของฟลูออไรด์ ไม่ควรดื่มน้ำหรือกินอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ฟลูออไรด์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ถูกชะล้างออกไปจากการดื่มน้ำหรือกินอาหาร

  • ใช้ไหมขัดฟัน

บางครั้งการแปรงฟันอย่างเดียวอาจยังไม่พอที่จะป้องกันฟันผุได้ เพราะขนแปรงของเราอาจไม่ชอนไช

เข้าไปทำความสะอาดตามไรฟันได้หมดจด ดังนั้นการใช้ไหมขัดฟันจะช่วยให้ขจัดเศษอาหารที่ติดตามซอกฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการสะสมแบคทีเรียได้

  • กินอาหารให้เป็นเวลา

แน่นอนว่าบางคนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกันเลย ที่ฟันเราจะผุเพราะกินอาหารไม่เป็นเวลา แต่อันที่จริงแล้ว

สำคัญมาก ๆ นะคะ เราควรกินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ควรกินจุบกินจิก เพราะโอกาสเกิดกรดในช่องปากมีมากขึ้น

  • ไปหาหมอฟันทุก ๆ 6 เดือน

แม้เราจะหมั่นดูแลรักษาฟันอยู่เป็นประจำ แต่สิ่งสำคัญคือควรนัดตรวจสุขภาพช่องปากกับหมอฟัน

ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันอาการเกี่ยวกับโรคภายในช่องปากที่เราไม่ทันระวังตัว และได้รับการแนะนำในการดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี

เท่านี้เราก็ได้รู้แล้วว่าเราจะดูแลรักษาฟันอย่างไรให้ฟันไม่ผุก เพราะหากเราสามารถดูแลตัวเองและช่องปากของเราได้ตามวิธีที่แนะนำข้างต้นนี้ได้ทั้งหมด รับรองเลยว่าฟันของเราจะไม่มีวันผุอย่างแน่นอนค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทำฟัน #ดูแลรักษาฟัน