ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ

ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ

คลายทุกข้อสงสัย พร้อมคำตอบจากทันตแพทย์ตัวจริง

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ทันตแพทย์มักจะได้ยินจากคนไข้คือ
หมอคะ ขูดหินปูนบ่อย ๆ จะทำให้ฟันบางจริงไหม?
คำถามนี้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สะท้อนถึงความกังวลลึก ๆ ของหลายคนที่อยากดูแลช่องปาก แต่ก็กลัวฟันเสียหายเพราะการรักษา

บทความนี้จะพาคุณไขข้อสงสัยเรื่องการขูดหินปูนในทุกแง่มุม ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ พฤติกรรมคนไข้ รวมถึงข้อเท็จจริงที่เข้าใจผิดกันมานาน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า… การขูดหินปูนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และอาจเป็นทางรอดของฟันมากกว่าที่คุณรู้

Table of Content

หินปูนคืออะไร? มาจากไหน?

หินปูน (Tartar หรือ Calculus) คือ คราบจุลินทรีย์ (Plaque) ที่สะสมอยู่บนผิวฟันและแข็งตัวจากแร่ธาตุในน้ำลาย หากไม่ได้กำจัดออกโดยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันภายใน 24–48 ชั่วโมง คราบเหล่านี้จะเริ่มแข็งตัวกลายเป็นหินปูนที่ยึดแน่นกับผิวฟัน

ลักษณะของหินปูน:

  • สีขาวขุ่นหรือเหลือง

  • เกาะตามแนวเหงือก

  • มักเกิดในบริเวณฟันหน้าล่างด้านใน และฟันกรามด้านนอก

ทำไมต้องขูดหินปูน? ไม่ขูดได้ไหม?

หินปูนไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสกปรก แต่เป็น “ที่พักของแบคทีเรีย” ที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น:

  • เหงือกอักเสบ

  • กลิ่นปาก

  • ฟันโยก

  • โรคปริทันต์ที่ทำให้กระดูกขากรรไกรละลาย

การแปรงฟันธรรมดาไม่สามารถกำจัดหินปูนได้ ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะจากทันตแพทย์เท่านั้น

ขูดหินปูน ทำให้ฟันบางจริงเหรอ?

คำตอบสั้น ๆ: ไม่จริง
แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ:

การขูดหินปูน “ไม่ทำให้ฟันบาง” หากทำโดยทันตแพทย์ที่ใช้เทคนิคและเครื่องมืออย่างเหมาะสม

สาเหตุที่หลายคนเข้าใจว่าฟันบางหลังขูดมาจาก:

  • รู้สึก “ฟันเล็กลง” เพราะหินปูนที่เกาะอยู่หลุดออก

  • เสียวฟันมากขึ้น ทำให้คิดว่าเคลือบฟันถูกขูดไป

  • เหงือกที่เคยบวม เมื่อยุบลงทำให้เห็นรอยต่อระหว่างฟันกับรากชัดขึ้น

ในความเป็นจริง:
เครื่องมือขูดหินปูน เช่น ultrasonic scaler ออกแบบมาเพื่อ “สั่น” ให้หินปูนแตก ไม่ใช่ขูดผิวฟันโดยตรง

อาการเสียวฟันหลังขูดหินปูนเกิดจากอะไร?

อาการเสียวฟันหลังขูดพบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่:

  • มีหินปูนสะสมหนามานาน

  • เหงือกร่นจนเผยให้เห็นรากฟัน

  • เคยมีฟันสึกหรือผุ

สาเหตุหลักมาจาก “บริเวณคอฟันที่เคยถูกหินปูนปิดไว้ ถูกเปิดเผยออกมา” ซึ่งมักหายได้เองภายใน 3–5 วัน

หากอาการยังอยู่ต่อเนื่อง ให้ใช้ยาสีฟันลดเสียวฟันและปรึกษาทันตแพทย์

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขูดหินปูนที่พบบ่อย

ความเชื่อผิด ข้อเท็จจริง
ขูดหินปูนทำให้ฟันบาง จริง ๆ แล้วหินปูนต่างหากที่ทำให้ฟันเสียหาย
ฟันโยกเพราะขูดหินปูน ฟันโยกเพราะหินปูนทำลายกระดูกไปแล้วต่างหาก
ขูดบ่อยฟันจะสึก ถ้าทำโดยมืออาชีพ ไม่มีทางสึกแน่นอน
ขูดหินปูนแล้วฟันห่าง ฟันดูห่างขึ้นเพราะเหงือกที่บวมยุบลง ไม่ใช่ฟันเคลื่อน

เทคโนโลยีใหม่ในการขูดหินปูน: อ่อนโยนแต่ได้ผล

  • Ultrasonic Scaler: ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสั่นหินปูนให้แตก

  • Air Polishing: พ่นผงละเอียดทำความสะอาดผิวฟันอย่างอ่อนโยน

  • Laser Scaling: ใช้แสงเลเซอร์กำจัดแบคทีเรียและหินปูนระดับลึก

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดอาการเสียว ลดเวลา และเพิ่มความสบายขณะทำ

ดูแลตัวเองอย่างไรหลังขูดหินปูน

  • หลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเผ็ดร้อน 1–2 วัน

  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ชั่วคราว

  • ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน ลดการอักเสบ

  • หากเสียวฟัน ใช้ยาสีฟันเฉพาะทาง

  • กลับมาขูดซ้ำตามคำแนะนำของทันตแพทย์

ขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

โดยทั่วไป ควรขูดหินปูนทุก 6 เดือน
แต่หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ฟันเรียงแน่น เหงือกอ่อนแอ อาจต้องขูดทุก 3–4 เดือน

แนะนำบริการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง

ที่ [ชื่อคลินิกของคุณ] เราให้บริการขูดหินปูนโดยใช้เทคโนโลยี Ultrasonic Scaling และ Air Polishing พร้อมการดูแลโดยทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านปริทันต์

จุดเด่นของเรา:

  • เครื่องมือสะอาด ปลอดเชื้อทุกเคส

  • บริการนัดติดตามผลหลังการขูด

  • แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลเฉพาะบุคคล

  • ให้คำปรึกษาทุกกรณีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

สรุป: ฟันบางไม่ใช่เพราะขูดหินปูน แต่เพราะคุณมาช้าเกินไป

หินปูนเป็นภัยเงียบของช่องปาก การปล่อยให้สะสมมากเกินไปต่างหากคือสาเหตุที่ทำให้ ฟันโยก เหงือกถดถอย และกระดูกละลาย จนสุดท้ายคุณอาจต้องสูญเสียฟันโดยไม่จำเป็น

การขูดหินปูนจึงไม่ใช่สิ่งที่ “ควรกลัว”
แต่คือสิ่งที่ “ควรทำ” ก่อนที่จะสายเกินไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง

ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง

การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่ต้องการความต่อเนื่อง เหมือนกับการดูแลสุขภาพกาย หากเราเปลี่ยนแพทย์ประจำบ่อยเกินไป ย่อมส่งผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาให้ตรงจุด ซึ่งในโลกของทันตกรรมเอง หลายคนอาจคิดว่า “แค่ขูดหินปูน หรืออุดฟัน จะไปคลินิกไหนก็เหมือนกัน” แต่ความจริงแล้ว การย้ายคลินิกทำฟันบ่อย ๆ อาจสร้างผลกระทบที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน

บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่า “ย้ายคลินิกทำฟันบ่อย มีผลอย่างไรบ้าง” จากมุมมองของทันตแพทย์ผู้มีประสบการณ์ พร้อมแนะนำแนวทางเลือกคลินิกที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และบริการที่ช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์กับทีมหมอฟันได้อย่างยั่งยืน

Table of Content

ทำไมหลายคนถึงย้ายคลินิกทำฟันบ่อย?

ก่อนจะไปดูผลกระทบ เรามาเข้าใจก่อนว่า “ทำไมคนจำนวนมากถึงเปลี่ยนคลินิกทันตกรรมบ่อย ๆ” ซึ่งเหตุผลที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ย้ายที่อยู่/ที่ทำงาน

  • โปรโมชั่นที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา

  • ไม่พอใจกับการบริการหรือผลลัพธ์

  • รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องรักษากับหมอคนเดิม

  • อยากลองเทคโนโลยีใหม่ที่คลินิกอื่นมี

แม้จะดูเหมือนเหตุผลที่ฟังขึ้นในแต่ละกรณี แต่หากมองจากมุมการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่อง มันกลับสะสมความเสี่ยงบางอย่างโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว

ผลกระทบจากการย้ายคลินิกทำฟันบ่อย

1. ประวัติการรักษาขาดตอน

การเปลี่ยนคลินิกบ่อยทำให้ทันตแพทย์ที่ดูแลคุณไม่มีข้อมูลเพียงพอในการวางแผนการรักษาระยะยาว เช่น:

  • เคยรักษารากฟันที่ซี่ไหนบ้าง

  • เคยแพ้วัสดุอะไร

  • มีฟันที่รื้อการอุดไว้หรือไม่

  • เคยถ่าย X-ray ล่าสุดเมื่อไหร่

ประวัติที่ขาดหายอาจนำไปสู่การ “วินิจฉัยซ้ำซ้อน” หรือ “รักษาซ้ำโดยไม่จำเป็น”

2. ความไม่ต่อเนื่องของแผนการรักษา

บางคนเริ่มต้นจัดฟันกับคลินิกหนึ่ง แต่อยู่ไม่ครบตามแผน
หรือเพิ่งทำครอบฟันไป แต่เปลี่ยนคลินิกก่อน Follow-up
ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่คงทน หรือเกิดปัญหาฟันผุซ้ำซ้อนที่รากเดิมได้

3. เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม

  • ต้องตรวจใหม่ทุกครั้ง

  • ถ่ายฟิล์ม X-ray ซ้ำ

  • เสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นโดยไม่จำเป็น

  • เสียเวลาทำความเข้าใจกับหมอคนใหม่ทุกครั้ง

ผลกระทบในกรณีของการรักษาที่ต่อเนื่อง

การรักษาบางประเภทไม่สามารถทำให้จบได้ภายในครั้งเดียว เช่น

  • จัดฟัน: ต้องมีหมอประจำเพื่อปรับแรงอย่างเหมาะสม

  • รักษารากฟัน: บางเคสใช้เวลา 2–3 ครั้ง

  • รากฟันเทียม: ต้องติดตามดูการเชื่อมกระดูกหลายเดือน

  • โรคเหงือก: ต้องดูแลต่อเนื่องเป็นปี

หากเปลี่ยนหมอระหว่างทาง อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจในประวัติเดิม และเกิดความคลาดเคลื่อนในการประเมินผล

ความสำคัญของการมีประวัติการรักษาชัดเจน

ในโลกการแพทย์ปัจจุบัน “ประวัติการรักษา” คือหัวใจของการวินิจฉัยที่แม่นยำ โดยเฉพาะในช่องปากที่ซับซ้อน เช่น:

  • ซี่ไหนอุดแล้วบ้าง

  • ฟันซี่ไหนเคยผุ/แตก/รักษา

  • เหงือกเคยถดถอยระดับใด

  • เคยแพ้วัสดุประเภทไหน

หากเปลี่ยนคลินิกบ่อย แพทย์ใหม่อาจต้องใช้เวลาในการประเมินใหม่ทั้งหมด หรือบางครั้งก็อาจประเมินผิด

เมื่อไรที่ควรย้ายคลินิก และเมื่อไรที่ควรอยู่ต่อ

ควรย้าย เมื่อ:

  • การบริการไม่มีคุณภาพ / ไม่มีความโปร่งใส

  • หมอไม่อธิบายแนวทางการรักษา

  • ไม่มีการติดตามผล หรือไม่มีระบบจดประวัติ

  • อยู่ห่างไกลจากที่อยู่อาศัยใหม่มากเกินไป

ควรอยู่ต่อ เมื่อ:

  • หมอให้คำอธิบายครบถ้วน

  • มีระบบการบันทึกประวัติชัดเจน

  • มีความเข้าใจในสุขภาพช่องปากของคุณ

  • คุณสามารถพูดคุยและวางใจได้

เลือกคลินิกทำฟันอย่างไรให้มั่นใจได้ในระยะยาว

  1. มีระบบบันทึกประวัติทันตกรรมดิจิทัล

  2. มีหมอประจำที่สามารถติดตามอาการคุณได้ต่อเนื่อง

  3. ใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน เช่น X-ray digital / intraoral camera

  4. มีรีวิวหรือคำแนะนำจากผู้ใช้บริการจริง

  5. อยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เดินทางสะดวก

  6. สามารถเข้าถึงข้อมูลค่ารักษาอย่างโปร่งใส

บริการทันตกรรมที่แนะนำสำหรับการติดตามผลระยะยาว

  • ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน

  • ขูดหินปูนและตรวจเหงือก

  • ติดตามผลฟันที่มีการอุด ครอบ หรือรากฟัน

  • บริการจัดเก็บฟิล์ม X-ray และภาพช่องปาก

  • โปรแกรมสุขภาพฟันรายปี (Dental Check-up Package)

สรุป: ความต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญของรอยยิ้มที่มั่นใจ

การเปลี่ยนคลินิกทำฟันบ่อยอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ในมุมมองของผู้บริโภค แต่ในมุมของทันตแพทย์แล้ว มันคือการเริ่มต้นใหม่ซ้ำซาก ที่อาจทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาลดลงโดยไม่รู้ตัว หากคุณต้องการมีสุขภาพฟันที่แข็งแรงยั่งยืน การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคลินิกที่ไว้ใจได้ คือคำตอบที่ดีกว่าการ “เปลี่ยนไปเรื่อย”

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก

เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก

“พาลูกไปทำฟันครั้งแรก ควรเริ่มเมื่อไหร่?”
“ลูกจะร้องไหม?”
“กลัวลูกจะฝังใจจนไม่อยากไปอีกเลย”

คำถามเหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่แทบทุกคนต้องเผชิญเมื่อพูดถึง การพาลูกไปทำฟันครั้งแรก เพราะไม่ใช่แค่การเปิดประตูคลินิก แต่คือการสร้างความประทับใจแรกเกี่ยวกับ “หมอฟัน” ให้เด็กเรียนรู้ว่า การดูแลสุขภาพช่องปากคือเรื่องดีงาม ไม่ใช่ความน่ากลัว

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “เคล็ดลับพาลูกไปทำฟันครั้งแรก” อย่างละเอียด ทั้งในแง่วิชาการ พฤติกรรมเด็ก เทคนิคจากทันตแพทย์เด็ก ไปจนถึงการเตรียมตัวแบบ Step-by-step พร้อมแนะแนวบริการที่ช่วยให้ทั้งพ่อแม่และลูกผ่านวันสำคัญนี้ไปด้วยรอยยิ้ม

Table of Content

ทำไมการพาเด็กไปทำฟันตั้งแต่เล็กจึงสำคัญ

  • ป้องกันฟันผุตั้งแต่เนิ่น ๆ

  • ปลูกฝังพฤติกรรมการดูแลช่องปาก

  • เด็กจะชินกับบรรยากาศและเครื่องมือ

  • ช่วยลดโอกาสเกิด Dental Phobia เมื่อโต

การพาไป “ก่อนมีปัญหา” จะทำให้เด็กรู้จักหมอฟันในมุมที่เป็นมิตร ไม่ใช่ในช่วงที่เจ็บหรือมีฟันผุแล้วต้องรักษา

พาลูกไปทำฟันครั้งแรกเมื่อไหร่ดี?

ทันตแพทย์เด็กแนะนำ ให้พาเด็กมาตรวจฟันครั้งแรก เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือ หลังฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น ไม่ควรรอจนฟันผุ เพราะ…

  • ฟันผุในฟันน้ำนมลุกลามเร็ว

  • ฟันน้ำนมมีผลต่อฟันแท้ การพูด การเคี้ยว

  • เด็กเล็กเข้าใจและปรับตัวได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

เคล็ดลับเตรียมตัวก่อนพาลูกไปพบหมอฟันครั้งแรก

  1. เล่าเรื่องคลินิกให้เป็นบวก
    แทนที่จะพูดว่า “จะไปหาหมอ” ให้พูดว่า “วันนี้เราจะไปเช็ครอยยิ้มกันนะ” หรือ “จะไปให้หมอฟันดูฟันสวย ๆ”

  2. เล่นบทบาทสมมุติที่บ้าน
    ใช้ตุ๊กตาหมีเป็นคนไข้ ใช้แปรงฟันจำลองบทบาทหมอฟัน

  3. เลือกเวลาที่ลูกอารมณ์ดีที่สุดในวันนั้น
    หลีกเลี่ยงช่วงหิวง่วงหงุดหงิด

  4. อ่านนิทานเกี่ยวกับการไปหาหมอฟัน
    เช่น “กระต่ายน้อยไปหาหมอฟัน” หรือ “ดินสอกับฟันผุ”

  5. ให้ลูกพกของเล่นโปรดติดตัวไปด้วย
    เพื่อสร้างความอุ่นใจระหว่างรอหรือระหว่างตรวจ

สิ่งที่ควรทำระหว่างอยู่ที่คลินิก

  • พูดให้กำลังใจลูก เช่น “แม่อยู่ตรงนี้นะ”

  • อย่าข่มขู่ เช่น “ไม่ทำดีๆ เดี๋ยวหมอฉีดยา”

  • ให้หมอและผู้ช่วยเป็นผู้นำการพูดคุยกับเด็ก

  • อย่าแทรกหรือรีบตอบแทนลูกเมื่อหมอถาม

  • หากลูกกลัว ให้จับมือหรือกอดเบา ๆ

จำไว้ว่า: เด็กมักมองหน้าผู้ใหญ่เป็น “ตัวแบบ” ของอารมณ์

การจัดการหากลูกกลัว ร้องไห้ หรือไม่ให้ความร่วมมือ

  • อย่าดุหรือรีบบังคับ

  • อธิบายสั้น ๆ ชัดเจน เช่น “คุณหมอจะดูฟันแป๊บเดียวนะ ไม่เจ็บเลย”

  • ถ้าลูกร้องหนัก ให้พักก่อน แล้วนัดครั้งหน้าใหม่

  • ให้รางวัลเล็กน้อยหลังทำเสร็จ เช่น สติ๊กเกอร์ รอยยิ้ม หรือคำชม

ควรเลือกคลินิกทันตกรรมเด็กแบบไหนถึงจะเหมาะ

  • มี ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านเด็ก (Pedodontist)

  • บรรยากาศเป็นมิตร มีของเล่น ห้องสีสันสดใส

  • ใช้เทคนิค Tell-Show-Do กับเด็ก

  • มีระบบนัดหมายที่ไม่ต้องรอนาน

  • มีรีวิวจากพ่อแม่คนอื่น ๆ

บริการทันตกรรมเด็กที่แนะนำในการทำฟันครั้งแรก

  • ตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้น

  • เคลือบฟลูออไรด์ ป้องกันฟันผุ

  • เคลือบหลุมร่องฟัน กรณีมีฟันกรามขึ้นแล้ว

  • วางแผนดูแลฟันน้ำนม – ฟันแท้ในอนาคต

  • ให้คำปรึกษาพฤติกรรมการแปรงฟัน อาหาร ขนม

คำแนะนำจากทันตแพทย์เด็ก: อย่ารอให้ปวดจึงพามา

“เด็กที่มาทำฟันครั้งแรกตอนปวด มักฝังใจและไม่อยากกลับมาอีก แต่ถ้ามาตรวจเช็กตั้งแต่ยังไม่มีอาการ เด็กจะมีประสบการณ์เชิงบวก และรู้สึกว่าหมอฟันเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนที่ทำให้เจ็บ”
– ทพญ.ณัฐธิดา วัฒนาทันต์ (ทันตแพทย์เด็ก)

สรุป: ทำฟันครั้งแรก = จุดเริ่มต้นของรอยยิ้มตลอดชีวิต

การพาลูกไปหาหมอฟันครั้งแรก คือ โอกาสทองของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับสุขภาพช่องปาก เพราะความกลัวหรือความประทับใจที่เกิดขึ้นในวัยเด็กจะติดตัวไปถึงวัยผู้ใหญ่

อย่ารอให้ลูกปวดฟันแล้วค่อยพามา เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไป และเลือกคลินิกที่เข้าใจเด็กโดยแท้จริง แล้วคุณจะพบว่าการพาลูกไปทำฟัน… ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดเลย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

สุขภาพช่องปากไม่ใช่เรื่องของฟันขาวเพียงอย่างเดียว แต่คือกระจกสะท้อนสุขภาพกายและใจที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงวัยอย่างมีนัยสำคัญ บ่อยครั้งที่เราพบปัญหาทางทันตกรรมเพราะละเลย หรือเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงวัยต้องดูแล” แต่ความจริงคือ ทุกช่วงวัยล้วนมีลักษณะของฟันและเหงือกที่ต้องดูแลต่างกัน

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง” อย่างละเอียด พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันปัญหาก่อนลุกลาม รวมถึงแนวทางการเลือกผลิตภัณฑ์และบริการทันตกรรมให้เหมาะกับช่วงอายุ

Table of Content

ฟันเปลี่ยนไปตามวัยอย่างไร?

ฟันของคนเราจะเปลี่ยนไปทั้งในแง่ของรูปร่าง การเรียงตัว ความแข็งแรง และสุขภาพเหงือก ตามวัยที่เติบโตขึ้น เช่น

  • เด็ก: ฟันน้ำนม มีแนวโน้มฟันผุเร็ว

  • วัยรุ่น: ฟันแท้ครบ แต่เริ่มใช้ชีวิตอิสระมากขึ้น

  • วัยทำงาน: ความเครียดสะสม พฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม

  • วัยสูงอายุ: ฟันโยก ฟันหาย เหงือกร่น และกระดูกละลาย

การดูแลฟันจึงไม่สามารถใช้สูตรเดียวกันได้กับทุกช่วงอายุ

วัยเด็ก (0–12 ปี): ปลูกฝังพฤติกรรมดูแลฟันตั้งแต่ต้น

สิ่งที่ควรใส่ใจ:

  • ฟันน้ำนมผุง่ายกว่าฟันแท้

  • เด็กไม่สามารถแปรงฟันได้สะอาดเอง

  • การกลืนยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์มากเกินไปอาจทำให้เกิดฟันตกกระ

คำแนะนำ:

  • ใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณเหมาะสม

  • แปรงฟันให้เด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

  • งดขวดนมก่อนนอนหรือให้นมตอนนอน

  • ตรวจฟันตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป

บริการที่ควรได้รับ:

  • เคลือบหลุมร่องฟัน

  • เคลือบฟลูออไรด์

  • ตรวจวางแนวการขึ้นของฟันแท้

  • การจัดฟันในเด็กหากจำเป็น

วัยรุ่น (13–19 ปี): ฟันแท้ครบ พฤติกรรมเสี่ยงเริ่มมา

ปัญหาพบบ่อย:

  • ฟันผุจากการบริโภคน้ำอัดลม ชาไข่มุก

  • แปรงฟันไม่สะอาด

  • ฟันซ้อนเก หรือฟันคุดเริ่มขึ้น

  • กลิ่นปากจากสุขอนามัยไม่ดี

คำแนะนำ:

  • ใช้ไหมขัดฟันหรือเครื่องฉีดน้ำ

  • หลีกเลี่ยงการจิบน้ำหวานทั้งวัน

  • พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

  • พิจารณาจัดฟันหากมีปัญหาเรียงตัว

บริการแนะนำ:

  • ตรวจฟัน + ขูดหินปูน

  • X-ray ฟันคุด

  • ปรึกษาการจัดฟัน

  • เคลือบฟันป้องกันฟันผุ

วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20–35 ปี): ฟันดูดีแต่โรคซ่อนอยู่

ปัญหาที่พบมากขึ้น:

  • ฟันผุระยะลึก (เพราะไม่รู้ตัว)

  • โรคเหงือกระยะแรก

  • ฟันสึกจากกัดฟันตอนนอน

  • ฟันเหลืองจากกาแฟ ชา หรือบุหรี่

แนวทางดูแล:

  • ตรวจสุขภาพช่องปากปีละ 1–2 ครั้ง

  • ขูดหินปูนทุก 6 เดือน

  • ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน

  • หากใช้ฟอกสีฟัน ให้เลือกวิธีที่ปลอดภัย

บริการที่ควรได้รับ:

  • ตรวจสุขภาพเหงือก

  • ฟอกสีฟันแบบมืออาชีพ

  • Night guard สำหรับคนที่นอนกัดฟัน

  • ตรวจเช็คแนวเหงือกร่น ฟันโยกเบื้องต้น

วัยทำงาน (36–50 ปี): ระวังเหงือกอักเสบ ฟันสึก ฟันโยก

สิ่งที่เริ่มเปลี่ยน:

  • เหงือกเริ่มร่น ฟันอาจยาวขึ้น

  • ฟันอาจโยกหากมีโรคปริทันต์

  • ปริมาณน้ำลายในปากอาจลดลงจากความเครียด

คำแนะนำ:

  • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม

  • หลีกเลี่ยงการใช้แรงขณะแปรงฟัน

  • ตรวจวัดความลึกของร่องเหงือก

  • ปรึกษาเรื่องการเสริมแร่ผิวฟัน

บริการแนะนำ:

  • ขูดหินปูน + เกลารากฟัน

  • ปรึกษารากฟันเทียมหากฟันเริ่มหลุด

  • เคลือบผิวฟันด้วยวัสดุป้องกัน

  • ตรวจการสบฟันผิดปกติ

วัยสูงอายุ (50 ปีขึ้นไป): ฟันหลุด เหงือกร่น และการฟื้นฟู

ปัญหาสะสม:

  • ฟันหลุด ฟันโยกจากโรคเหงือก

  • ใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี

  • กระดูกขากรรไกรละลาย

  • ความสามารถในการเคี้ยวลดลง

แนวทางดูแล:

  • พบทันตแพทย์เฉพาะทางปริทันต์

  • ใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน

  • ดูแลแผลในปากจากฟันปลอม

  • ปรึกษาทำรากฟันเทียมหรือสะพานฟัน

บริการแนะนำ:

  • รากฟันเทียม

  • ฟันปลอมแบบติดแน่น

  • ตรวจการสบฟันอย่างละเอียด

  • ดูแลช่องปากร่วมกับโรคเบาหวาน/ความดัน

บริการทันตกรรมแนะนำในแต่ละช่วงวัย

ช่วงวัย บริการเด่น
เด็ก เคลือบฟลูออไรด์, เคลือบหลุมร่องฟัน
วัยรุ่น จัดฟัน, ขูดหินปูน, ปรับสุขนิสัย
ผู้ใหญ่ต้น ฟอกสีฟัน, ตรวจโรคเหงือก, Night guard
ทำงาน รักษารากฟัน, รากเทียม, เกลารากฟัน
สูงวัย ฟันปลอม, รากฟันเทียม, ตรวจสุขภาพร่วมโรค

ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะกับแต่ละวัย

  • เด็ก: ยาสีฟันเด็กสูตรอ่อนโยน / แปรงด้ามเล็ก

  • วัยรุ่น: ยาสีฟันลดสิวปาก, น้ำยาบ้วนปากไร้แอลกอฮอล์

  • ผู้ใหญ่: ไหมขัดฟัน / ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สูง

  • ทำงาน: ยาสีฟันลดเสียวฟัน / เจลเสริมแร่ธาตุ

  • สูงวัย: แปรงไฟฟ้า / น้ำยาลดกลิ่นปากในผู้ใส่ฟันปลอม

สรุป: ฟันดีไม่มีวันแก่ ถ้าดูแลให้เหมาะกับช่วงชีวิต

ช่วงวัยไหน ต้องดูแลฟันอะไรบ้าง” ไม่ใช่คำถามสำหรับแค่คนมีปัญหา แต่คือแนวคิดที่ช่วยป้องกันโรคในอนาคตได้ดีกว่า แค่เริ่มใส่ใจตามช่วงอายุของตนเอง เลือกบริการและผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม คุณจะพบว่าการมีฟันแข็งแรง รอยยิ้มมั่นใจ และช่องปากที่สะอาดสดชื่นนั้น “ไม่จำกัดวัย” เลยแม้แต่น้อย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

การสูญเสียฟันธรรมชาติ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ ฟันผุ หรือโรคปริทันต์ ไม่เพียงส่งผลต่อความสวยงามของรอยยิ้ม แต่ยังมีผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพช่องปาก การเคี้ยวอาหาร และแม้แต่กระดูกขากรรไกร

ในยุคที่เทคโนโลยีทันตกรรมพัฒนาไปมาก การใส่ รากฟันเทียม (Dental Implant) จึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะให้ความรู้สึกเหมือนฟันจริง แข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน

แต่คำถามที่ผู้สนใจอยากรู้มากที่สุดก็คือ…
“รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?”
บทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจโครงสร้างราคาของการทำรากฟันเทียมอย่างเป็นระบบ พร้อมคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและวางแผนค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

Table of Content

รากฟันเทียมคืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยม

รากฟันเทียมคือ อุปกรณ์ไทเทเนียม ที่ฝังลงในกระดูกขากรรไกรแทนรากฟันที่สูญเสียไป จากนั้นจึงครอบด้วยฟันปลอม (Crown) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนฟันธรรมชาติทั้งรูปร่าง สี และการใช้งาน

ข้อดีที่ทำให้รากฟันเทียมเป็นที่นิยม:

  • ไม่ต้องพึ่งฟันซี่ข้างเคียงเหมือนสะพานฟัน

  • เคี้ยวอาหารได้เต็มประสิทธิภาพ

  • ป้องกันการละลายของกระดูกขากรรไกร

  • อายุการใช้งานยาวนาน (10–20 ปี หรือมากกว่านั้น)

  • ความรู้สึกใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด

องค์ประกอบของรากฟันเทียม: ทำไมถึงต้องมีหลายขั้นตอน

การใส่รากฟันเทียมไม่ใช่การรักษาแบบจบในครั้งเดียว แต่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:

  1. รากฟันเทียม (Implant Fixture):
    ส่วนที่ฝังลงในกระดูก

  2. แกนเชื่อม (Abutment):
    ส่วนที่เชื่อมระหว่างรากเทียมกับตัวครอบฟัน

  3. ครอบฟัน (Crown):
    ฟันปลอมที่ยึดบนรากเทียม เป็นส่วนที่มองเห็น

นอกจากนี้ บางคนอาจต้องทำขั้นตอนเสริม เช่น ปลูกกระดูก (Bone Graft) หรือ ยกไซนัส (Sinus Lift) หากกระดูกไม่เพียงพอ

รากฟันเทียม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? (แยกตามรายการ)

รายการ รายละเอียด ราคาโดยประมาณ
ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น X-ray, CT Scan 1,500 – 5,000 บาท
ค่าฝังรากไทเทเนียม รวมค่าวัสดุ + ศัลยกรรม 30,000 – 50,000 บาท
Abutment เชื่อมรากกับครอบฟัน 5,000 – 10,000 บาท
ครอบฟัน (Crown) เซรามิก / Zirconia 10,000 – 20,000 บาท
ค่าปลูกกระดูก (ถ้ามี) Bone graft + membrane 5,000 – 30,000 บาท
ค่ายาและอุปกรณ์เสริม ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ 1,000 – 2,000 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งระบบ (ต่อ 1 ซี่):
เริ่มต้นประมาณ 45,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพปากและเทคโนโลยีที่ใช้

ปัจจัยที่ทำให้ราคาการใส่รากฟันเทียมแตกต่างกัน

  • วัสดุของรากฟัน (ไทเทเนียมธรรมดา vs พรีเมียม)

  • ยี่ห้อที่ใช้ (Straumann, Nobel Biocare, Osstem ฯลฯ)

  • ประสบการณ์ของทันตแพทย์

  • อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น Digital Scan

  • ความซับซ้อนของเคส (มีกระดูกพอไหม, มีการติดเชื้อหรือไม่)

ตัวอย่างแพ็กเกจราคาที่พบบ่อยในคลินิกทันตกรรม

  • แพ็กเกจรากฟันเทียมมาตรฐาน: 55,000–65,000 บาท

  • แพ็กเกจพรีเมียม Zirconia + CT Scan + วางแผนดิจิทัล: 75,000–90,000 บาท

  • แพ็กเกจปลูกกระดูก + รากฟัน + ครอบฟัน: 85,000–120,000 บาท

แนะนำให้สอบถามแพทย์ก่อนเสมอว่า ราคารวมทุกขั้นตอนแล้วหรือไม่ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ทำไมรากฟันเทียมถึงคุ้มค่ามากกว่าฟันปลอมธรรมดา

ประเด็น รากฟันเทียม ฟันปลอม
ความคงทน 10–20 ปีขึ้นไป 3–5 ปี
ความสบาย ใกล้เคียงฟันจริง อาจเคลื่อนหลุด
การใช้งาน เคี้ยวได้เต็มที่ เคี้ยวลำบากบางเมนู
ดูแลกระดูกขากรรไกร ป้องกันการละลาย ไม่ช่วยเรื่องกระดูก
ความสวยงาม แนบสนิท ดูธรรมชาติ บางแบบดูหลอกตา

คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม

  • ตรวจวินิจฉัยด้วย CT Scan

  • ปรึกษาแพทย์ว่ามีกระดูกเพียงพอหรือไม่

  • หยุดสูบบุหรี่ 1 เดือนก่อน-หลังทำ

  • ดูแลสุขภาพเหงือกให้แข็งแรง

  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่มีผลต่อการหายของแผล

เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และไม่เสียเงินฟรี

  • ตรวจสอบว่าใช้ ระบบรากฟันเทียมที่ได้รับการรับรอง

  • มี ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟัน (Implantologist)

  • มีรีวิว หรือผลงานจริงให้ดู

  • มี รับประกัน และติดตามผลหลังทำ

  • ราคาชัดเจน ไม่บวกเพิ่มภายหลัง

สรุป: รากฟันเทียมไม่ใช่แค่ “ของแพง” แต่คือการลงทุนเพื่อสุขภาพ

แม้ราคาของรากฟันเทียมจะสูงกว่าทางเลือกอื่น แต่หากมองในระยะยาว นี่คือ “การลงทุนเพื่อสุขภาพที่คืนความมั่นใจได้อย่างยั่งยืน” เพราะคุณจะได้ทั้งรอยยิ้มที่สมบูรณ์ ความสามารถในการเคี้ยวอาหารอย่างมีคุณภาพ และลดโอกาสเกิดปัญหาในช่องปากซ้ำซ้อน

หากคุณกำลังพิจารณาว่าจะเลือกใส่รากฟันเทียมดีไหม คำถามที่ควรถามคือ “คุณพร้อมลงทุนกับสุขภาพตัวเองแค่ไหน” เพราะรากฟันเทียมคือการฟื้นคืนฟัน…ให้กลับมาดีเหมือนเดิม (หรือดีกว่าเดิม) ได้จริง

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เครื่องดื่มยอดฮิต กับสุขภาพฟันที่ต้องระวัง

เครื่องดื่มยอดฮิต กับสุขภาพฟันที่ต้องระวัง

เครื่องดื่มยอดฮิต กับสุขภาพฟันที่ต้องระวัง: รู้ทันก่อนรอยยิ้มพังไม่รู้ตัว

คุณรู้หรือไม่ว่า…เครื่องดื่มที่คุณดื่มเป็นประจำทุกวันอาจเป็นภัยเงียบที่ค่อย ๆ ทำลายสุขภาพฟันของคุณไปทีละน้อย แม้จะเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่ให้ความสดชื่น เติมพลังระหว่างวัน หรือแม้แต่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ในยุคใหม่ แต่มันกลับอาจทิ้งร่องรอยไว้บนฟันของคุณอย่างช้า ๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกว่า “เครื่องดื่มยอดฮิต กับสุขภาพฟันที่ต้องระวัง” มีอะไรบ้าง พร้อมอธิบายอย่างเข้าใจง่ายถึงผลกระทบในระดับเคลือบฟัน แบคทีเรีย ไปจนถึงพฤติกรรมที่ควรเปลี่ยน รวมถึงแนะนำแนวทางการดูแลฟันที่เหมาะสมเพื่อให้คุณยังคงดื่มได้…แต่ไม่ทำร้ายรอยยิ้ม

Table of Content

ทำไมต้องใส่ใจเรื่องเครื่องดื่มกับสุขภาพฟัน?

เพราะช่องปากคือ “ประตูแรก” ที่เครื่องดื่มทุกชนิดผ่านเข้าร่างกาย และสารประกอบที่อยู่ในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดคาร์บอนิก คาเฟอีน สีผสมอาหาร ฯลฯ ล้วนมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างและสมดุลของฟันและเหงือก หากบริโภคต่อเนื่องโดยไม่มีการดูแล อาจทำให้เกิดปัญหาทางทันตกรรมเรื้อรังที่ต้องใช้ทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา

5 เครื่องดื่มยอดฮิตที่ต้องระวังต่อสุขภาพฟัน

1. ชาไข่มุก / ชานม

  • อุดมไปด้วยน้ำตาล และมีความหนืดสูง

  • ทำให้เศษน้ำตาลติดตามร่องฟันได้ง่าย

  • ไข่มุกอาจติดตามผิวฟันหรือซอกเหงือก

2. กาแฟ

  • มีกรดอ่อนที่กัดกร่อนเคลือบฟัน

  • คาเฟอีนทำให้ปากแห้ง ส่งผลให้แบคทีเรียเติบโต

  • ทำให้เกิด “คราบฟัน” ที่ฝังแน่นได้ง่าย

3. น้ำอัดลม

  • มีค่าความเป็นกรดต่ำ (pH ~2.5–3.5)

  • ทำลายเคลือบฟันโดยตรง

  • น้ำตาลในน้ำอัดลมเพิ่มแบคทีเรียและคราบพลัค

4. เครื่องดื่มเกลือแร่ / Energy Drink

  • มีทั้งน้ำตาลและกรดซิตริก

  • บางสูตรมีโซเดียมสูง ทำให้ปากแห้ง

  • ส่งผลเสียหากดื่มบ่อยโดยไม่แปรงฟัน

5. น้ำผลไม้ 100%

  • แม้ไม่มีน้ำตาลเติม แต่มี “น้ำตาลธรรมชาติ” สูง

  • มีกรดจากผลไม้ที่กัดผิวฟัน เช่น แอปเปิล มะนาว

  • ดื่มแบบจิบตลอดวันจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

กลไกการทำลายฟันจากน้ำตาลและกรดในเครื่องดื่ม

  1. น้ำตาล → แบคทีเรีย → กรด
    แบคทีเรียในช่องปากใช้กลูโคสเป็นพลังงาน และปล่อย “กรด” ที่ไปละลายแร่ธาตุของฟัน

  2. กรดโดยตรงจากเครื่องดื่ม → เคลือบฟันบางลง
    โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 เคลือบฟันจะค่อย ๆ เสื่อมลง

  3. การจิบบ่อยๆ ตลอดวัน
    ทำให้ปากไม่เคยกลับเข้าสู่สภาพเป็นกลาง ทำให้ฟันถูกทำลายต่อเนื่อง

ผลกระทบระยะยาว: ฟันผุ เหงือกอักเสบ และสีฟันหมองคล้ำ

  • ฟันผุเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณซอกฟันและด้านในที่ทำความสะอาดยาก

  • เหงือกอักเสบ จากคราบน้ำตาลที่สะสม

  • สีฟันเปลี่ยน โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มกาแฟหรือชาเข้ม

  • ฟันกร่อน จากกรด ทำให้เสียวฟันง่าย เคี้ยวไม่สบาย

ดื่มยังไงไม่ให้ฟันพัง: เทคนิคการป้องกันที่ใช้ได้จริง

  • ดื่มผ่านหลอด ลดการสัมผัสผิวฟัน

  • หลีกเลี่ยงการจิบทั้งวัน ให้ดื่มรวดเดียวแล้วบ้วนน้ำตาม

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟัน

  • ดื่มน้ำเปล่าหลังเครื่องดื่มทุกครั้ง

  • เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลเพื่อกระตุ้นน้ำลาย

ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่แนะนำสำหรับสายดื่ม

  • ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สูง ช่วยเสริมแร่ให้ผิวฟัน

  • น้ำยาบ้วนปากสูตรลดกรด เช่น มี Zinc, CPC

  • เจลเสริมแร่ธาตุฟัน (Remineralizing Gel)

  • ไหมขัดฟันเคลือบสารฆ่าเชื้อ สำหรับผู้ที่ทานหวานบ่อย

แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจาก SLS และ Alcohol หากมีปัญหาเหงือกบอบบางหรือเป็นแผลในปากง่าย

บทบาทของคลินิกทันตกรรมในการช่วยฟื้นฟูฟันจากเครื่องดื่ม

  • ขูดหินปูนและคราบสี เป็นประจำทุก 6 เดือน

  • เคลือบฟลูออไรด์ / ซีลแลนต์ ป้องกันการผุ

  • ฟอกสีฟันอย่างปลอดภัย สำหรับผู้ที่ฟันหมองจากชา/กาแฟ

  • ปรึกษาทันตแพทย์ หากเริ่มมีอาการเสียวฟันหรือฟันบาง

สรุป: ดื่มได้ แต่อย่าประมาท สุขภาพฟันคือเรื่องระยะยาว

เราไม่จำเป็นต้องเลิกดื่มเครื่องดื่มยอดฮิตที่เรารัก แต่ควร “เข้าใจ” ว่ามันส่งผลอะไรกับร่างกาย และโดยเฉพาะกับฟันของเรา การดื่มอย่างมีสติ เลือกเวลาที่เหมาะสม และหมั่นดูแลสุขภาพช่องปากอย่างจริงจัง จะช่วยให้คุณสามารถสนุกกับเครื่องดื่มโปรด พร้อมมีรอยยิ้มสวยและฟันแข็งแรงได้ในระยะยาว

 

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

คุณแม่ตั้งครรภ์ ทำฟันได้ไหม

คุณแม่ตั้งครรภ์ ทำฟันได้ไหม

หนึ่งในคำถามที่คุณแม่มือใหม่มักสงสัยคือ “คุณแม่ตั้งครรภ์ ทำฟันได้ไหม?” เพราะในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งฮอร์โมน อารมณ์ ไปจนถึงภูมิคุ้มกัน ทำให้หลายคนกลัวว่าการพบทันตแพทย์จะเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์

ความจริงแล้ว “การดูแลสุขภาพช่องปากในช่วงตั้งครรภ์” ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยให้มีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือคราบหินปูนสะสม อาจส่งผลกระทบต่อทั้งแม่และทารกในระยะยาวได้ บทความนี้จะพาคุณแม่ทุกคนไปรู้จักกับข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า คุณแม่ควรทำฟันเมื่อไหร่ ทำอะไรได้บ้าง และต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ

Table of Content

คุณแม่ตั้งครรภ์ ทำฟันได้ไหม? คำตอบจากทันตแพทย์

คำตอบคือ “ทำได้” และ ควรทำ หากมีปัญหาช่องปาก เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือคราบหินปูน เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดการติดเชื้อเรื้อรัง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ เช่น ภาวะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักเด็กแรกคลอดน้อย หรือการอักเสบของรก

ทันตกรรมสมัยใหม่มีวิธีที่ปลอดภัยทั้งต่อแม่และเด็ก และมีแนวทางที่ชัดเจนในการดูแลผู้ป่วยตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรเลี่ยงการพบทันตแพทย์หากมีปัญหาใดๆ

สุขภาพช่องปากมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไร

งานวิจัยทั่วโลกพบว่า “โรคปริทันต์” หรือโรคเหงือกลุกลามสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะคลอดก่อนกำหนดและครรภ์เป็นพิษได้

สาเหตุคือ การติดเชื้อในช่องปากทำให้ร่างกายหลั่งสารอักเสบ (เช่น prostaglandin) ซึ่งสามารถกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวก่อนกำหนด ดังนั้น การดูแลช่องปากที่ดีจึงมีผลต่อความปลอดภัยในการตั้งครรภ์อย่างมาก

ทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ถึงมีปัญหาช่องปากบ่อยกว่าคนทั่วไป

  1. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้เหงือกบวมง่าย และเลือดออกง่าย

  2. อาการแพ้ท้อง ทำให้แปรงฟันไม่สม่ำเสมอ หรืออาเจียนบ่อย จนกรดกัดกร่อนฟัน

  3. ความอยากของหวานหรือของว่างจุกจิก เพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุ

  4. ภูมิคุ้มกันในช่องปากลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

ทันตกรรมที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

  • การตรวจสุขภาพช่องปาก

  • ขูดหินปูน

  • อุดฟันที่มีฟันผุ

  • ถอนฟันกรณีมีอาการรุนแรง (โดยต้องปรึกษาสูตินรีแพทย์)

  • การใช้ยาชาเฉพาะที่ในปริมาณจำกัด

  • การถ่ายภาพรังสี (X-ray) โดยมีเสื้อกันรังสีและเลือกทำเฉพาะที่จำเป็น

ทันตกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงตั้งครรภ์

  • การฟอกสีฟันด้วยเคมี

  • การรักษารากฟันหรือผ่าฟันคุดที่สามารถเลื่อนได้

  • การจัดฟันหรือศัลยกรรมทางช่องปากแบบไม่เร่งด่วน

  • การใช้ยาชาเข้มข้นหรือยาคลายเครียดที่ส่งผลต่อระบบประสาท

ควรเลือกทำฟันช่วงไหนของการตั้งครรภ์ดีที่สุด?

ไตรมาสที่ 2 (เดือนที่ 4–6) เป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการทำฟัน เพราะ

  • อาการแพ้ท้องลดลง

  • ทารกพัฒนาระบบอวัยวะเสร็จแล้ว

  • คุณแม่ยังสามารถนอนหงายได้นาน

  • ภาวะแทรกซ้อนระหว่างทำฟันต่ำกว่าไตรมาสอื่น

ข้อควรรู้ก่อนคุณแม่ไปทำฟัน

  • แจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งว่า “กำลังตั้งครรภ์” และอายุครรภ์เท่าไหร่

  • พกใบฝากครรภ์ หรือแจ้งชื่อสูตินรีแพทย์ที่ดูแล

  • หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ควรแจ้งให้ครบถ้วน

  • สวมเสื้อผ้าสบาย ๆ และนอนตะแคงซ้ายหากรู้สึกเวียนหัวขณะทำฟัน

คำแนะนำเรื่องการใช้ยาชา ยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะ

  • ยาชาเฉพาะที่แบบ Lidocaine จัดว่า “ปลอดภัย” หากใช้ในปริมาณจำกัด

  • ยาแก้ปวดที่ปลอดภัย คือ พาราเซตามอล (Paracetamol)

  • ยาปฏิชีวนะที่สามารถใช้ได้ เช่น Amoxicillin หรือ Clindamycin (แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น)

หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen, Aspirin หรือ Metronidazole ในช่วงไตรมาสแรกและสุดท้าย

ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์

  • ยาสีฟันที่อ่อนโยนต่อเหงือก และไม่มี SLS (สารก่อฟอง)

  • น้ำยาบ้วนปากสูตรไม่มีแอลกอฮอล์

  • ไหมขัดฟันแบบนุ่มพิเศษ ที่ไม่ทำร้ายเหงือก

  • ผลิตภัณฑ์ฟลูออไรด์เสริม เพื่อป้องกันฟันผุในช่วงที่เสี่ยง

แนะนำให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง กลิ่นฉุน หรือมีสารปรอท/ไตรโคลซาน

สรุป: ดูแลฟันให้ดี ช่วยส่งเสริมสุขภาพแม่และลูก

“คุณแม่ตั้งครรภ์ ทำฟันได้ไหม?” ไม่ใช่แค่คำถาม แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลตัวเองอย่างใส่ใจ เพราะสุขภาพฟันที่ดีจะส่งผลถึงสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ได้โดยตรง

อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความเข้าใจผิดทำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการดูแลช่องปาก ขอเพียงเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม คลินิกที่ใส่ใจ และสื่อสารกับแพทย์อย่างชัดเจน คุณก็สามารถรักษาฟันได้อย่างปลอดภัย พร้อมเป็นคุณแม่ที่สุขภาพแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

สุขภาพช่องปาก

สุขภาพช่องปาก เกี่ยวข้องกับโรคอะไรบ้าง

หลายคนคิดว่าการแปรงฟันคือแค่การดูแลรอยยิ้มให้ดูดี หรือป้องกันฟันผุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว “สุขภาพช่องปาก เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและเบาหวานได้อย่างไร” เป็นคำถามที่ควรถามตัวเองให้เร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป

การละเลยสุขภาพช่องปากไม่ได้กระทบแค่ฟันหรือเหงือก แต่ยังส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจ และระบบเมตาบอลิซึมอย่างเบาหวาน งานวิจัยทางการแพทย์ในช่วงทศวรรษหลังนี้บ่งชี้ชัดว่า การอักเสบในช่องปากอาจเป็นต้นตอของปัญหาเรื้อรังที่ลุกลามไปยังหัวใจและน้ำตาลในเลือด อย่างไม่น่าเชื่อ

Table of Content

สุขภาพช่องปากคืออะไร?

สุขภาพช่องปากไม่ใช่แค่ไม่มีฟันผุหรือเหงือกไม่บวมเท่านั้น แต่หมายถึงสภาพของฟัน เหงือก ลิ้น และเยื่อบุภายในช่องปากที่แข็งแรง ไม่มีการอักเสบ ไม่มีกลิ่นปาก ไม่มีแผลเรื้อรัง และไม่มีการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในระดับที่ก่อโรค

กลไกของการอักเสบในช่องปากที่เชื่อมโยงกับโรคอื่น

เวลาที่ฟันผุ เหงือกบวม หรือมีคราบพลัคสะสมเป็นเวลานาน แบคทีเรียที่สะสมอยู่ในช่องปากจะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร Cytokine หรือโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งกระจายเข้าสู่กระแสเลือด

สารเหล่านี้สามารถ:

  • กระตุ้นให้เกิดการตีบของหลอดเลือด (Atherosclerosis)

  • รบกวนการทำงานของอินซูลิน

  • ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียสมดุล และนำไปสู่โรคเรื้อรังได้

สุขภาพช่องปากกับโรคหัวใจ: ความเชื่อมโยงที่นักวิจัยค้นพบ

จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า ผู้ที่มีปัญหาเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ (โรคเหงือกระดับลึก) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าในการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายเฉียบพลัน

กลไกที่สำคัญ ได้แก่:

  • แบคทีเรียจากช่องปากสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด

  • การอักเสบเรื้อรังทำให้หลอดเลือดแข็งตัว

  • การสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือดเกิดง่ายขึ้น

หมายเหตุ: แบคทีเรียที่ตรวจพบในคราบพลัคของผู้ป่วยโรคหัวใจ คือกลุ่มเดียวกับที่พบในเหงือกอักเสบอย่าง Porphyromonas gingivalis

สุขภาพช่องปากกับเบาหวาน: ส่งผลซึ่งกันและกัน

โรคเบาหวานและสุขภาพช่องปากมีความสัมพันธ์ “สองทาง” คือ

  1. เบาหวานควบคุมไม่ดี ทำให้เหงือกอักเสบง่าย

    • น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานด้อยลง

    • แผลในช่องปากหายช้า และเสี่ยงติดเชื้อ

  2. เหงือกอักเสบเรื้อรัง ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล

    • การอักเสบกระตุ้นอินซูลินทำงานผิดปกติ

    • ผู้ป่วยเบาหวานจึงอาจควบคุมน้ำตาลได้ยากขึ้น

อาการเตือนของโรคในช่องปากที่ควรจับตา

  • เลือดออกเวลาแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน

  • มีกลิ่นปากแม้แปรงฟันแล้ว

  • เหงือกบวม แดง หรือถดร่น

  • ฟันโยกหรือรู้สึกฟันไม่แน่น

  • มีหนองออกจากเหงือก

หากมีอาการเหล่านี้ ควรเข้าพบทันตแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคปริทันต์

พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร่วม

  • ไม่แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ใช้ไหมขัดฟัน

  • รับประทานน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง

  • สูบบุหรี่

  • ไม่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คประจำปี

  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

คำแนะนำจากทันตแพทย์และแพทย์ทั่วไป

“สุขภาพช่องปากที่ดีควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคหัวใจและเบาหวาน ไม่ใช่เรื่องแยกกัน”
– ทพญ.วรารัตน์ สมิทธิ์, ผู้เชี่ยวชาญด้านปริทันต์

“การรักษาโรคเหงือกช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น 0.3-0.4% ซึ่งใกล้เคียงกับยาบางชนิด”
– พญ.กรรณิการ์ อัครเศรษฐ์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้มีโรคเรื้อรัง

แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ:

  • ลดการอักเสบของเหงือก (เช่น มี Chlorhexidine หรือ CPC)

  • ไม่มีน้ำตาล

  • เสริมฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ

  • เหมาะกับผู้มีเหงือกบอบบาง เช่น ยาสีฟันสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • ไหมขัดฟันชนิดอ่อนนุ่ม ไม่บาดเหงือก

บทบาทของคลินิกทันตกรรมในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวาน

คลินิกทันตกรรมยุคใหม่ไม่ใช่แค่สถานที่ขูดหินปูนหรืออุดฟันเท่านั้น แต่ควรมีบทบาทเชิงป้องกันและดูแลร่วมกับแพทย์เวชศาสตร์อื่น เช่น:

  • ประเมินความเสี่ยงของโรคปริทันต์ในผู้ป่วยเบาหวาน

  • ร่วมวางแผนการดูแลร่วมกับแพทย์โรคหัวใจหรือเบาหวาน

  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมที่ปลอดภัยต่อทั้งฟันและระบบเลือด

  • มีระบบติดตามผลสุขภาพช่องปากต่อเนื่อง

สรุป: รอยยิ้มดี หัวใจดี น้ำตาลก็สมดุลได้

การดูแลช่องปากไม่ได้เป็นแค่เรื่องของฟันสวยหรือลมหายใจสดชื่นอีกต่อไป แต่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ระบบหลอดเลือด และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างแนบแน่น หากเรามอง “สุขภาพช่องปาก” เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพองค์รวม ก็จะสามารถป้องกันโรคหัวใจและเบาหวานได้ตั้งแต่ต้นทาง

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าช่องปากของคุณแข็งแรงเพียงพอหรือไม่ วันนี้อาจเป็นวันที่ดีในการเริ่มตรวจสุขภาพฟัน และเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะกับคุณ เพราะการดูแลรอยยิ้ม อาจช่วยรักษาหัวใจและชีวิตของคุณไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

วิธีรับมือ Dental Phobia

วิธีรับมือ Dental Phobia

Dental Phobia หรือ “โรคกลัวหมอฟัน” ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือเรื่องที่ควรถูกมองข้าม เพราะผลกระทบจากความกลัวนี้อาจทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการพบทันตแพทย์ จนกระทั่งสุขภาพช่องปากเสื่อมโทรม ฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือถึงขั้นต้องถอนฟัน ทั้งที่อาการบางอย่างสามารถป้องกันได้ตั้งแต่แรกเริ่ม

ในบทความนี้ เราจะพาคุณทำความเข้าใจถึงรากของความกลัวนี้ พร้อมแนะนำ “วิธีรับมือ Dental Phobia” อย่างเป็นระบบ จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและทันตกรรม เพื่อให้การพบทันตแพทย์ไม่ใช่ฝันร้าย แต่เป็นการดูแลตัวเองอย่างเต็มใจและผ่อนคลาย

Table of Content

Dental Phobia คืออะไร?

Dental Phobia คืออาการหวาดกลัวขั้นรุนแรงต่อการพบทันตแพทย์ หรือแม้แต่แค่ “ความคิดว่าจะต้องไปคลินิก” ก็ทำให้เกิดอาการใจเต้นเร็ว เหงื่อออก หายใจถี่ หรือรู้สึกไม่สบายใจ จัดว่าเป็น “Phobic Disorder” หนึ่งในกลุ่มโรควิตกกังวล (Anxiety Disorders)

แตกต่างจากอาการไม่ชอบหรือรังเกียจ หมอฟันแบบทั่วไป Dental Phobia จะส่งผลต่อพฤติกรรมชีวิตอย่างชัดเจน เช่น การหลีกเลี่ยงคลินิก การปล่อยให้อาการลุกลาม หรือถึงขั้นต้องรับการดูแลทางจิตใจ

สาเหตุของความกลัวหมอฟันมาจากอะไร?

  1. ประสบการณ์แย่ในวัยเด็ก
    เช่น ถูกจับให้นั่งบนเก้าอี้โดยไม่อธิบาย หรือรู้สึกเจ็บจนฝังใจ

  2. ภาพจำจากสื่อหรือบุคคลรอบตัว
    การดูหนัง/ฟังเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับหมอฟันที่เจ็บ ทำให้เกิดความกลัวแม้ไม่เคยเจอด้วยตัวเอง

  3. กลัวเสียงเครื่องมือหรือกลิ่นยา
    เสียงสว่าน กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ล้วนกระตุ้นประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์

  4. กลัวการสูญเสียการควบคุม
    การนอนหงาย อ้าปากนาน หรือไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ปลอดภัย

ผลกระทบของ Dental Phobia ต่อสุขภาพช่องปาก

  • ฟันผุเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษา

  • เหงือกอักเสบ และเสี่ยงต่อโรคปริทันต์

  • การสูญเสียฟันก่อนวัยอันควร

  • กลิ่นปาก และผลกระทบต่อความมั่นใจ

  • ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการต้องรักษาแบบฉุกเฉินแทนที่จะป้องกัน

วิธีรับมือ Dental Phobia ด้วยตัวเอง

  1. เริ่มจาก “ยอมรับ” ความกลัว
    การยอมรับว่าคุณกลัวเป็นก้าวแรกที่ดีที่สุดในการเริ่มจัดการ

  2. ค้นหาและเลือกคลินิกที่มีแนวทางดูแลผู้มีความกลัว
    คลินิกที่ใส่ใจ มีบรรยากาศผ่อนคลาย มีทันตแพทย์ที่พูดจาดีจะช่วยได้มาก

  3. ฝึกเทคนิคหายใจลึก – Mindfulness หรือ Grounding
    เช่น การนับลมหายใจแบบ 4-7-8, การจินตนาการภาพผ่อนคลาย

  4. แจ้งทันตแพทย์ล่วงหน้าเกี่ยวกับความกลัวของคุณ
    แพทย์จะสามารถปรับวิธีการสื่อสารให้คุณรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

เทคนิคของคลินิกทันตกรรมในการลดความกลัว

  • การอธิบายทุกขั้นตอนแบบ “Tell-Show-Do”

  • ใช้เทคโนโลยีช่วยลดเสียง เช่น เครื่องมือทันตกรรมแบบ Ultra Quiet

  • การเปิดเพลงเบาๆ หรือใช้กลิ่นหอมอโรม่าเพื่อผ่อนคลาย

  • ใช้เวลาพูดคุยก่อนการรักษา เพื่อสร้างความไว้ใจ

การใช้ยาชาหรือยาคลายกังวลมีผลดีอย่างไร?

  • ยาชาเฉพาะที่: ช่วยลดความเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

  • ยาคลายกังวล (Sedation Dentistry): มีทั้งแบบพ่นจมูก แบบกิน และ IV sedation

  • เหมาะสำหรับผู้มีภาวะกลัวรุนแรงหรือมีความเครียดสูง

ข้อควรจำ: ควรได้รับการพิจารณาโดยทันตแพทย์เท่านั้น และต้องมีผู้ดูแลร่วมหลังการใช้ยา

Dental Spa: ทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์คนกลัวหมอฟัน

Dental Spa คือคลินิกทันตกรรมที่ให้บริการในบรรยากาศผ่อนคลายแบบสปา โดยผสมผสานศาสตร์แห่ง Wellness กับทันตกรรม เช่น:

  • กลิ่นหอมจาก essential oil

  • นวดไหล่ระหว่างรอ

  • แสงสว่างที่ไม่จ้าเกินไป

  • พื้นที่เงียบสงบ ไม่เหมือนห้องหมอ

ทำให้ผู้ป่วย Dental Phobia ค่อยๆ ลดความกังวลลง และเริ่มมองการพบทันตแพทย์ในมุมใหม่

บริการทันตกรรมที่เหมาะกับผู้มี Dental Phobia

  • ตรวจสุขภาพฟันแบบ Digital Scan ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือสัมผัสเยอะ

  • ขูดหินปูนแบบ Gentle Touch

  • ฟอกสีฟันระบบเย็น ไม่มีอาการแสบ

  • ทันตกรรมแบบ Laser ที่ไม่ใช้เข็มหรือสว่าน

เคล็ดลับสำหรับครอบครัวในการช่วยเหลือเด็กหรือผู้สูงอายุที่กลัวหมอฟัน

  • อย่าหลอกหรือบอกว่าจะ “ไม่เจ็บ” แต่ควรพูดความจริงอย่างอ่อนโยน

  • ให้เด็กหรือผู้สูงวัยได้รู้จักคลินิกล่วงหน้า เช่น ไปเยี่ยมชม

  • ใช้หนังสือนิทานหรือแอนิเมชันช่วยอธิบายเรื่องฟัน

  • ให้รางวัลหรือคำชมเชยหลังการพบทันตแพทย์เพื่อเสริมแรงใจ

สรุป: Dental Phobia ไม่ใช่จุดจบของการดูแลตัวเอง

แม้ความกลัวหมอฟันจะดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่แท้จริงแล้วมันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพร่างกายอย่างมหาศาล “วิธีรับมือ Dental Phobia” ที่ดีที่สุดคือการเริ่มต้นอย่างช้าๆ อย่างมีความเข้าใจ ไม่เร่งรีบ และเลือกทีมแพทย์หรือคลินิกที่เห็นใจ ไม่ตัดสิน พร้อมร่วมมือกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับคุณ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

กลูโคสมีผลอะไรต่อฟัน

กลูโคสมีผลอะไรต่อฟัน

กลูโคส หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อเรียกง่ายๆ ว่า “น้ำตาล” เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน กลูโคสก็เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่แอบทำร้ายฟันของเราแบบไม่รู้ตัว หลายคนอาจเข้าใจว่าน้ำตาลทำให้ฟันผุ เพราะติดอยู่บนผิวฟัน แต่ความจริงแล้ว กลูโคสส่งผลกระทบที่ลึกกว่านั้น ทั้งต่อเคมีในช่องปาก ต่อแบคทีเรีย และแม้กระทั่งระบบป้องกันตัวเองของเหงือกและเนื้อเยื่อในปาก

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า กลูโคสมีผลอะไรต่อฟัน ตั้งแต่ระดับชีวเคมีจนถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการดูแลช่องปากให้รอดพ้นจากภาวะฟันผุและโรคเหงือกที่มากับน้ำตาลอย่างชาญฉลาด

Table of Content

กลูโคสคืออะไร และทำไมร่างกายถึงต้องการ

กลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะสมอง กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง มนุษย์สามารถได้รับกลูโคสจากอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง ผลไม้ และของหวานต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับในปริมาณที่มากเกินไป และโดยเฉพาะในรูปแบบของ “น้ำตาลเชิงเดี่ยว” ที่ดูดซึมเร็ว จะส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงสุขภาพช่องปากอย่างเลี่ยงไม่ได้

กลูโคสมีผลอะไรต่อฟันในระดับชีวเคมี?

เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาล แบคทีเรียในช่องปากจะเริ่มทำงานทันทีโดยเปลี่ยนกลูโคสเป็นกรด ซึ่งกรดนี้จะไปทำลายเคลือบฟัน (enamel) ซึ่งเป็นแนวป้องกันด่านแรกของฟัน

ในระยะยาว กรดเหล่านี้จะก่อให้เกิดรูผุเล็กๆ ที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ จนกลายเป็นฟันผุ (cavities) ซึ่งไม่เพียงแค่เจ็บปวด แต่ยังทำลายโครงสร้างฟันอย่างถาวร

น้ำตาลและแบคทีเรียในช่องปาก: ศัตรูคู่ฟัน

ในช่องปากของเรามีแบคทีเรียนับล้านสายพันธุ์ที่อยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะ Streptococcus mutans ที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตกรดจากน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวฟันโดยตรง

เมื่อบริโภคกลูโคสบ่อยครั้ง แบคทีเรียจะยิ่งมีแหล่งอาหารเพียงพอในการผลิตกรดอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นสภาวะที่ฟันต้องเผชิญกับกรดอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ทันได้สร้างเคลือบป้องกันใหม่

กลูโคสกับการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรดในปาก

กลูโคสไม่เพียงแค่เพิ่มกรดในปากจากแบคทีเรียเท่านั้น แต่ยังทำให้ค่าพีเอช (pH) ในช่องปากลดลงจนเข้าสู่สภาวะกรดที่เป็นอันตราย เมื่อค่า pH ต่ำกว่า 5.5 เคลือบฟันจะเริ่มละลาย ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า decalcification หรือการสูญเสียแร่ธาตุจากฟัน

ผลของกลูโคสต่อโรคเหงือกและฟันผุ

  • ฟันผุ: อย่างที่กล่าวไปแล้ว การได้รับกลูโคสบ่อยครั้งโดยไม่แปรงฟันหรือบ้วนปากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุอย่างมาก

  • โรคเหงือก: น้ำตาลกระตุ้นการสะสมคราบพลัค (plaque) ซึ่งหากไม่ได้กำจัดออก จะกลายเป็นหินปูน (calculus) และกระตุ้นการอักเสบของเหงือก หรือ เหงือกอักเสบ (gingivitis) ไปจนถึง ปริทันต์อักเสบ (periodontitis) ในระยะรุนแรง

กลูโคสกับผู้ป่วยเบาหวาน: ผลกระทบที่ต้องระวัง

ผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีระดับกลูโคสในเลือดสูง ซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ช่องปากอักเสบง่าย ติดเชื้อได้เร็ว และแผลหายช้า หากควบคุมน้ำตาลไม่ดี อาจเกิดปัญหาช่องปากเรื้อรังจนสูญเสียฟันได้

ข้อควรระวัง:

  • ตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง

  • ใช้ยาสีฟันที่เสริมฟลูออไรด์

วิธีลดผลกระทบของกลูโคสต่อฟันอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ลดความถี่ในการบริโภคน้ำตาล แทนที่จะทานจุกจิกทั้งวัน ให้กินเป็นมื้อ

  2. แปรงฟันหลังอาหาร โดยเฉพาะหลังทานของหวานไม่เกิน 30 นาที

  3. ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรไม่มีน้ำตาล หรือมีส่วนผสมของ xylitol

  4. เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล เพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำลายที่ช่วยปรับสมดุล pH

  5. เข้ารับการเคลือบฟลูออไรด์ กับทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง

แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้บริโภคน้ำตาลสูง

  • ยาสีฟันสูตรฟลูออไรด์เข้มข้น เช่น ยี่ห้อที่แนะนำโดยทันตแพทย์

  • ไหมขัดฟัน (Dental Floss) ช่วยลดคราบพลัคที่น้ำตาลเกาะติด

  • น้ำยาบ้วนปากสูตรป้องกันแบคทีเรีย โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานของหวานบ่อย

  • ผลิตภัณฑ์เสริมแร่ธาตุฟัน เช่น เจล remineralizing เพื่อซ่อมแซมฟันที่เริ่มเสียแร่

คำแนะนำเพิ่มเติม: เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำตาลซ่อน หรือมีส่วนผสมของสารทดแทนน้ำตาลที่ไม่ก่อให้เกิดกรด เช่น Xylitol หรือ Stevia

สรุป: ความเข้าใจใหม่ที่คุณควรมีต่อ “กลูโคส” และสุขภาพฟัน

แม้ว่ากลูโคสจะจำเป็นต่อร่างกาย แต่หากบริโภคโดยไม่ระวังหรือไม่มีการดูแลช่องปากอย่างเหมาะสม กลูโคสก็อาจกลายเป็นศัตรูเงียบที่ทำลายฟันไปทีละน้อยแบบไม่รู้ตัว ความเข้าใจในกลไกของน้ำตาลต่อเคลือบฟัน แบคทีเรีย และภูมิคุ้มกันในช่องปาก จะช่วยให้เรารู้วิธีป้องกันและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างชาญฉลาด

หากคุณหรือคนรอบตัวเป็นผู้ที่บริโภคน้ำตาลบ่อย อย่ารอให้ฟันผุก่อนแล้วค่อยรักษา เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลช่องปากจากภายใน เพราะรอยยิ้มที่มั่นใจ เริ่มจากฟันที่แข็งแรง… และฟันที่แข็งแรง เริ่มจากความเข้าใจในคำถามง่ายๆ ว่า “กลูโคสมีผลอะไรต่อฟัน” อย่างแท้จริง

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม