จัดฟันแก้ปัญหานอนกรนได้จริงหรือ

จัดฟันแก้ปัญหานอนกรนได้จริงหรือ

จัดฟันแก้ปัญหานอนกรนได้จริงหรือ? เผยความจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้

การนอนกรนไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงรบกวนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับสุขภาพที่หลายคนอาจมองข้าม หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ “จัดฟันแก้ปัญหานอนกรนได้จริงหรือ?” คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหานอนกรนเรื้อรัง รู้สึกเหนื่อยล้าแม้จะนอนครบ 8 ชั่วโมง หรือมีคนรอบตัวบ่นว่ากรนเสียงดังจนนอนไม่ได้

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างการจัดฟันกับอาการนอนกรน พร้อมทั้งเปิดมุมมองใหม่ในการดูแลสุขภาพช่องปากและการนอนอย่างมีคุณภาพ

รู้จัก “การนอนกรน” ให้มากขึ้นก่อน

ก่อนจะตอบคำถามว่าจัดฟันช่วยได้หรือไม่ เราควรเข้าใจพื้นฐานของ การนอนกรน (Snoring) เสียก่อน

● การนอนกรนคืออะไร?

การนอนกรนคือเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในช่องคอ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้น ขณะหายใจในช่วงที่นอนหลับ โดยเฉพาะในช่วงหลับลึกหรือเมื่อกล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายมากเกินไป ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง

● สาเหตุที่พบบ่อยของการนอนกรน

  • โครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ เช่น กระดูกขากรรไกรผิดรูป เพดานปากแคบ หรือลิ้นขนาดใหญ่

  • น้ำหนักตัวเกิน ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง

  • ท่านอน โดยเฉพาะการนอนหงายทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังอุดทางเดินหายใจ

  • พฤติกรรมและสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันเก ฟันซ้อนเก บดบังพื้นที่ในช่องปากและส่งผลต่อการหายใจ

จัดฟันช่วยเรื่องนอนกรนได้อย่างไร?

คำตอบสั้น ๆ คือ “ช่วยได้” ในหลายกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหานอนกรนจากโครงสร้างช่องปากและขากรรไกรผิดปกติ

● กลไกของการจัดฟันที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ

การจัดฟันไม่ได้เป็นเพียงการเรียงฟันให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดตำแหน่งของขากรรไกร เพดานปาก และเนื้อเยื่อในช่องปากให้สมดุล เมื่อฟันเรียงตัวดี ขากรรไกรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้:

  • ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น

  • ลิ้นไม่ตกไปอุดทางเดินหายใจ

  • การไหลเวียนอากาศในระหว่างนอนราบดีขึ้น

  • ลดการสั่นของเนื้อเยื่อที่เป็นต้นเหตุของเสียงกรน

เทคโนโลยีจัดฟันยุคใหม่กับการรักษานอนกรน

เทรนด์ในปี 2026 แสดงให้เห็นว่าทันตแพทย์เริ่มใช้ เครื่องมือจัดฟันร่วมกับอุปกรณ์แก้นอนกรน (Oral Appliance) อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ หรือยังไม่อยากผ่าตัด

● ประเภทของการจัดฟันที่อาจช่วยลดอาการนอนกรน

  1. จัดฟันแบบดามอน (Damon System)
    ช่วยขยายขากรรไกรโดยไม่ต้องถอนฟัน ทำให้ช่องทางเดินหายใจด้านหลังขยายขึ้น

  2. จัดฟันร่วมกับขยายเพดานปาก (Palatal Expander)
    พบได้บ่อยในเด็ก ช่วยขยายฐานขากรรไกรบน ลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

  3. จัดฟันร่วมกับศัลยกรรมขากรรไกร (Orthognathic Surgery)
    เหมาะกับผู้ที่มีโครงหน้าผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น ขากรรไกรล่างร่นมาก อาจต้องผ่าตัดเพื่อเลื่อนกระดูกเพื่อเปิดทางหายใจ

  4. Invisalign หรือจัดฟันแบบใส
    แม้เน้นเรื่องความสวยงามเป็นหลัก แต่หากร่วมกับการวางแผนปรับโครงสร้าง ก็สามารถช่วยลดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้เช่นกัน

จัดฟันกับอาการนอนกรนในเด็ก

การจัดฟันในเด็กอาจช่วยแก้ปัญหานอนกรนและ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ได้อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงอายุ 7–12 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ขากรรไกรกำลังเติบโต

  • การขยายเพดานปากสามารถเปิดทางเดินหายใจส่วนบน

  • ช่วยลดปัญหาการนอนหลับไม่สนิท เด็กงอแงกลางคืน หรือตื่นมาเหนื่อย

อย่ามองข้าม: นอนกรนอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตราย

การนอนกรนบางประเภท เช่น Obstructive Sleep Apnea (OSA) ไม่ได้เป็นแค่เสียงรบกวน แต่เป็นโรคเรื้อรังที่มีความเสี่ยงสูงต่อ:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด

  • ความดันโลหิตสูง

  • โรคเบาหวาน

  • ความผิดปกติของสมอง เช่น ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวน

หากคุณมีอาการนอนกรนร่วมกับอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที:

  • หายใจสะดุดกลางดึก

  • รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา

  • ปวดหัวตอนตื่นนอน

  • ตื่นกลางดึกบ่อย

ขั้นตอนการวินิจฉัยและรักษาด้วยการจัดฟัน

  1. ปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางด้านจัดฟันหรือเวชศาสตร์การนอนหลับ

  2. ทำการตรวจสภาพช่องปาก และการสบฟันอย่างละเอียด

  3. อาจทำการสแกน 3D หรือ X-ray เพื่อวิเคราะห์โครงสร้าง

  4. แผนการจัดฟันเฉพาะบุคคล ที่ออกแบบให้เหมาะกับปัญหานอนกรน

  5. ติดตามผลหลังจัดฟัน เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของการนอนและอาการกรน

สรุป: จัดฟันแก้ปัญหานอนกรนได้จริงหรือ?

คำตอบคือ “ได้” หากต้นเหตุมาจากโครงสร้างช่องปาก ขากรรไกร หรือการเรียงตัวของฟัน
แต่ถ้านอนกรนจากสาเหตุอื่น เช่น น้ำหนักตัวเกิน ภูมิแพ้ หรือพฤติกรรมการนอน ก็อาจต้องดูแลร่วมกันในหลายมิติ

การจัดฟันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามอีกต่อไป แต่ยังเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อ สุขภาพการนอนที่ดี และลดความเสี่ยงจากโรคร้ายที่มากับการนอนกรน

สนใจปรึกษาเกี่ยวกับการจัดฟันและปัญหานอนกรน?

คลินิกของเรามีทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านจัดฟัน พร้อมอุปกรณ์ทันสมัยที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างแม่นยำ พร้อมแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นจัดฟันใส ดามอน หรือการจัดฟันร่วมกับศัลยกรรม

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ส่องเทรนด์จัดฟัน 2026

ส่องเทรนด์จัดฟัน 2026

ส่องเทรนด์จัดฟัน 2026: ก้าวใหม่ของรอยยิ้มที่มั่นใจในยุคดิจิทัล

การจัดฟันในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของฟันเรียงสวยอีกต่อไป แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาพช่องปาก ภาพลักษณ์ และแม้แต่ความมั่นใจในตัวเอง เทคโนโลยีทันตกรรมได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปี 2026 นี้ เราจะเห็นเทรนด์จัดฟันที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน มาดูกันว่า “ส่องเทรนด์จัดฟัน 2026” มีอะไรที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนรอยยิ้มของคุณให้สมบูรณ์แบบ

ทำไมต้องติดตามเทรนด์จัดฟัน?

