จริงหรือไม่ ทำนาย ฝันว่าฟันหลุด จะเสียของรักจริง

จริงหรือไม่ ทำนาย ฝันว่าฟันหลุด จะเสียของรักจริง

คนไทยกับความเชื่อเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ฝันที่สามารถบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าในอนาคตได้ หนึ่งในนั้นคือ ฝันว่าฟันหลุด เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า ถ้าฝันว่าฟันหลุด จะมีญาติตาย แล้วความฝัน ฟันหลุด กับการเสียชีวิตมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ฝันลักษณะนี้สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง และมันจะเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเปล่า ไปหาคำตอบได้ในบทความนี้

ความฝันเกิดจากอะไร

ก่อนที่เราจะไปทำนายฝันว่าฟันหลุดนั้น เรามารู้จักกับกระบวนการทำให้เกิดความฝันกันก่อนค่ะ หากพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ ความฝันเกิดจากกระบวนการทำงานของสมองที่ใช้ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นในแต่ละวันทิ้งไป และเลือกชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ซึ่งจะถูกจัดเก็บในคลังของหน่วยความจำระยะยาว

สารพัดคำทำนายฝันว่าฟันหลุด

คนโบราณเชื่อว่า ถ้าฝันว่าฟันหลุด ฟันหัก ฟันแตก เป็นลางบอกเหตุร้ายว่าจะมีผู้ใหญ่ในบ้านหรือญาติผู้ใหญ่เจ็บป่วยบ้าง เสียชีวิตบ้าง ซึ่งฟันแต่ละซี่จะให้ความหมายที่แตกต่างกัน เราได้รวบรวมเอาไว้ข้างล่างนี้แล้ว

ฝันว่าฟันหลุด

การฝันว่าฟันหลุด ความหมายจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่งของฟันที่หลุด แต่ความหมายรวม ๆ คือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ครอบครัว หรือญาติผู้ใหญ่เจ็บป่วย สามารถแก้เคล็ดได้ด้วยการหมั่นทำบุญเพื่อเสริมดวงชะตาให้ชีวิตดีขึ้น จากหนักจะได้กลายเป็นเบา ซึ่งฟันแต่ละตำแหน่งที่ว่านั้นได้แก่

  • ฝันว่าฟันบนหลุด ทำนายว่า ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายบิดาอาจจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพ  เจ็บป่วย หรือเกิด

ไม่คาดฝันถึงชีวิต โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อ และมีเกณฑ์จะได้รับลาภลอย หรือมีโชคทางการค้า

  • ฝันว่าฟันล่างหลุด ทำนายว่า ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาอาจจะมีปัญหาด้านสุขภาพ เจ็บป่วย หรือเกิด

ไม่คาดฝันถึงชีวิต โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่ ถือเป็นฝันที่ไม่ค่อยดี แต่จะมีเกณฑ์ได้รับโชคทางการค้า หน้าที่การงานดีขึ้น

  • ฝันว่าฟันหน้าหลุด ทำนายว่า ช่วงนี้อย่าทุ่มเทอะไรเกินตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เพื่อน หรือความรัก

และให้ระวังเรื่องของสุขภาพ อาจมีอาการปวดข้อ ปวดกระดูก หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมา 

ฝันว่าฟันร่วงหมดปาก

ฝันว่าฟันร่วงหมดปาก ทำนายว่า คุณอาจมีเกณฑ์ได้เดินทางไกล หรือไปต่างประเทศ ระวังเรื่องของอารมณ์ให้ดี เพราะอาจมีเรื่องทะเลาะกับคนรอบข้าง และคุณมีเกณฑ์ได้เปลี่ยนงานใหม่ หรือมีเรื่องที่ต้องให้เปลี่ยนงาน ระวังโดนแทงข้างหลัง หรือมีคนนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

ฝันว่าฟันแตก

ฝันว่าฟันแตก ทำนายว่า คุณจะมีเรื่องให้เสียเงินทอง ทรัพย์สิน และของอันเป็นที่รักของคุณ และเอาใจใส่ผู้ใหญ่ในบ้านมากขึ้น

ฝันว่าฟันโยก

ฝันว่าฟันโยก ทำนายว่า อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับเพื่อนหรือคนสนิท เกิดอุบัติเหตุทำให้เจ็บตัว หรืออาจเจ็บป่วยได้

จำนวนของฟันที่หลุดก็ทำนายได้

นอกจากฝันว่าฟันหลุดจะทำนายความฝันได้แล้ว จำนวนของฟันที่หลุดก็ยังมีความหมายเช่นกัน ได้แก่

  • ฝันว่าฟันบนหลุด 1 ซี่ ทำนายว่า ระวังคนอายุน้อยกว่าจะสร้างปัญหาให้ ระวังการโดนนินทา การเงิน

ระวังค่าใช้จ่าย การงานมีการโยกย้ายในทางที่ดี

  • ฝันว่าฟันล่างหลุด 1 ซี่ ทำนายว่า ได้พบมิตรใหม่เป็นเพศตรงข้ามนำโชคมาให้ คนมีคู่หากมีปัญหา

กันอยู่จะได้กลับมาคืนดี ระวังของหาย เงินถึงมีปัญหาจะมีคนยื่นมือมาช่วย

  • ฝันว่าฟันบนหลุด 2 ซี่ ทำนายว่า ระวังมีปากเสียงกับคนรัก หรือขัดแย้งกับคนใกล้ตัว ด้านการงานให้

รอบคอบเพราะอาจโดนตำหนิได้ อาจเสียทรัพย์จากข้าวของที่เสียหาย

  • ฝันว่าฟันล่างหลุด 2 ซี่ ทำนายว่า จะมีคนพูดรบกวนจิตใจ ระวังศัตรูคิดร้าย ความรักมีคนรุมจีบที่

อายุมากกว่ามาจีบ ถ้าคิดทำธุรกิจช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดี

แม้ว่าการฝันว่าฟันหลุด ฟันหัก จะเป็นสิ่งที่คนโบราณเชื่อต่อ ๆ กันมา แต่ก็อย่าลืมที่จะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาทเป็นดีที่สุด และหมั่นทำบุญทำกุศล ก็จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน ตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทำฟัน #ตรวจสุขภาพฟัน

หลังจัดฟัน ไม่ใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม

ไขข้อสงสัย หลังจัดฟัน ไม่ใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม?

ไขข้อสงสัย หลังจัดฟัน ไม่ใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม?

เดี๋ยวนี้ถ้าฟันไม่สวย การจัดฟันก็ถือเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ สามารถกลับมายิ้มได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง แต่กว่าจะฟันสวยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ แถมหลังจัดฟันเสร็จแล้ว ก็ใช่ว่ากระบวนจะจบแค่การถอดเครื่องมือ เพราะคุณยังต้องมีไอเท็มคู่ใจอย่าง “รีเทนเนอร์” ที่เรียกว่าต้องใส่กันตลอดชีวิตนั่นแหละ หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าหลังจัดฟันแล้ว ไม่ใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม? เราจะมาหาคำตอบนี้กัน

รีเทนเนอร์ คืออะไร

รีเทนเนอร์ (Retainer) คือเครื่องมือที่ช่วยรักษาสภาพฟันให้คงอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ให้ฟันเคลื่อนตัวหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันไปแล้ว และสามารถถอดออกได้ด้วยตัวเอง

ระยะเวลาที่ควรใส่รีเทนเนอร์

อย่างที่เกริ่นในตอนต้น ว่ารีเทนเนอร์ใช้คงสภาพฟันหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว ซึ่งรีเทนเนอร์จะช่วยคงสภาพฟันนั้นไว้ให้เหมือนตอนยังมีเครื่องมือจัดฟัน เพื่อให้แน่ใจว่าตำแหน่งการกัดของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงแนะนำว่าควรใส่รีเทนเนอร์อย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปีแรกหลังถอดเครื่องมือจัดฟัน และในช่วงสองปีเป็นต้นไป สามารถใช้เฉพาะช่วงเวลากลางคืนได้สัก 3-5 คืน / สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะฟันของแต่ละบุคคลด้วย

หลังจัดฟัน ไม่ใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม

หลังจัดฟัน หากไม่ใส่รีเทนเนอร์คงสภาพฟันเหมือนตอนที่จัดฟัน จะส่งผลให้ฟันเริ่มเคลื่อนตัว เกิดฟันห่าง นำไปสู่ฟันล้มได้ นั่นหมายความว่าคุณอาจจะต้องกลับมาจัดฟันใหม่อีกรอบ เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ไม่จัดฟันสามารถใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม

คำถามนี้นับว่าเป็นคำถามที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ เลยค่ะ มาจากการกระแสการใส่รีเทนเนอร์เป็นแฟชั่นนั่นเอง แน่นอนว่ารีเทนเนอร์ทำมาเพื่อคนจัดฟันโดยเฉพาะ แต่หลายคนก็อยากรู้ว่าแล้วคนทั่วไปที่ไม่ได้จัดฟันสามารถใส่รีเทนเนอร์ได้หรือไม่ การใส่รีเทนเนอร์โดยที่ยังไม่ได้จัดฟัน หรือใส่รีเทนเนอร์ในผู้ที่มีฟันซ้อนเก อาจทำตัวรีเทนเนอร์แตกหรือหักได้ เพราะฟันยังไม่ได้ถูกจัดเรียงในตำแหน่งที่เหมาะสม ดังนั้นรีเทนเนอร์ควรใช้ในผู้จัดฟันแล้วจึงจะเหมาะสมที่สุด

การดูแลและทำความสะอาดรีเทนเนอร์

เนื่องจากรีเทนเนอร์เป็นของคู่ใจคนจัดฟัน ดังนั้นหากจะให้รีเทนเนอร์สามารถที่จะใช้งานได้ยาวนาน จึงควรต้องดูแลด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • การใช้แปรงขนนุ่นและยาสีฟันที่เราใช้ปกติ ขัดถูเบา ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรืออาจจะแช่เม็ดฟู่

ทำความสะอาดรีเทนเนอร์ก็ได้

  • สิ่งสำคัญคือการดูแลรีเทนเนอร์ เพราะรีเทนเนอร์นั้น ควรจะอยู่เพียงแค่ 2 ที่เท่านั้น คือในปากของเรา

และในกล่องสำหรับเก็บรีเทนเนอร์ ไม่ควรวางทิ้งหรือห่อกระดาษชำระวางเอาไว้ เพราะอาจจะเกิดการกระแทกจนทำให้รีเทนเนอร์ของเราเสียหาย และเสี่ยงกับการลืมเป็นอย่างมาก

  • สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดคือการแช่รีเทนเนอร์ในน้ำยาบ้วนปาก และนำรีเทนเนอร์ไปลวกน้ำ หรือแช่

แอลกอฮอลล์ สิ่งเหล่านี้แม้ในความคิดเราคืออยากจะทำให้รีเทนเนอร์สะอาดที่สุด แต่การทำแบบนั้นจะทำให้
รีเทนเนอร์ผิดรูปร่างหรือหดตัว จนไม่สามารถใส่ได้อีกต่อไป

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดควรหมั่นใส่รีเทนเนอร์เป็นประจำ เพราะเชื่อแน่ว่าคงไม่มีใครอยากจะทั้งเสียเงินและเสียเวลาเพื่อที่จะเริ่มจัดฟันใหม่กันหลาย ๆ รอบแน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมหมั่นดูแลรักษารีเทนเนอร์ของคุณให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน จัดฟัน ทำรีเทนเนอร์
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#จัดฟัน #รีเทนเนอร์

7 วิธีแก้ปวดฟันเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น

7 วิธีแก้ปวดฟันเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น

7 วิธีแก้ปวดฟันเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น พร้อมแนะวิธีรักษาที่ถูกต้อง

อาการปวดฟันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อาจจะปวดมากแล้วพาลไปปวดหัวก็ได้เช่นกัน ซึ่งอาการปวดฟันก็เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมักจะนำทั้งความเจ็บปวด ความรำคาญใจ รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน จนต้องหาวิธีแก้ปวดฟันกันสักหน่อย ซึ่งได้รวบรวมวิธีแก้ปวดฟันไว้ในบทความนี้ และคำแนะนำการรักษาดี ๆ มาฝากกัน

วิธีแก้ปวดฟันแบบฉับพลัน

อย่างกล่าวไปในตอนต้นว่าอาการปวดฟันเกิดมาจากหลายสาเหตุ จึงทำให้วิธีแก้ปวดหัวมีหลากหลายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถไปพบทันตแพทย์ได้ทันที เรามีวิธีแก้ปวดฟันดังนี้

  1. ทำความสะอาดเศษอาหารที่ติดฟัน วิธีแก้ปวดฟันที่ทุกคนควรทำตาม โดยควรใช้ไหมขัดฟันทำ

ความสะอาดเศษอาหารที่ติดตามซอกฟันทั้งสองด้านในบริเวณที่มีอาการปวดอย่างระมัดระวัง จากนั้นให้บ้วนปากและกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้เศษอาหารหลุดออก เสร็จแล้วจึงบ้วนน้ำทิ้ง

  1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน เช่น การรับประทานของเย็นจัดหรือร้อนจัด, การ

รับประทานอาหารที่มีรสหวานจัดหรือเปรี้ยวจัด เป็นต้น

  1. หลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณที่มีอาการปวดฟัน หากเรายังกระทบกระแทกบริเวณที่มีอาการปวด อาจจะทำให้อาการยิ่งแย่ลงและปวดมากขึ้น รวมถึงควรรับประทานอาหารที่นิ่ม เคี้ยวง่าย

เพื่อลดภาระการบดเคี้ยวของฟัน

  1. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ เป็นวิธีแก้ปวดฟันแบบเบสิกที่ช่วยในการกำจัดแบคทีเรียในช่องปากและยัง

ช่วยลดอาการปวดฟันได้ด้วย วิธีทำ ให้ผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 250 มิลลิลิตร จากนั้นให้อมและกลั้วปากประมาณ 30 วินาที แล้วจึงบ้วนทิ้ง

  1. รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ดยปกติจะรับประทานยา

แก้ปวดครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง หรือรับประทานเฉพาะตอนมีอาการปวดเท่านั้น

  1. การประคบเย็น เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปวดฟันได้ โดยเป็นการใช้ความเย็นเพื่อทำให้บริเวณที่ประคบเกิด

อาการชา ทำได้โดยใช้น้ำแข็งก้อนห่อด้วยผ้าบาง ๆ แล้วนำมาประคบบริเวณกรามข้างที่มีอาการปวดฟันประมาณ 10-15 นาที แล้วหยุดพัก จากนั้นให้ประคบต่อตามความจำเป็น โดยให้ตรวจดูว่าบริเวณที่ปวดหายเป็นปกติหรือยังก่อนที่จะประคบอีกครั้ง

  1. ใช้ถุงชาประคบบริเวณที่ปวด เช่น ชาดำที่มีสารแทนนินที่ช่วยลดอาการบวม หรือชาสมุนไพร

เปปเปอร์มินต์ที่มีฤทธิ์อ่อน ๆ ทำให้รู้สึกชาและบรรเทาอาการปวดได้เช่นกัน ส่วนวิธีการใช้ให้นำถุงชาไปอุ่นในไมโครเวฟ โดยใส่ไว้ในถ้วยที่มีน้ำประมาณ 30 วินาที เพื่ออุ่นถุงชา จากนั้นบีบน้ำที่ชุ่มออก แล้ววางถุงชาบนบริเวณที่มีอาการปวดฟันหรือเหงือกและกัดเบา ๆ จนกว่าอาการปวดจะทุเลาลงไป

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรไทยบางชนิดที่สามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้เช่นกัน อย่างกานพลู สมุนไพรแก้ปวดฟันที่นิยมใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการชาและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สำหรับกานพลูทั้งดอก ให้นำมาเคี้ยวแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟัน หรือจะนำดอกมาตำให้พอแหลกผสมกับเหล้าขาวเล็กน้อยพอแฉะ แล้วใช้สำลีชุบจิ้มหรืออุดฟันที่ปวด

วิธีการรักษาอาการปวดฟันอย่างถูกต้อง

เรารู้วิธีแก้ปวดฟันแล้ว แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วิธีดังกล่าวนั้นเป็นเพียงการบรรเทาอาการปวดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นหากอาการปวดฟันยังไม่หาย แนะนำให้ไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คช่องปาก เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าอะไรทำเรามีอาการปวดฟัน

เราก็ได้รู้วิธีแก้ปวดฟันกันไปแล้ว ทางที่ดีควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาให้ตรงจุด แต่ถ้าหากมีความจำเป็น
จริง ๆ วิธีแก้ปวดฟันที่นำเอามาฝากกัน ก็พอจะยืดระยะเวลาออกไปได้

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน ตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทำฟัน #ตรวจสุขภาพฟัน

ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ฟันล้ม ภัยร้ายของคนจัดฟันที่ป้องกันได้

ปัญหาสำหรับคนจัดฟัน ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือหรือการกินอาหารแล้วเศษอาหารชอบติดตามซอกเหล็ก แต่อีกหนึ่งเรื่องคือปัญหาฟันล้ม จัดฟันมาแล้วฟันล้ม แต่รู้หรือไม่คะว่าปัญหาฟันล้มไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนจัดฟันอย่างเดียว แต่ยังสามารถเกิดขึ้นกับคนทั่วไปได้อีกด้วย เราจะมาดูกันค่ะว่าฟันล้มที่ว่าเป็นอย่างไร สาเหตุ และวิธีป้องกันจะมีอะไรบ้าง

ฟันล้มเป็นอย่างไร

ฟันล้ม เป็นการเคลื่อนที่ของฟันที่ล้มหรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อหาความสมดุลหรือเพื่อยึดเกาะฟันซี่ที่อยู่ข้างเคียงหรือที่เราเรียกกันว่าฟันเกนั่นเอง มักจะพบได้ในฟันซี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ฟันที่ถูกถอนออกไปจนเกิดช่องว่างระหว่างฟัน  แล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอมทดแทน หรือหลังจัดฟันแล้ว ไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันเอาไว้

เราต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าโดยปกติแล้วฟันของคนเราจะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัญหาช่องปากของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

สาเหตุที่ทำให้เกิดฟันล้ม

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าฟันล้มไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในคนที่จัดฟันเท่านั้น แต่ในคนทั่ว ๆ ไปก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งจะมีสาเหตุดังนี้

  1. ถอนฟันออกไปแล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอม
  2. จัดฟันเสร็จแล้วแต่ไม่ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟัน
  3. อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  4. มีความผิดปกติของขากรรไกร ซึ่งอาจจะเป็นตั้งแต่กำเนิดหรือเพิ่งมาเป็น

การแก้ไขภาวะฟันล้ม

ในเมื่อเรามีภาวะฟันล้มไปแล้ว การป้องกันอาจจะสายเกินไป เราควรมาดูวิธีแก้ปัญหาฟันล้มกันค่ะ ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • ใส่ฟันปลอม เป็นการรักษาภาวะฟันล้มได้เป็นอย่างดี เพราะการใส่ฟันปลอมถือว่าเป็นการปิด

ช่องว่างระหว่างฟันเพื่อป้องกันการล้มเอียงของฟันได้ ซึ่งฟันปลอมจะมีทั้งแบบฟันปลอมถาวรและแบบชั่วคราว ฉะนั้นแล้วเราควรเลือกใส่ฟันปลอมที่เหมาะกับเราเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยฟันปลอมทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการยอมรับ ก็คือการทำรากฟันเทียม

  • จัดฟัน อย่าลืมว่าฟันล้มก็คือฟันเก ดังนั้นการจัดฟันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ค่ะ เพราะการจัดฟัน

เป็นการใช้เหล็กหรือลวดดึงฟันให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือตำแหน่งเดิม ซึ่งการจัดฟันก็มีหลายรูปแบบ และมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป

วิธีป้องกันฟันล้ม

การเกิดภาวะฟันล้มไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน หากเกิดขึ้นแล้วต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่ทั้งนี้เราสามารถป้องกันฟันล้มได้ด้วยค่ะ ซึ่งมีวิธีดังนี้

  • ใส่รีเทนเนอร์ ในคนที่จัดฟันเสร็จแล้ว ไม่ควรละเลยการใส่รีเทนเนอร์ เพราะหลังจากที่เราถอดเครื่องมือ

จัดฟันแล้ว ฟันของเราก็เสี่ยงที่ล้มเอียงได้ ดังนั้นเราจึงต้องใส่เครื่องมือกันฟันล้มเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดฟันใหม่อีกรอบ จะกลายเป็นเรื่องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

  • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดฟันและสุขอนามัยภายในช่องปาก เพราะการดูแลความสะอาดถือเป็น

ขั้นตอนแรกที่สำคัญ สามรถตัดปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ฟันผุจนต้องถอนฟันและนำมาซึ่งปัญหาฟันล้มเอียงได้

  • ควรไปพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันและช่องปาก หากพบความผิดปกติจะได้

สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที

เมื่อรู้อย่างนี้ การไม่ปล่อยให้ฟันล้มน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ อย่าลืมหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของฟัน หมั่นใส่รีเทนเนอร์เป็นประจำ เพื่อคงสภาพฟันเอาไว้ เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครที่อยากจะจัดฟันซ้ำไปมาอย่างแน่นอน

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#จัดฟัน #ดัดฟัน #ฟันล้ม

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

ข้อเท็จจริง เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

เดี๋ยวนี้ไม่ว่ามองไปทางไหน เราก็มักจะเจอกับยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ก็ดูจะเป็นเรื่องง่ายดีนะคะ ที่ฟันของเราจะได้รับการเคลือบฟลูออไรด์ แค่เพียงแปรงฟันเท่านั้นเอง หรือฟลูออไรด์ในรูปแบบเจลที่เรามักเห็นในคลินิกทำฟันนั่นล่ะ เราสามารถซื้อมาเพื่อเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือเปล่า?

เพราะฟลูออไรด์เป็นสิ่งสำคัญต่อฟันของเรา เป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวฟันของเราไม่ให้ถูกทำลายโดยคราบแบคทีเรียจากการทานอาหารต่าง ๆ เข้าไป และเราอาจจะแปรงฟันไม่สะอาด ทำให้เกิดแบคทีเรียตกค้าง สะสมอยู่บนผิวฟันจนเกิดเป็นฟันผุได้อย่างง่าย ๆ

ฟลูออไรด์มีกี่ประเภท

โดยทั่วไปตามคลินิกทันตกรรมจะพบฟลูออไรด์อยู่ทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่

  1. ฟลูออไรด์ชนิดรับประทาน : เราสามารถพบได้ในน้ำดื่ม หรือน้ำปะปา ในต่างประเทศมักจะมีการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำดื่ม อีกทั้ง เรายังพบฟลูออไรด์ชนิดรับประทานได้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ฟลูออไรด์ชนิดเม็ด, ฟลูออไรด์ชนิดน้ำ
  2. ฟลูออไรด์ชนิดเฉพาะที่ : เราจะสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ชนิด คือ
  3. ฟลูออไรด์เจล : นิยมใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับการเคลือบฟลูออไรด์ทุก ๆ 6 เดือน ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุได้ง่าย ทันตแพทย์จะพิจารณาให้เคลือบถี่ขึ้น
  4. ฟลูออไรด์ที่ผสมในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก : จะมีค่าฟลูออไรด์อยู่ที่ 1,000-1,500 PPM หรือส่วนในล้านส่วน โดยในยาสีฟันเด็กจะต้องมีค่าตัวนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 PPM

เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่

สำหรับคำถามนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันมากเลยค่ะ ซึ่งคำตอบคือ ขึ้นอยู่กับประเภทของฟลูออไรด์ที่ใช้ หากเป็นฟลูออไรด์เจล จะต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ทำให้ แต่หากเป็นฟลูออไรด์ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก รวมถึง ฟลูออไรด์อีกประเภทที่เราเรียกว่า ฟลูออไรด์วานิช (fluoride varnish) ซึ่งเหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี และผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดฟันผุสูง โดยฟลูออไรด์ตัวนี้สามารถป้องกันฟันผุในฟันแท้ได้ 46% และในฟันน้ำนม 33% ซึ่งเราสามารถทำได้เองง่าย ๆ เลยค่ะ

จะทำอย่างไรให้ฟลูออไรด์อยู่ในปากได้นานๆ

ภายหลังจากการเคลือบฟลูออไรด์หรือแปรงฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ งดการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารหลังจากการเคลือบอย่างน้อย 30 นาที เนื่องจากหากเราดื่มหรือรับประทานอาหารทันที ฟลูออไรด์ก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเราสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการแปรงแห้ง ดังนี้

  1. บ้วนน้ำสะอาดก่อนแปรง เพื่อเอาคราบอาหารชิ้นใหญ่ ๆ ออกไปก่อน
  2. บีบยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ โดยแปรงสีฟันไม่ต้องผ่านน้ำ และแปรงได้เลย
  3. ควรแปรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2 นาที แปรงแบบขยับปัดทุกด้าน และอย่าลืมแปรงลิ้นด้วยนะคะ
  4. ถุยฟองออกมาให้มากที่สุด หรือบ้วนน้ำเพียง 1 ครั้งหลังการแปรงฟัน
  5. ไม่ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหลังจากแปรงฟันในทันที นั่นทำให้การแปรงฟันของเราไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

หลังจากขูดหินปูน เราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ต่อได้หรือไม่

การเคลือบฟลูออไรด์หลังการขูดหินปูน จะช่วยป้องกันการเกิดอาการเสียวฟัน แต่ทั้งนี้การเคลือบฟลูออไรด์จะมีในส่วนของค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้นการจะเคลือบหรือการแปรงฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เห็นผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

เราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถเคลือบฟลูออไรด์ได้เองหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับประเภทของฟลูออไรด์และความเหมาะสมในการใช้เป็นสำคัญ ทั้งนี้เราสามารถป้องกันฟันผุได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการแปรงฟันให้สะอาดสม่ำเสมอด้วยวิธีการแปรงแห้งนั่นเอง ฟลูออไรด์เป็นเพียงตัวช่วยให้มากขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #เคลือบฟลูออไรด์ #เคลือบฟันเอง

จัดฟัน invisalign คืออะไร

จัดฟัน invisalign คืออะไร

จัดฟัน invisalign คืออะไร

เดี๋ยวนี้ฟันไม่สวยก็ไม่น่ากังวลเพราะเราสามารถจัดฟันได้ แต่หลายครั้งการจัดฟันแบบโลหะที่ต้องติดเครื่องมือไว้กับฟัน ก็กลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของใครหลายคน ที่อาจจะต้องใช้หน้าตา หรือกับบางคนที่รู้สึกว่าดูแลยาก ทำความสะอาดแต่ละทีก็แสนจะยากเย็น และหากดูแลไม่ดีพอ ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาอีกด้วย ดังนั้นจึงมีนวัตกรรมที่มาตอบโจทย์ปัญหานี้โดยเฉพาะ ที่เราเรียกว่า “Invisalign” จัดฟันเหมือนไม่ได้จัด จะเป็นอย่างไร ไปทำความรู้จักพร้อมกันค่ะ

จัดฟัน Invisalign คืออะไร

จัดฟันแบบใส (Invisalign) เป็นการจัดฟันที่สามารถถอดได้ โดยผู้ทำสามารถทราบผลล่วงหน้าด้วยระบบการรักษา 3 มิติ เทคโนโลยี 3-D ที่ส่งข้อมูลฟันคนไข้ไปยังห้องปฏิบัติการที่ประเทศสหรัฐเพื่อทำการผลิตรูปแบบฟันออกมาเป็นแบบรายบุคคลทำให้การจัดฟันมีประสิทธิภาพสูง

การจัดฟัน invisalign ดีกว่าการจัดฟันรูปแบบอื่นอย่างไร

  • ด้วยเครื่องมือแบบใส ทำให้ดูสวยงามกว่าการจัดฟันแบบธรรมดา ซึ่งเหมาะมากสำหรับใครที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าไปจัดฟันมา
  • มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ฟันเรียงตัวสวย
  • ลดการเกิดแผลและการระคายเคืองภายในช่องปากจากเครื่องมือที่จะมาเกี่ยว
  • สามารถถอดออกได้ และทำความสะอาดฟันได้สะดวกมากขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาการสบฟันได้หลายประเภท
  • แก้ปัญหาฟันเก ฟันห่าง ตั้งแต่ความผิดปกติน้อย ๆ ไปยังความผิดปกติที่รุนแรง
  • ไม่ต้องเสียเวลาไปพบทันตแพทย์บ่อย ๆ

ประเภทของการจัดฟัน Invisalign

สำหรับการจัดฟัน Invisalign เราสามารถแยกประเภทย่อย ๆ ออกมาได้อีก 3 ประเภท ดังนี้

1. Invisalign Express การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันเพียงเล็กน้อย หรือผู้ที่มีการคืนกลับของฟันภายหลังจากการจัดฟัน เนื่องจากไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์

2. Invisalign Lite การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน เหมาะกับผู้ที่มีฟันห่าง ฟันซ้อนเก ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น

3. Invisalign Full การจัดฟันแบบใสประเภทนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี สำหรับผู้ที่มีฟันซ้อนเก หรือความซับซ้อนค่อนข้างมาก อาจเป็นผู้ที่เคยจัดฟันมาก่อน

อายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะที่จะจัดฟัน Invisalign

การจัดฟันแบบใสสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ฟันแท้เริ่มขึ้นจนครับ และขากรรไกรเริ่มมีการเจริญเติบโต ทำให้การขยายหรือลดรูปร่างขากรรไกรเป็นไปได้ง่าย หรือจะรอให้มีการเจริญเติบโตเต็มที่ ช่วงอายุ 18 ปี ก็ได้เช่นกัน

ขั้นตอนในการจัดฟันแบบใส

1. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก พร้อมถ่ายภาพใบหน้า เอกซเรย์ พิมพ์ฟัน และทันตแพทย์จะวางแผนรักษาร่วมกับคนไข้

2. ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3D เพื่อสร้างชุดเครื่องมือจัดฟัน ที่ความใส และบาง พอดีกับฟันแต่ละซี่ ซึ่งเราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งก่อนและหลังการจัดฟันได้

3. จัดส่งทำเครื่องมือจัดฟันแบบใส พร้อมนัดคนไข้เข้ามาเพื่อเตรียมช่องปากและรับเครื่องมือจัดฟัน

4. คนไข้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบการใส่เครื่องมือจัดฟันแบบใสตามตารางที่ทันตแพทย์กำหนด

5. เมื่อจัดฟันแบบใสเสร็จแล้ว ควรใส่รีเทรนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันเหมือนการจัดฟันประเภทอื่น ๆ

การจัดฟัน Invisalign ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่ต้องการความสวยงามและดูแลง่าย รวมถึงมีกำลังมากพอจะจ่าย เพราะปลายทางของการจัดฟันก็ให้ผลที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือการมีฟันที่เรียงตัวสวย และลดปัญหาต่าง ๆ ที่เคยมีลงไปได้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญการดูแลฟันให้ดีก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าคุณจะจัดฟันแบบไหนมาก็ตาม เพียงแค่แปรงฟันอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยดูแลฟันของเราได้แล้วค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ดัดฟัน #จัดฟัน