เพราะการจัดฟันในยุคนี้ไม่ใช่แค่การดึงลวดเข้ารูป แต่เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับวิทยาศาสตร์ทันตกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เทรนด์ในปี 2026 นี้เน้นความ “แม่นยำสูง” “เจ็บน้อย” “เวลาน้อย” และ “ไม่รบกวนภาพลักษณ์”

1. การจัดฟันแบบใส (Clear Aligners) ที่ชาญฉลาดขึ้น

อนาคตของการจัดฟันแบบไร้ลวด

เทคโนโลยีจัดฟันแบบใส เช่น Invisalign หรือแบรนด์ท้องถิ่นอื่นๆ ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง และในปี 2026 เราจะได้เห็นรุ่นใหม่ที่มีระบบติดตามการเคลื่อนตัวของฟันแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

จุดเด่นของเทรนด์นี้

  • สแกนแบบ 3D ที่แม่นยำ ด้วยระบบ AI

  • คาดการณ์ผลลัพธ์ล่วงหน้า ด้วย Simulation Model

  • สะดวกไม่ต้องพบทันตแพทย์บ่อย

  • ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทำงาน – นักเรียน – Influencer

2. เทคโนโลยี AI กับการวิเคราะห์เคสจัดฟัน

AI เข้ามาช่วยให้รอยยิ้มสมบูรณ์

ในอดีตการวิเคราะห์เคสจัดฟันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของทันตแพทย์ แต่ในปี 2026 นี้ คลินิกทันตกรรมชั้นนำจะใช้ AI ในการ:

  • วิเคราะห์รูปแบบการสบฟัน

  • คำนวณแรงเคลื่อนของฟันแต่ละซี่

  • แนะนำแผนการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment Plan)

ผลดีต่อผู้รับบริการ

  • แม่นยำ ลดโอกาสผิดพลาด

  • ลดเวลาในการรักษา

  • ค่ารักษาโปร่งใสตั้งแต่ต้น

3. การจัดฟันแบบร่วมกับเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Orthodontics)

ไม่ใช่แค่ความสวย แต่ต้องดูอ่อนเยาว์

คนวัย 30–50 ปีที่อยากกลับมามีรอยยิ้มสดใสเริ่มสนใจการจัดฟันมากขึ้น เพราะงานวิจัยพบว่า ฟันที่เรียงตัวดีและโครงหน้าที่สมดุล ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนวัยกว่าที่เคย

เทรนด์ 2026 เน้นการออกแบบรอยยิ้มให้ เหมาะกับโครงหน้าและวัยของผู้รับบริการ มากกว่าการจัดเรียงฟันเพียงอย่างเดียว

4. จัดฟันร่วมกับศัลยกรรมดึงขากรรไกรผ่านระบบ Simulation

เทคโนโลยีช่วยให้ “การผ่าตัดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว”

สำหรับผู้ที่มีปัญหาความผิดปกติของขากรรไกร เช่น ฟันล่างยื่น ฟันบนคร่อม ฯลฯ การผ่าตัดร่วมกับการจัดฟันเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ปี 2026 จะเห็นการพัฒนา “Digital Surgical Planning” หรือการจำลองภาพการผ่าตัดอย่างละเอียด ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจแผนการรักษา และเห็นผลลัพธ์ก่อนตัดสินใจได้ชัดเจน

5. วัสดุจัดฟันล้ำยุค: ลวดไบโอโลจิค + วัสดุเรืองแสง

  • ลวดไบโอโลจิค (Bio-Compatible Archwire) ที่ลดแรงเสียดทานและระคายเคือง

  • วัสดุ Bracket สีใสที่สามารถเรืองแสงเบาๆ เวลาถ่ายภาพ UV สำหรับคนชอบถ่ายรูป

นี่ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่ยังเน้นเรื่องความสบาย ความปลอดภัย และการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น เซ็นเซอร์วัดแรงดึงที่ฝังในลวดได้

6. บริการจัดฟันแบบ Subscription และผ่อนจ่ายรายเดือน

คลินิกทันตกรรมจำนวนมากเริ่มปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค โดยให้บริการจัดฟันแบบ:

  • สมัครสมาชิกรายเดือน (Monthly Plan)

  • มีแอปติดตามความคืบหน้า

  • ติดต่อกับทันตแพทย์ผ่านระบบ Video Call

เทรนด์นี้ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น – นักศึกษา และคนทำงานอิสระ ที่ต้องการควบคุมงบประมาณและเวลานัดหมาย

7. จัดฟันเร็วแบบเร่งรัด (Accelerated Orthodontics)

ปี 2026 จะเห็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเร่งกระบวนการจัดฟัน เช่น:

  • การใช้คลื่นสั่นสะเทือน (Vibration Therapy)

  • การกระตุ้นเซลล์ด้วยแสง LED

  • ระบบจัดฟันร่วมกับ Micropulse

ผู้ที่มีเวลาจำกัดหรือต้องการฟันเรียงสวยภายใน 6–12 เดือนจะเลือกเทรนด์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ

8. เทรนด์จัดฟันเฉพาะจุด (Segmental Orthodontics)

ไม่ต้องจัดทั้งปากก็สวยได้! คลินิกหลายแห่งเริ่มให้บริการจัดฟันเฉพาะจุด เช่น:

  • ฟันหน้าล่างเบี้ยวเล็กน้อย

  • ฟันบนเกิน 1 ซี่

  • เว้นช่องว่างเล็กน้อย

เทคนิคนี้ใช้เวลาไม่นาน ราคาย่อมเยา และไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน

9. เทรนด์จัดฟันแบบ Eco-Friendly

ทันตกรรมสายรักษ์โลกมาแรง! ปี 2026 นี้ คลินิกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะเริ่มใช้:

  • วัสดุรีไซเคิลได้

  • กล่องใส่รีเทนเนอร์จากขวดพลาสติกเก่า

  • ลดการใช้พิมพ์ฟันแบบซิลิโคน ใช้การสแกนแบบดิจิทัลแทน

ใครที่ใส่ใจทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ควรเลือกบริการแบบนี้

10. ร่วมจัดฟันกับเทคนิคฟื้นฟูสุขภาพช่องปากครบวงจร

ปี 2026 เป็นปีที่การจัดฟันจะรวมเข้ากับบริการสุขภาพช่องปาก เช่น:

  • ตรวจสุขภาพเหงือกก่อนจัดฟัน

  • การฟอกสีฟันหลังถอดเครื่องมือ

  • โปรแกรมดูแลฟันหลังการจัดฟันแบบรายปี

เลือกคลินิกจัดฟันปี 2026 ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?

ปัจจัยสำคัญ รายละเอียดที่ควรพิจารณา
ทันตแพทย์เฉพาะทาง ตรวจสอบว่าวุฒิแพทย์ตรงกับการจัดฟันหรือไม่
เทคโนโลยีที่ใช้ มีระบบ 3D Scan, AI, Simulation หรือไม่
ความสะอาดปลอดภัย ได้รับมาตรฐาน ISO หรือ JCI หรือไม่
รีวิวจากผู้ใช้จริง เช็คผ่าน Google, Facebook, หรือ Pantip
รูปแบบการชำระเงิน มีผ่อนจ่ายรายเดือนหรือโปรโมชั่นหรือไม่
บริการหลังจัดฟัน มีบริการรีเทนเนอร์ ตรวจซ้ำฟรีหรือไม่

สรุป: การจัดฟันปี 2026 ไม่ใช่แค่เรื่องของฟัน แต่คือการลงทุนในรอยยิ้มที่มั่นใจ

“ส่องเทรนด์จัดฟัน 2026” ทำให้เราเห็นว่า การจัดฟันได้ก้าวข้ามจากเรื่องความสวยงามสู่การสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้กระบวนการง่ายขึ้น เจ็บน้อยลง และใช้เวลาน้อยลง ผู้บริโภคในยุคนี้จึงควรอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ และเลือกบริการจากคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์

สนใจจัดฟันกับคลินิกทันตกรรมที่เชี่ยวชาญและทันสมัย?

หากคุณกำลังมองหาบริการจัดฟันที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด พร้อมแผนการรักษาเฉพาะบุคคล และบริการครบวงจร เราขอแนะนำคลินิกของเรา — ปรึกษาเบื้องต้นฟรี พร้อมรับส่วนลดพิเศษเมื่อจองผ่านเว็บไซต์วันนี้

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ทันตกรรมเด็กทำก่อนดีกว่า รอให้ฟันผุแล้วค่อยทำ

ทันตกรรมเด็กทำก่อนดีกว่า รอให้ฟันผุแล้วค่อยทำ

ทันตกรรมเด็ก (Pediatric Dentistry) ไม่ใช่แค่เรื่องของฟันผุที่ต้องรีบรักษาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แต่คือกระบวนการดูแลช่องปากเด็กตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะปัญหาฟันผุ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม พฤติกรรมการกิน การนอน และพัฒนาการของเด็ก

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกว่าเหตุใดการพาเด็กไปพบทันตแพทย์ตั้งแต่ยังไม่มีปัญหา จึง “ดีกว่า” การรอให้ฟันผุแล้วค่อยรักษา พร้อมแนะนำบริการที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันของเด็กให้แข็งแรงไปตลอดวัยเด็ก

ทำไมเด็กจึงเสี่ยงต่อการฟันผุมากกว่าผู้ใหญ่?

  1. เคลือบฟันยังไม่แข็งแรงเต็มที่
    ฟันน้ำนมมีชั้นเคลือบฟันบางและมีความเป็นกรดน้อยกว่าฟันแท้ ทำให้ฟันผุได้ง่ายกว่า และเมื่อผุแล้วอาการจะลุกลามเร็วมาก

  2. พฤติกรรมการกินจุกจิก
    เด็กมักชอบขนมหวาน น้ำอัดลม และของว่างที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้เกิดกรดและทำลายฟัน

  3. ความยากในการแปรงฟันอย่างถูกวิธี
    เด็กเล็กยังไม่มีทักษะหรือความร่วมมือในการแปรงฟัน ทำให้เศษอาหารตกค้าง และเสี่ยงฟันผุ

ทันตกรรมเด็กคืออะไร?

ทันตกรรมเด็ก คือสาขาทันตกรรมเฉพาะทางที่มุ่งเน้นดูแลช่องปากของเด็กตั้งแต่ทารกจนถึงวัยรุ่น โดยให้บริการตั้งแต่การตรวจสุขภาพฟัน การเคลือบฟลูออไรด์ การเคลือบหลุมร่องฟัน การอุดฟัน ไปจนถึงการจัดฟันสำหรับเด็ก

ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านนี้จะมีทักษะและความรู้เฉพาะในการทำให้เด็กไม่กลัวหมอฟัน และมีเทคนิคในการสื่อสารให้เด็กมีพฤติกรรมความร่วมมือที่ดีขณะรับการรักษา

เหตุผลที่ควรทำทันตกรรมเด็กก่อนฟันผุ

1. ป้องกันดีกว่ารักษา

การเคลือบฟลูออไรด์ หรือการเคลือบหลุมร่องฟันเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันฟันผุในระยะยาว เมื่อเทียบกับการอุดฟันหรือถอนฟันที่อาจตามมาภายหลัง การพาเด็กตรวจฟันทุก 6 เดือนจึงเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพ

2. สร้างพฤติกรรมดูแลช่องปากที่ดี

เด็กที่คุ้นชินกับการไปพบทันตแพทย์ตั้งแต่ยังเล็ก มักมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลฟัน พ่อแม่สามารถใช้โอกาสนี้สอนการแปรงฟันที่ถูกวิธี และปลูกฝังนิสัยที่ติดตัวไปจนโต

3. ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว

แม้จะดูเหมือนเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการพาไปพบหมอฟันเป็นประจำ แต่ในระยะยาว การรักษาฟันผุที่ลุกลามจนต้องรักษารากฟัน หรือใส่ครอบฟัน อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหลายเท่า

4. ป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคต

ฟันน้ำนมที่ผุ อาจส่งผลต่อฟันแท้ในอนาคต เช่น ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันเก ฟันซ้อน รวมถึงส่งผลต่อพัฒนาการพูด การเคี้ยวอาหาร และความมั่นใจในตัวเองของเด็ก

เคสตัวอย่าง: ฟันผุหนึ่งซี่ สู่การรักษาที่ซับซ้อน

เด็กวัย 4 ขวบที่ไม่เคยไปหาหมอฟันมาก่อน มีอาการปวดฟันน้ำนมซี่หนึ่ง เมื่อพ่อแม่พาไปพบทันตแพทย์ พบว่าเชื้อได้ลามเข้าสู่โพรงประสาท ต้องทำการรักษารากฟันและใส่ครอบฟัน ซึ่งหากเด็กได้รับการเคลือบฟลูออไรด์เป็นประจำตั้งแต่เล็ก อาจสามารถป้องกันได้

บริการทันตกรรมเด็กยอดนิยมที่ควรทำก่อนเกิดปัญหา

บริการ รายละเอียด ประโยชน์
เคลือบฟลูออไรด์ ทาฟลูออไรด์ที่ผิวฟัน เพื่อเสริมความแข็งแรง ลดการเกิดฟันผุ 30–70%
เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟันกรามที่มีร่องลึก เพื่อป้องกันเศษอาหารเข้าไปสะสม เหมาะกับฟันกรามน้ำนมและฟันแท้ซี่แรก
ตรวจสุขภาพฟัน ตรวจฟันทุก 6 เดือน ค้นหาและป้องกันปัญหาฟันตั้งแต่ระยะแรก
อุดฟันน้ำนม อุดฟันผุเล็กๆ ก่อนลุกลาม ช่วยรักษาฟันให้ใช้งานได้นาน
ประเมินการขึ้นของฟัน วางแผนดูพัฒนาการฟันและโครงสร้างใบหน้า เตรียมตัวสำหรับการจัดฟันในอนาคต

คำแนะนำสำหรับพ่อแม่

  • เริ่มพาเด็กไปหาหมอฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น (ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี)

  • ควรพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ

  • หลีกเลี่ยงอาหารหวาน โดยเฉพาะก่อนนอน

  • ช่วยแปรงฟันให้เด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่เหมาะสมกับอายุ

  • อย่าขู่เด็กด้วยหมอฟัน เพราะจะทำให้เด็กกลัวการรักษาไปตลอดชีวิต

ทันตกรรมเด็กทำดีกว่ารอให้ฟันผุ: ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่คือความจริง

สุขภาพช่องปากที่ดีในวัยเด็ก คือรากฐานของสุขภาพฟันที่ดีในวัยผู้ใหญ่ การดูแลแต่เนิ่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นการวางแผนระยะยาวให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“ทันตกรรมเด็กทำดีกว่าการรอให้ฟันผุแล้วค่อยรักษา” คือแนวคิดที่คลินิกทันตกรรมยุคใหม่ยึดถือ และเป็นหัวใจสำคัญของบริการที่มุ่งเน้นการป้องกัน มากกว่ารักษาเมื่อเกิดปัญหาแล้ว

สรุป

การพาเด็กไปพบทันตแพทย์เด็กเป็นประจำ ไม่เพียงป้องกันฟันผุ แต่ยังช่วยเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีตั้งแต่เล็ก ทำให้เด็กเติบโตมาพร้อมรอยยิ้มที่มั่นใจ ไม่ต้องกลัวหมอฟัน และหลีกเลี่ยงการรักษาที่ซับซ้อนในอนาคต

หากคุณเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาคลินิกทันตกรรมสำหรับลูก คลินิกของเราพร้อมให้บริการทันตกรรมเด็กแบบครบวงจร ด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บรรยากาศเป็นมิตร และเทคโนโลยีที่ปลอดภัยต่อลูกน้อยของคุณ

✅ นัดหมายล่วงหน้าได้ง่าย ๆ ผ่าน Line หรือโทรศัพท์
🦷 โปรโมชั่นพิเศษสำหรับการตรวจสุขภาพฟันครั้งแรก
💙 เพราะสุขภาพฟันของลูก เริ่มต้นได้ที่วันนี้

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ "ฟันน้ำนม"

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ “ฟันน้ำนม”

แม้ว่า “ฟันน้ำนม” จะเป็นฟันชุดแรกที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นมาในช่วงวัยเด็ก และสุดท้ายก็จะหลุดไปตามธรรมชาติเมื่อโตขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า ฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ทั้งในด้านสุขภาพช่องปาก พัฒนาการของใบหน้า การพูด การกิน และการเรียงตัวของฟันแท้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม มี “ความเชื่อผิดๆ” เกี่ยวกับฟันน้ำนมที่ยังแพร่หลายในหมู่ผู้ปกครองจำนวนมาก ซึ่งหากยังเข้าใจผิดอยู่ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากของลูกโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับฟันน้ำนม พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมเด็ก เพื่อให้คุณดูแลฟันของลูกได้อย่างถูกต้องตั้งแต่วันนี้

สารบัญบทความ

1. ฟันน้ำนมหลุดอยู่แล้ว ไม่ต้องดูแลก็ได้

ความเชื่อผิดอันดับ 1 ที่พบมากที่สุดในกลุ่มพ่อแม่

ความเข้าใจแบบนี้อาจทำให้ผู้ปกครองละเลยการดูแลฟันของลูกเล็ก โดยคิดว่าฟันจะหลุดไปเองตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง หากฟันน้ำนมเกิดการผุอย่างรุนแรง อาจต้องถอนก่อนเวลาอันควร ซึ่งส่งผลต่อ…

  • การบดเคี้ยวอาหาร

  • การพัฒนาโครงหน้าและขากรรไกร

  • การพูดออกเสียง

  • การเรียงตัวของฟันแท้

หากฟันน้ำนมหายไปก่อนเวลาอันควร ฟันข้างเคียงจะล้มเอียง ทำให้พื้นที่สำหรับฟันแท้หดลง กลายเป็น ฟันซ้อนเก ได้ในอนาคต

2. ฟันน้ำนมผุ ไม่ต้องอุดก็ได้ เดี๋ยวก็หลุด

แม้ฟันน้ำนมจะไม่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีฟันผุแล้วปล่อยทิ้งไว้ จะส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เช่น

  • อาการปวดฟันจนกินข้าวไม่ได้

  • การติดเชื้อที่ลามไปถึงรากฟันหรือเหงือก

  • ฟันแท้ที่อยู่ใต้เหงือกอาจได้รับผลกระทบจากเชื้อโรค

  • เด็กบางคนเกิด ฟันแท้ผิดปกติ เพราะติดเชื้อจากฟันน้ำนม

ดังนั้นทันตแพทย์เด็กจึงแนะนำให้ อุดฟันหรือรักษาตามอาการ แม้จะเป็นฟันน้ำนมก็ตาม

3. เด็กไม่จำเป็นต้องไปหาหมอฟันจนกว่าจะมีฟันแท้

แนวคิดนี้อันตรายมาก เพราะจริงๆ แล้ว เด็กควรไปพบทันตแพทย์ทันทีเมื่อฟันซี่แรกขึ้น (ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี)

การเริ่มพบหมอฟันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยในเรื่อง…

  • การตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้น

  • การให้คำแนะนำเรื่องการแปรงฟันและโภชนาการ

  • การสร้างความคุ้นเคยกับบรรยากาศในคลินิก

หากลูกคุ้นชินตั้งแต่เด็ก จะลดโอกาสการเกิด Dental Phobia ในอนาคต

4. ฟันน้ำนมไม่มีผลกับฟันแท้ในอนาคต

ฟันน้ำนมมีหน้าที่เป็น “ไกด์ไลน์” หรือแนวทางให้ฟันแท้ขึ้นในตำแหน่งที่ถูกต้อง หากฟันน้ำนมสูญเสียก่อนเวลา หรือมีปัญหาเยอะ จะทำให้ฟันแท้:

  • ขึ้นผิดตำแหน่ง

  • ซ้อนเก

  • เบียดแน่น

  • เกิดปัญหาการสบฟัน (Malocclusion)

ซึ่งส่งผลต่อการสบฟัน พูด การเคี้ยว และความมั่นใจในรอยยิ้มของลูกเมื่อโต

5. การแปรงฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกยังไม่จำเป็น

ความจริงคือ ควรแปรงตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น! เพราะแบคทีเรียสามารถสะสมได้แม้จะมีฟันเพียง 1 ซี่ โดยควรใช้แปรงขนอ่อนและยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในปริมาณเท่า “เม็ดข้าวสาร”

เมื่อเด็กโตขึ้น ค่อยๆ ฝึกให้เขาแปรงเอง (แต่ยังต้องมีผู้ปกครองช่วยตรวจซ้ำจนถึงอายุประมาณ 7–8 ปี)

เคล็ดลับการดูแลฟันน้ำนมให้แข็งแรงตั้งแต่เริ่มต้น

  1. แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์

  2. พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน ตั้งแต่ฟันซี่แรก

  3. หลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำหวานก่อนนอน

  4. ไม่ให้ลูกดูดขวดนมค้างปากขณะหลับ

  5. เสริมฟลูออไรด์เฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยงฟันผุ

หากทำตามนี้ได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก จะช่วยลดโอกาสเกิดฟันผุ ฟันหาย ฟันเก ในอนาคต

บทสรุป: ฟันน้ำนมมีค่ามากกว่าที่คิด

ฟันน้ำนมไม่ใช่แค่ฟันชั่วคราว แต่เป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทั้งปาก ใบหน้า และสุขภาพโดยรวมของเด็ก หากเข้าใจผิดและละเลย อาจสร้างปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวที่แก้ไขได้ยากเมื่อโตขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

One Day Crown ครอบฟันวันเดียว

One Day Crown ครอบฟันวันเดียว ทางเลือกใหม่ของคนยุคเร่งรีบ

หากคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องฟันที่หัก แตก หรือเสื่อมสภาพ แต่ไม่มีเวลาว่างหลายวันเพื่อมาพบทันตแพทย์หลายครั้ง การทำ “ครอบฟันวันเดียว” หรือที่เรียกกันว่า One Day Crown คือคำตอบที่คุณตามหา

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยี One Day Crown อย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานของการครอบฟัน ไปจนถึงข้อดี-ข้อเสีย และเหตุผลที่ทำไมผู้คนในยุคใหม่หันมาเลือกวิธีนี้กันมากขึ้น

สารบัญเนื้อหา

  1. ครอบฟันคืออะไร?

  2. One Day Crown คืออะไร? แตกต่างจากครอบฟันแบบดั้งเดิมอย่างไร

  3. ขั้นตอนการทำ One Day Crown ครอบฟันวันเดียว

  4. ข้อดีของ One Day Crown ที่คุณอาจยังไม่รู้

  5. ใครบ้างที่เหมาะกับการทำครอบฟันวันเดียว

  6. ค่าใช้จ่ายในการทำ One Day Crown

  7. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ One Day Crown

  8. บทสรุป: ครอบฟันวันเดียว เหมาะกับคุณหรือไม่?

ครอบฟันคืออะไร?

การ ครอบฟัน (Dental Crown) คือวิธีการบูรณะฟันที่เสียหาย หรือไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ โดยการใส่ “ครอบ” ที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น พอร์ซเลน เซรามิก หรือโลหะ ลงบนฟันซี่ที่เสียหาย เพื่อคืนรูปร่าง ความแข็งแรง และความสวยงามให้แก่ฟัน

โดยปกติแล้ว การทำครอบฟันแบบดั้งเดิมจะใช้เวลาหลายวัน เนื่องจากต้องพิมพ์ฟัน ส่งชิ้นงานไปที่แลป แล้วจึงกลับมาติดตั้งอีกครั้ง

One Day Crown คืออะไร?

One Day Crown หรือ ครอบฟันวันเดียว คือการใช้เทคโนโลยี CAD/CAM (Computer-Aided Design / Computer-Aided Manufacturing) เพื่อออกแบบและผลิตครอบฟัน ทันทีในวันเดียว โดยไม่ต้องพิมพ์ฟันแบบดั้งเดิม

ระบบนี้สามารถ:

  • สแกนฟันแบบดิจิทัล

  • ออกแบบครอบฟันผ่านซอฟต์แวร์

  • ผลิตครอบฟันจากวัสดุเซรามิกแข็งแรงในคลินิกทันที

ความแตกต่างที่ชัดเจน

รายการ ครอบฟันแบบดั้งเดิม One Day Crown
จำนวนครั้งในการมาคลินิก 2-3 ครั้ง 1 ครั้ง
การพิมพ์ฟัน พิมพ์ด้วยวัสดุจริง สแกนดิจิทัล
เวลาในการรอชิ้นงาน หลายวัน ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ความแม่นยำ ขึ้นอยู่กับแลป แม่นยำระดับดิจิทัล

ขั้นตอนการทำ One Day Crown

  1. ตรวจสภาพฟันและประเมินการรักษา

    • ทันตแพทย์จะดูว่าคุณเหมาะสมกับการครอบฟันหรือไม่

  2. สแกนฟันด้วยกล้อง 3 มิติ

    • ไม่ต้องพิมพ์ฟันอีกต่อไป ใช้กล้องอินทราออรัล (Intraoral Scanner)

  3. ออกแบบครอบฟันด้วยซอฟต์แวร์

    • ทันตแพทย์สามารถปรับแต่งรูปทรง สี และการสบฟันให้เหมาะสมกับฟันของคุณ

  4. ผลิตครอบฟันทันที

    • เครื่อง Milling Machine จะสร้างครอบฟันจากบล็อกเซรามิกภายใน 1-2 ชั่วโมง

  5. ติดตั้งครอบฟัน

    • หลังจากตรวจสอบความพอดี ครอบฟันจะถูกติดตั้งด้วยซีเมนต์ทางทันตกรรม

ข้อดีของ One Day Crown

  • ประหยัดเวลา – เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด

  • ไม่ต้องใส่ครอบฟันชั่วคราว – ลดความเสี่ยงต่อการหลุดหรือระคายเคือง

  • แม่นยำสูง – เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้ได้ชิ้นงานที่พอดีมากกว่า

  • วัสดุคุณภาพสูง – ส่วนใหญ่ใช้เซรามิกที่ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ

  • ลดการผิดพลาดจากแลป – ทุกขั้นตอนทำในคลินิก ไม่ต้องส่งออก

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำครอบฟันวันเดียว

  • ผู้ที่ฟันแตก หัก หรือบิ่นแต่โคนฟันยังแข็งแรง

  • ผู้ที่เคยรักษารากฟันแล้ว และต้องครอบฟันเพื่อป้องกันการแตก

  • ผู้ที่เคยอุดฟันขนาดใหญ่และต้องการเสริมความแข็งแรง

  • ผู้ที่มีเวลาจำกัด ไม่สะดวกมาหลายครั้ง

❗ หมายเหตุ: บางกรณี เช่น รักษารากฟันแล้วยังมีการอักเสบ อาจยังไม่เหมาะกับ One Day Crown ต้องให้ทันตแพทย์ประเมินก่อน

ค่าใช้จ่ายในการทำ One Day Crown

โดยทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 18,000 – 30,000 บาท/ซี่ ขึ้นอยู่กับวัสดุที่เลือกและคลินิกที่ให้บริการ

ราคานี้มักจะรวม:

  • ค่าตรวจประเมิน

  • ค่าครอบฟันวัสดุเซรามิก

  • ค่าติดตั้งและดูแลหลังการรักษา

🦷 บางคลินิกอาจมีโปรโมชั่นหรือผ่อนชำระรายเดือนด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ One Day Crown

Q: ครอบฟันวันเดียวทนไหม?

A: ทนมาก วัสดุเซรามิกที่ใช้มีความแข็งแรงพอๆ กับฟันธรรมชาติ และสามารถอยู่ได้นานกว่า 10 ปีหากดูแลดี

Q: ต้องใช้ยาชาหรือไม่?

A: ส่วนใหญ่ใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อความสบายขณะเตรียมฟัน

Q: ต้องหยุดงานไหม?

A: ไม่จำเป็น คนส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ทันทีหลังทำ

Q: มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

A: เช่นเดียวกับการทำครอบฟันทั่วไป อาจมีอาการเสียวฟันหรือระคายเคืองช่วงแรก แต่หายได้ภายในไม่กี่วัน

บทสรุป: ครอบฟันวันเดียว เหมาะกับคุณหรือไม่?

One Day Crown หรือครอบฟันวันเดียว เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว แต่ยังคงมาตรฐานด้านความแม่นยำและความสวยงามของฟัน

หากคุณต้องการฟื้นฟูฟันให้ใช้งานได้เหมือนใหม่ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง การเลือกใช้ One Day Crown อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว

สนใจทำ One Day Crown?

📞 ติดต่อเราเพื่อจองคิวกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
📍 มีบริการสแกน 3 มิติ พร้อมเครื่องผลิตในคลินิก
🕒 เสร็จภายในวันเดียว พร้อมใช้งานได้ทันที!

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ

ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ

คลายทุกข้อสงสัย พร้อมคำตอบจากทันตแพทย์ตัวจริง

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ทันตแพทย์มักจะได้ยินจากคนไข้คือ
หมอคะ ขูดหินปูนบ่อย ๆ จะทำให้ฟันบางจริงไหม?
คำถามนี้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สะท้อนถึงความกังวลลึก ๆ ของหลายคนที่อยากดูแลช่องปาก แต่ก็กลัวฟันเสียหายเพราะการรักษา

บทความนี้จะพาคุณไขข้อสงสัยเรื่องการขูดหินปูนในทุกแง่มุม ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ พฤติกรรมคนไข้ รวมถึงข้อเท็จจริงที่เข้าใจผิดกันมานาน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า… การขูดหินปูนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และอาจเป็นทางรอดของฟันมากกว่าที่คุณรู้

Table of Content

หินปูนคืออะไร? มาจากไหน?

หินปูน (Tartar หรือ Calculus) คือ คราบจุลินทรีย์ (Plaque) ที่สะสมอยู่บนผิวฟันและแข็งตัวจากแร่ธาตุในน้ำลาย หากไม่ได้กำจัดออกโดยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันภายใน 24–48 ชั่วโมง คราบเหล่านี้จะเริ่มแข็งตัวกลายเป็นหินปูนที่ยึดแน่นกับผิวฟัน

ลักษณะของหินปูน:

  • สีขาวขุ่นหรือเหลือง

  • เกาะตามแนวเหงือก

  • มักเกิดในบริเวณฟันหน้าล่างด้านใน และฟันกรามด้านนอก

ทำไมต้องขูดหินปูน? ไม่ขูดได้ไหม?

หินปูนไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสกปรก แต่เป็น “ที่พักของแบคทีเรีย” ที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น:

  • เหงือกอักเสบ

  • กลิ่นปาก

  • ฟันโยก

  • โรคปริทันต์ที่ทำให้กระดูกขากรรไกรละลาย

การแปรงฟันธรรมดาไม่สามารถกำจัดหินปูนได้ ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะจากทันตแพทย์เท่านั้น

ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ?

คำตอบสั้น ๆ: ไม่จริง
แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ:

การขูดหินปูน “ไม่ทำให้ฟันบาง” หากทำโดยทันตแพทย์ที่ใช้เทคนิคและเครื่องมืออย่างเหมาะสม

สาเหตุที่หลายคนเข้าใจว่าฟันบางหลังขูดมาจาก:

  • รู้สึก “ฟันเล็กลง” เพราะหินปูนที่เกาะอยู่หลุดออก

  • เสียวฟันมากขึ้น ทำให้คิดว่าเคลือบฟันถูกขูดไป

  • เหงือกที่เคยบวม เมื่อยุบลงทำให้เห็นรอยต่อระหว่างฟันกับรากชัดขึ้น

ในความเป็นจริง:
เครื่องมือขูดหินปูน เช่น ultrasonic scaler ออกแบบมาเพื่อ “สั่น” ให้หินปูนแตก ไม่ใช่ขูดผิวฟันโดยตรง

อาการเสียวฟันหลังขูดหินปูนเกิดจากอะไร?

อาการเสียวฟันหลังขูดพบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่:

  • มีหินปูนสะสมหนามานาน

  • เหงือกร่นจนเผยให้เห็นรากฟัน

  • เคยมีฟันสึกหรือผุ

สาเหตุหลักมาจาก “บริเวณคอฟันที่เคยถูกหินปูนปิดไว้ ถูกเปิดเผยออกมา” ซึ่งมักหายได้เองภายใน 3–5 วัน

หากอาการยังอยู่ต่อเนื่อง ให้ใช้ยาสีฟันลดเสียวฟันและปรึกษาทันตแพทย์

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขูดหินปูนที่พบบ่อย

ความเชื่อผิด ข้อเท็จจริง
ขูดหินปูนทำให้ฟันบาง จริง ๆ แล้วหินปูนต่างหากที่ทำให้ฟันเสียหาย
ฟันโยกเพราะขูดหินปูน ฟันโยกเพราะหินปูนทำลายกระดูกไปแล้วต่างหาก
ขูดบ่อยฟันจะสึก ถ้าทำโดยมืออาชีพ ไม่มีทางสึกแน่นอน
ขูดหินปูนแล้วฟันห่าง ฟันดูห่างขึ้นเพราะเหงือกที่บวมยุบลง ไม่ใช่ฟันเคลื่อน

เทคโนโลยีใหม่ในการขูดหินปูน: อ่อนโยนแต่ได้ผล

  • Ultrasonic Scaler: ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสั่นหินปูนให้แตก

  • Air Polishing: พ่นผงละเอียดทำความสะอาดผิวฟันอย่างอ่อนโยน

  • Laser Scaling: ใช้แสงเลเซอร์กำจัดแบคทีเรียและหินปูนระดับลึก

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดอาการเสียว ลดเวลา และเพิ่มความสบายขณะทำ

ดูแลตัวเองอย่างไรหลังขูดหินปูน

  • หลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเผ็ดร้อน 1–2 วัน

  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ชั่วคราว

  • ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน ลดการอักเสบ

  • หากเสียวฟัน ใช้ยาสีฟันเฉพาะทาง

  • กลับมาขูดซ้ำตามคำแนะนำของทันตแพทย์

ขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

โดยทั่วไป ควรขูดหินปูนทุก 6 เดือน
แต่หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ฟันเรียงแน่น เหงือกอ่อนแอ อาจต้องขูดทุก 3–4 เดือน

แนะนำบริการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง

ที่ [ชื่อคลินิกของคุณ] เราให้บริการขูดหินปูนโดยใช้เทคโนโลยี Ultrasonic Scaling และ Air Polishing พร้อมการดูแลโดยทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านปริทันต์

จุดเด่นของเรา:

  • เครื่องมือสะอาด ปลอดเชื้อทุกเคส

  • บริการนัดติดตามผลหลังการขูด

  • แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลเฉพาะบุคคล

  • ให้คำปรึกษาทุกกรณีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

สรุป: ฟันบางไม่ใช่เพราะขูดหินปูน แต่เพราะคุณมาช้าเกินไป

หินปูนเป็นภัยเงียบของช่องปาก การปล่อยให้สะสมมากเกินไปต่างหากคือสาเหตุที่ทำให้ ฟันโยก เหงือกถดถอย และกระดูกละลาย จนสุดท้ายคุณอาจต้องสูญเสียฟันโดยไม่จำเป็น

การขูดหินปูนจึงไม่ใช่สิ่งที่ “ควรกลัว”
แต่คือสิ่งที่ “ควรทำ” ก่อนที่จะสายเกินไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง

ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง

การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่ต้องการความต่อเนื่อง เหมือนกับการดูแลสุขภาพกาย หากเราเปลี่ยนแพทย์ประจำบ่อยเกินไป ย่อมส่งผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาให้ตรงจุด ซึ่งในโลกของทันตกรรมเอง หลายคนอาจคิดว่า “แค่ขูดหินปูน หรืออุดฟัน จะไปคลินิกไหนก็เหมือนกัน” แต่ความจริงแล้ว การย้ายคลินิกทำฟันบ่อย ๆ อาจสร้างผลกระทบที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน

บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่า “ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง” จากมุมมองของทันตแพทย์ผู้มีประสบการณ์ พร้อมแนะนำแนวทางเลือกคลินิกที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และบริการที่ช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์กับทีมหมอฟันได้อย่างยั่งยืน

Table of Content

ทำไมหลายคนถึงย้ายคลินิกทำฟันบ่อย?

ก่อนจะไปดูผลกระทบ เรามาเข้าใจก่อนว่า “ทำไมคนจำนวนมากถึงเปลี่ยนคลินิกทันตกรรมบ่อย ๆ” ซึ่งเหตุผลที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ย้ายที่อยู่/ที่ทำงาน

  • โปรโมชั่นที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา

  • ไม่พอใจกับการบริการหรือผลลัพธ์

  • รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องรักษากับหมอคนเดิม

  • อยากลองเทคโนโลยีใหม่ที่คลินิกอื่นมี

แม้จะดูเหมือนเหตุผลที่ฟังขึ้นในแต่ละกรณี แต่หากมองจากมุมการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่อง มันกลับสะสมความเสี่ยงบางอย่างโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว

ผลกระทบจากการย้ายคลินิกทำฟันบ่อย

1. ประวัติการรักษาขาดตอน

การเปลี่ยนคลินิกบ่อยทำให้ทันตแพทย์ที่ดูแลคุณไม่มีข้อมูลเพียงพอในการวางแผนการรักษาระยะยาว เช่น:

  • เคยรักษารากฟันที่ซี่ไหนบ้าง

  • เคยแพ้วัสดุอะไร

  • มีฟันที่รื้อการอุดไว้หรือไม่

  • เคยถ่าย X-ray ล่าสุดเมื่อไหร่

ประวัติที่ขาดหายอาจนำไปสู่การ “วินิจฉัยซ้ำซ้อน” หรือ “รักษาซ้ำโดยไม่จำเป็น”

2. ความไม่ต่อเนื่องของแผนการรักษา

บางคนเริ่มต้นจัดฟันกับคลินิกหนึ่ง แต่อยู่ไม่ครบตามแผน
หรือเพิ่งทำครอบฟันไป แต่เปลี่ยนคลินิกก่อน Follow-up
ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่คงทน หรือเกิดปัญหาฟันผุซ้ำซ้อนที่รากเดิมได้

3. เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม

  • ต้องตรวจใหม่ทุกครั้ง

  • ถ่ายฟิล์ม X-ray ซ้ำ

  • เสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นโดยไม่จำเป็น

  • เสียเวลาทำความเข้าใจกับหมอคนใหม่ทุกครั้ง

ผลกระทบในกรณีของการรักษาที่ต่อเนื่อง

การรักษาบางประเภทไม่สามารถทำให้จบได้ภายในครั้งเดียว เช่น

  • จัดฟัน: ต้องมีหมอประจำเพื่อปรับแรงอย่างเหมาะสม

  • รักษารากฟัน: บางเคสใช้เวลา 2–3 ครั้ง

  • รากฟันเทียม: ต้องติดตามดูการเชื่อมกระดูกหลายเดือน

  • โรคเหงือก: ต้องดูแลต่อเนื่องเป็นปี

หากเปลี่ยนหมอระหว่างทาง อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจในประวัติเดิม และเกิดความคลาดเคลื่อนในการประเมินผล

ความสำคัญของการมีประวัติการรักษาชัดเจน

ในโลกการแพทย์ปัจจุบัน “ประวัติการรักษา” คือหัวใจของการวินิจฉัยที่แม่นยำ โดยเฉพาะในช่องปากที่ซับซ้อน เช่น:

  • ซี่ไหนอุดแล้วบ้าง

  • ฟันซี่ไหนเคยผุ/แตก/รักษา

  • เหงือกเคยถดถอยระดับใด

  • เคยแพ้วัสดุประเภทไหน

หากเปลี่ยนคลินิกบ่อย แพทย์ใหม่อาจต้องใช้เวลาในการประเมินใหม่ทั้งหมด หรือบางครั้งก็อาจประเมินผิด

เมื่อไรที่ควรย้ายคลินิก และเมื่อไรที่ควรอยู่ต่อ

ควรย้าย เมื่อ:

  • การบริการไม่มีคุณภาพ / ไม่มีความโปร่งใส

  • หมอไม่อธิบายแนวทางการรักษา

  • ไม่มีการติดตามผล หรือไม่มีระบบจดประวัติ

  • อยู่ห่างไกลจากที่อยู่อาศัยใหม่มากเกินไป

ควรอยู่ต่อ เมื่อ:

  • หมอให้คำอธิบายครบถ้วน

  • มีระบบการบันทึกประวัติชัดเจน

  • มีความเข้าใจในสุขภาพช่องปากของคุณ

  • คุณสามารถพูดคุยและวางใจได้

เลือกคลินิกทำฟันอย่างไรให้มั่นใจได้ในระยะยาว

  1. มีระบบบันทึกประวัติทันตกรรมดิจิทัล

  2. มีหมอประจำที่สามารถติดตามอาการคุณได้ต่อเนื่อง

  3. ใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน เช่น X-ray digital / intraoral camera

  4. มีรีวิวหรือคำแนะนำจากผู้ใช้บริการจริง

  5. อยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เดินทางสะดวก

  6. สามารถเข้าถึงข้อมูลค่ารักษาอย่างโปร่งใส

บริการทันตกรรมที่แนะนำสำหรับการติดตามผลระยะยาว

  • ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน

  • ขูดหินปูนและตรวจเหงือก

  • ติดตามผลฟันที่มีการอุด ครอบ หรือรากฟัน

  • บริการจัดเก็บฟิล์ม X-ray และภาพช่องปาก

  • โปรแกรมสุขภาพฟันรายปี (Dental Check-up Package)

สรุป: ความต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญของรอยยิ้มที่มั่นใจ

การเปลี่ยนคลินิกทำฟันบ่อยอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ในมุมมองของผู้บริโภค แต่ในมุมของทันตแพทย์แล้ว มันคือการเริ่มต้นใหม่ซ้ำซาก ที่อาจทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาลดลงโดยไม่รู้ตัว หากคุณต้องการมีสุขภาพฟันที่แข็งแรงยั่งยืน การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคลินิกที่ไว้ใจได้ คือคำตอบที่ดีกว่าการ “เปลี่ยนไปเรื่อย”

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก

เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก

“พาลูกไปทำฟันครั้งแรก ควรเริ่มเมื่อไหร่?”
“ลูกจะร้องไหม?”
“กลัวลูกจะฝังใจจนไม่อยากไปอีกเลย”

คำถามเหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่แทบทุกคนต้องเผชิญเมื่อพูดถึง การพาลูกไปทำฟันครั้งแรก เพราะไม่ใช่แค่การเปิดประตูคลินิก แต่คือการสร้างความประทับใจแรกเกี่ยวกับ “หมอฟัน” ให้เด็กเรียนรู้ว่า การดูแลสุขภาพช่องปากคือเรื่องดีงาม ไม่ใช่ความน่ากลัว

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก” อย่างละเอียด ทั้งในแง่วิชาการ พฤติกรรมเด็ก เทคนิคจากทันตแพทย์เด็ก ไปจนถึงการเตรียมตัวแบบ Step-by-step พร้อมแนะแนวบริการที่ช่วยให้ทั้งพ่อแม่และลูกผ่านวันสำคัญนี้ไปด้วยรอยยิ้ม

Table of Content

ทำไมการพาเด็กไปทำฟันตั้งแต่เล็กจึงสำคัญ

  • ป้องกันฟันผุตั้งแต่เนิ่น ๆ

  • ปลูกฝังพฤติกรรมการดูแลช่องปาก

  • เด็กจะชินกับบรรยากาศและเครื่องมือ

  • ช่วยลดโอกาสเกิด Dental Phobia เมื่อโต

การพาไป “ก่อนมีปัญหา” จะทำให้เด็กรู้จักหมอฟันในมุมที่เป็นมิตร ไม่ใช่ในช่วงที่เจ็บหรือมีฟันผุแล้วต้องรักษา

พาลูกไปทำฟันครั้งแรกเมื่อไหร่ดี?

ทันตแพทย์เด็กแนะนำ ให้พาเด็กมาตรวจฟันครั้งแรก เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือ หลังฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น ไม่ควรรอจนฟันผุ เพราะ…

  • ฟันผุในฟันน้ำนมลุกลามเร็ว

  • ฟันน้ำนมมีผลต่อฟันแท้ การพูด การเคี้ยว

  • เด็กเล็กเข้าใจและปรับตัวได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนพาลูกไปพบหมอฟันครั้งแรก

  1. เล่าเรื่องคลินิกให้เป็นบวก
    แทนที่จะพูดว่า “จะไปหาหมอ” ให้พูดว่า “วันนี้เราจะไปเช็ครอยยิ้มกันนะ” หรือ “จะไปให้หมอฟันดูฟันสวย ๆ”

  2. เล่นบทบาทสมมุติที่บ้าน
    ใช้ตุ๊กตาหมีเป็นคนไข้ ใช้แปรงฟันจำลองบทบาทหมอฟัน

  3. เลือกเวลาที่ลูกอารมณ์ดีที่สุดในวันนั้น
    หลีกเลี่ยงช่วงหิวง่วงหงุดหงิด

  4. อ่านนิทานเกี่ยวกับการไปหาหมอฟัน
    เช่น “กระต่ายน้อยไปหาหมอฟัน” หรือ “ดินสอกับฟันผุ”

  5. ให้ลูกพกของเล่นโปรดติดตัวไปด้วย
    เพื่อสร้างความอุ่นใจระหว่างรอหรือระหว่างตรวจ

สิ่งที่ควรทำระหว่างอยู่ที่คลินิก

  • พูดให้กำลังใจลูก เช่น “แม่อยู่ตรงนี้นะ”

  • อย่าข่มขู่ เช่น “ไม่ทำดีๆ เดี๋ยวหมอฉีดยา”

  • ให้หมอและผู้ช่วยเป็นผู้นำการพูดคุยกับเด็ก

  • อย่าแทรกหรือรีบตอบแทนลูกเมื่อหมอถาม

  • หากลูกกลัว ให้จับมือหรือกอดเบา ๆ

จำไว้ว่า: เด็กมักมองหน้าผู้ใหญ่เป็น “ตัวแบบ” ของอารมณ์

การจัดการหากลูกกลัว ร้องไห้ หรือไม่ให้ความร่วมมือ

  • อย่าดุหรือรีบบังคับ

  • อธิบายสั้น ๆ ชัดเจน เช่น “คุณหมอจะดูฟันแป๊บเดียวนะ ไม่เจ็บเลย”

  • ถ้าลูกร้องหนัก ให้พักก่อน แล้วนัดครั้งหน้าใหม่

  • ให้รางวัลเล็กน้อยหลังทำเสร็จ เช่น สติ๊กเกอร์ รอยยิ้ม หรือคำชม

ควรเลือกคลินิกทันตกรรมเด็กแบบไหนถึงจะเหมาะ

  • มี ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านเด็ก (Pedodontist)

  • บรรยากาศเป็นมิตร มีของเล่น ห้องสีสันสดใส

  • ใช้เทคนิค Tell-Show-Do กับเด็ก

  • มีระบบนัดหมายที่ไม่ต้องรอนาน

  • มีรีวิวจากพ่อแม่คนอื่น ๆ

บริการทันตกรรมเด็กที่แนะนำในการทำฟันครั้งแรก

  • ตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้น

  • เคลือบฟลูออไรด์ ป้องกันฟันผุ

  • เคลือบหลุมร่องฟัน กรณีมีฟันกรามขึ้นแล้ว

  • วางแผนดูแลฟันน้ำนม – ฟันแท้ในอนาคต

  • ให้คำปรึกษาพฤติกรรมการแปรงฟัน อาหาร ขนม

คำแนะนำจากทันตแพทย์เด็ก: อย่ารอให้ปวดจึงพามา

“เด็กที่มาทำฟันครั้งแรกตอนปวด มักฝังใจและไม่อยากกลับมาอีก แต่ถ้ามาตรวจเช็กตั้งแต่ยังไม่มีอาการ เด็กจะมีประสบการณ์เชิงบวก และรู้สึกว่าหมอฟันเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนที่ทำให้เจ็บ”
– ทพญ.ณัฐธิดา วัฒนาทันต์ (ทันตแพทย์เด็ก)

สรุป: ทำฟันครั้งแรก = จุดเริ่มต้นของรอยยิ้มตลอดชีวิต

การพาลูกไปหาหมอฟันครั้งแรก คือ โอกาสทองของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับสุขภาพช่องปาก เพราะความกลัวหรือความประทับใจที่เกิดขึ้นในวัยเด็กจะติดตัวไปถึงวัยผู้ใหญ่

อย่ารอให้ลูกปวดฟันแล้วค่อยพามา เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไป และเลือกคลินิกที่เข้าใจเด็กโดยแท้จริง แล้วคุณจะพบว่าการพาลูกไปทำฟัน… ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดเลย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

สุขภาพช่องปากไม่ใช่เรื่องของฟันขาวเพียงอย่างเดียว แต่คือกระจกสะท้อนสุขภาพกายและใจที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงวัยอย่างมีนัยสำคัญ บ่อยครั้งที่เราพบปัญหาทางทันตกรรมเพราะละเลย หรือเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงวัยต้องดูแล” แต่ความจริงคือ ทุกช่วงวัยล้วนมีลักษณะของฟันและเหงือกที่ต้องดูแลต่างกัน

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง” อย่างละเอียด พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันปัญหาก่อนลุกลาม รวมถึงแนวทางการเลือกผลิตภัณฑ์และบริการทันตกรรมให้เหมาะกับช่วงอายุ

Table of Content

ฟันเปลี่ยนไปตามวัยอย่างไร?

ฟันของคนเราจะเปลี่ยนไปทั้งในแง่ของรูปร่าง การเรียงตัว ความแข็งแรง และสุขภาพเหงือก ตามวัยที่เติบโตขึ้น เช่น

  • เด็ก: ฟันน้ำนม มีแนวโน้มฟันผุเร็ว

  • วัยรุ่น: ฟันแท้ครบ แต่เริ่มใช้ชีวิตอิสระมากขึ้น

  • วัยทำงาน: ความเครียดสะสม พฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม

  • วัยสูงอายุ: ฟันโยก ฟันหาย เหงือกร่น และกระดูกละลาย

การดูแลฟันจึงไม่สามารถใช้สูตรเดียวกันได้กับทุกช่วงอายุ

วัยเด็ก (0–12 ปี): ปลูกฝังพฤติกรรมดูแลฟันตั้งแต่ต้น

สิ่งที่ควรใส่ใจ:

  • ฟันน้ำนมผุง่ายกว่าฟันแท้

  • เด็กไม่สามารถแปรงฟันได้สะอาดเอง

  • การกลืนยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์มากเกินไปอาจทำให้เกิดฟันตกกระ

คำแนะนำ:

  • ใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณเหมาะสม

  • แปรงฟันให้เด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

  • งดขวดนมก่อนนอนหรือให้นมตอนนอน

  • ตรวจฟันตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป

บริการที่ควรได้รับ:

  • เคลือบหลุมร่องฟัน

  • เคลือบฟลูออไรด์

  • ตรวจวางแนวการขึ้นของฟันแท้

  • การจัดฟันในเด็กหากจำเป็น

วัยรุ่น (13–19 ปี): ฟันแท้ครบ พฤติกรรมเสี่ยงเริ่มมา

ปัญหาพบบ่อย:

  • ฟันผุจากการบริโภคน้ำอัดลม ชาไข่มุก

  • แปรงฟันไม่สะอาด

  • ฟันซ้อนเก หรือฟันคุดเริ่มขึ้น

  • กลิ่นปากจากสุขอนามัยไม่ดี

คำแนะนำ:

  • ใช้ไหมขัดฟันหรือเครื่องฉีดน้ำ

  • หลีกเลี่ยงการจิบน้ำหวานทั้งวัน

  • พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

  • พิจารณาจัดฟันหากมีปัญหาเรียงตัว

บริการแนะนำ:

  • ตรวจฟัน + ขูดหินปูน

  • X-ray ฟันคุด

  • ปรึกษาการจัดฟัน

  • เคลือบฟันป้องกันฟันผุ

วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20–35 ปี): ฟันดูดีแต่โรคซ่อนอยู่

ปัญหาที่พบมากขึ้น:

  • ฟันผุระยะลึก (เพราะไม่รู้ตัว)

  • โรคเหงือกระยะแรก

  • ฟันสึกจากกัดฟันตอนนอน

  • ฟันเหลืองจากกาแฟ ชา หรือบุหรี่

แนวทางดูแล:

  • ตรวจสุขภาพช่องปากปีละ 1–2 ครั้ง

  • ขูดหินปูนทุก 6 เดือน

  • ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน

  • หากใช้ฟอกสีฟัน ให้เลือกวิธีที่ปลอดภัย

บริการที่ควรได้รับ:

  • ตรวจสุขภาพเหงือก

  • ฟอกสีฟันแบบมืออาชีพ

  • Night guard สำหรับคนที่นอนกัดฟัน

  • ตรวจเช็คแนวเหงือกร่น ฟันโยกเบื้องต้น

วัยทำงาน (36–50 ปี): ระวังเหงือกอักเสบ ฟันสึก ฟันโยก

สิ่งที่เริ่มเปลี่ยน:

  • เหงือกเริ่มร่น ฟันอาจยาวขึ้น

  • ฟันอาจโยกหากมีโรคปริทันต์

  • ปริมาณน้ำลายในปากอาจลดลงจากความเครียด

คำแนะนำ:

  • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม

  • หลีกเลี่ยงการใช้แรงขณะแปรงฟัน

  • ตรวจวัดความลึกของร่องเหงือก

  • ปรึกษาเรื่องการเสริมแร่ผิวฟัน

บริการแนะนำ:

  • ขูดหินปูน + เกลารากฟัน

  • ปรึกษารากฟันเทียมหากฟันเริ่มหลุด

  • เคลือบผิวฟันด้วยวัสดุป้องกัน

  • ตรวจการสบฟันผิดปกติ

วัยสูงอายุ (50 ปีขึ้นไป): ฟันหลุด เหงือกร่น และการฟื้นฟู

ปัญหาสะสม:

  • ฟันหลุด ฟันโยกจากโรคเหงือก

  • ใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี

  • กระดูกขากรรไกรละลาย

  • ความสามารถในการเคี้ยวลดลง

แนวทางดูแล:

  • พบทันตแพทย์เฉพาะทางปริทันต์

  • ใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน

  • ดูแลแผลในปากจากฟันปลอม

  • ปรึกษาทำรากฟันเทียมหรือสะพานฟัน

บริการแนะนำ:

  • รากฟันเทียม

  • ฟันปลอมแบบติดแน่น

  • ตรวจการสบฟันอย่างละเอียด

  • ดูแลช่องปากร่วมกับโรคเบาหวาน/ความดัน

บริการทันตกรรมแนะนำในแต่ละช่วงวัย

ช่วงวัย บริการเด่น
เด็ก เคลือบฟลูออไรด์, เคลือบหลุมร่องฟัน
วัยรุ่น จัดฟัน, ขูดหินปูน, ปรับสุขนิสัย
ผู้ใหญ่ต้น ฟอกสีฟัน, ตรวจโรคเหงือก, Night guard
ทำงาน รักษารากฟัน, รากเทียม, เกลารากฟัน
สูงวัย ฟันปลอม, รากฟันเทียม, ตรวจสุขภาพร่วมโรค

ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะกับแต่ละวัย

  • เด็ก: ยาสีฟันเด็กสูตรอ่อนโยน / แปรงด้ามเล็ก

  • วัยรุ่น: ยาสีฟันลดสิวปาก, น้ำยาบ้วนปากไร้แอลกอฮอล์

  • ผู้ใหญ่: ไหมขัดฟัน / ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สูง

  • ทำงาน: ยาสีฟันลดเสียวฟัน / เจลเสริมแร่ธาตุ

  • สูงวัย: แปรงไฟฟ้า / น้ำยาลดกลิ่นปากในผู้ใส่ฟันปลอม

สรุป: ฟันดีไม่มีวันแก่ ถ้าดูแลให้เหมาะกับช่วงชีวิต

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง” ไม่ใช่คำถามสำหรับแค่คนมีปัญหา แต่คือแนวคิดที่ช่วยป้องกันโรคในอนาคตได้ดีกว่า แค่เริ่มใส่ใจตามช่วงอายุของตนเอง เลือกบริการและผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม คุณจะพบว่าการมีฟันแข็งแรง รอยยิ้มมั่นใจ และช่องปากที่สะอาดสดชื่นนั้น “ไม่จำกัดวัย” เลยแม้แต่น้อย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

การสูญเสียฟันธรรมชาติ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ ฟันผุ หรือโรคปริทันต์ ไม่เพียงส่งผลต่อความสวยงามของรอยยิ้ม แต่ยังมีผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพช่องปาก การเคี้ยวอาหาร และแม้แต่กระดูกขากรรไกร

ในยุคที่เทคโนโลยีทันตกรรมพัฒนาไปมาก การใส่ รากฟันเทียม (Dental Implant) จึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะให้ความรู้สึกเหมือนฟันจริง แข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน

แต่คำถามที่ผู้สนใจอยากรู้มากที่สุดก็คือ…
“รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?”
บทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจโครงสร้างราคาของการทำรากฟันเทียมอย่างเป็นระบบ พร้อมคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและวางแผนค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

Table of Content

รากฟันเทียมคืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยม

รากฟันเทียมคือ อุปกรณ์ไทเทเนียม ที่ฝังลงในกระดูกขากรรไกรแทนรากฟันที่สูญเสียไป จากนั้นจึงครอบด้วยฟันปลอม (Crown) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนฟันธรรมชาติทั้งรูปร่าง สี และการใช้งาน

ข้อดีที่ทำให้รากฟันเทียมเป็นที่นิยม:

  • ไม่ต้องพึ่งฟันซี่ข้างเคียงเหมือนสะพานฟัน

  • เคี้ยวอาหารได้เต็มประสิทธิภาพ

  • ป้องกันการละลายของกระดูกขากรรไกร

  • อายุการใช้งานยาวนาน (10–20 ปี หรือมากกว่านั้น)

  • ความรู้สึกใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด

องค์ประกอบของรากฟันเทียม: ทำไมถึงต้องมีหลายขั้นตอน

การใส่รากฟันเทียมไม่ใช่การรักษาแบบจบในครั้งเดียว แต่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:

  1. รากฟันเทียม (Implant Fixture):
    ส่วนที่ฝังลงในกระดูก

  2. แกนเชื่อม (Abutment):
    ส่วนที่เชื่อมระหว่างรากเทียมกับตัวครอบฟัน

  3. ครอบฟัน (Crown):
    ฟันปลอมที่ยึดบนรากเทียม เป็นส่วนที่มองเห็น

นอกจากนี้ บางคนอาจต้องทำขั้นตอนเสริม เช่น ปลูกกระดูก (Bone Graft) หรือ ยกไซนัส (Sinus Lift) หากกระดูกไม่เพียงพอ

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? (แยกตามรายการ)

รายการ รายละเอียด ราคาโดยประมาณ
ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น X-ray, CT Scan 1,500 – 5,000 บาท
ค่าฝังรากไทเทเนียม รวมค่าวัสดุ + ศัลยกรรม 30,000 – 50,000 บาท
Abutment เชื่อมรากกับครอบฟัน 5,000 – 10,000 บาท
ครอบฟัน (Crown) เซรามิก / Zirconia 10,000 – 20,000 บาท
ค่าปลูกกระดูก (ถ้ามี) Bone graft + membrane 5,000 – 30,000 บาท
ค่ายาและอุปกรณ์เสริม ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ 1,000 – 2,000 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งระบบ (ต่อ 1 ซี่):
เริ่มต้นประมาณ 45,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพปากและเทคโนโลยีที่ใช้

ปัจจัยที่ทำให้ราคาการใส่รากฟันเทียมแตกต่างกัน

  • วัสดุของรากฟัน (ไทเทเนียมธรรมดา vs พรีเมียม)

  • ยี่ห้อที่ใช้ (Straumann, Nobel Biocare, Osstem ฯลฯ)

  • ประสบการณ์ของทันตแพทย์

  • อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น Digital Scan

  • ความซับซ้อนของเคส (มีกระดูกพอไหม, มีการติดเชื้อหรือไม่)

ตัวอย่างแพ็กเกจราคาที่พบบ่อยในคลินิกทันตกรรม

  • แพ็กเกจรากฟันเทียมมาตรฐาน: 55,000–65,000 บาท

  • แพ็กเกจพรีเมียม Zirconia + CT Scan + วางแผนดิจิทัล: 75,000–90,000 บาท

  • แพ็กเกจปลูกกระดูก + รากฟัน + ครอบฟัน: 85,000–120,000 บาท

แนะนำให้สอบถามแพทย์ก่อนเสมอว่า ราคารวมทุกขั้นตอนแล้วหรือไม่ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ทำไมรากฟันเทียมถึงคุ้มค่ามากกว่าฟันปลอมธรรมดา

ประเด็น รากฟันเทียม ฟันปลอม
ความคงทน 10–20 ปีขึ้นไป 3–5 ปี
ความสบาย ใกล้เคียงฟันจริง อาจเคลื่อนหลุด
การใช้งาน เคี้ยวได้เต็มที่ เคี้ยวลำบากบางเมนู
ดูแลกระดูกขากรรไกร ป้องกันการละลาย ไม่ช่วยเรื่องกระดูก
ความสวยงาม แนบสนิท ดูธรรมชาติ บางแบบดูหลอกตา

คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม

  • ตรวจวินิจฉัยด้วย CT Scan

  • ปรึกษาแพทย์ว่ามีกระดูกเพียงพอหรือไม่

  • หยุดสูบบุหรี่ 1 เดือนก่อน-หลังทำ

  • ดูแลสุขภาพเหงือกให้แข็งแรง

  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่มีผลต่อการหายของแผล

เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และไม่เสียเงินฟรี

  • ตรวจสอบว่าใช้ ระบบรากฟันเทียมที่ได้รับการรับรอง

  • มี ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟัน (Implantologist)

  • มีรีวิว หรือผลงานจริงให้ดู

  • มี รับประกัน และติดตามผลหลังทำ

  • ราคาชัดเจน ไม่บวกเพิ่มภายหลัง

สรุป: รากฟันเทียมไม่ใช่แค่ “ของแพง” แต่คือการลงทุนเพื่อสุขภาพ

แม้ราคาของรากฟันเทียมจะสูงกว่าทางเลือกอื่น แต่หากมองในระยะยาว นี่คือ “การลงทุนเพื่อสุขภาพที่คืนความมั่นใจได้อย่างยั่งยืน” เพราะคุณจะได้ทั้งรอยยิ้มที่สมบูรณ์ ความสามารถในการเคี้ยวอาหารอย่างมีคุณภาพ และลดโอกาสเกิดปัญหาในช่องปากซ้ำซ้อน

หากคุณกำลังพิจารณาว่าจะเลือกใส่รากฟันเทียมดีไหม คำถามที่ควรถามคือ “คุณพร้อมลงทุนกับสุขภาพตัวเองแค่ไหน” เพราะรากฟันเทียมคือการฟื้นคืนฟัน…ให้กลับมาดีเหมือนเดิม (หรือดีกว่าเดิม) ได้จริง

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม