แม้ว่า “ฟันน้ำนม” จะเป็นฟันชุดแรกที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นมาในช่วงวัยเด็ก และสุดท้ายก็จะหลุดไปตามธรรมชาติเมื่อโตขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า ฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ทั้งในด้านสุขภาพช่องปาก พัฒนาการของใบหน้า การพูด การกิน และการเรียงตัวของฟันแท้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มี “ความเชื่อผิดๆ” เกี่ยวกับฟันน้ำนมที่ยังแพร่หลายในหมู่ผู้ปกครองจำนวนมาก ซึ่งหากยังเข้าใจผิดอยู่ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากของลูกโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับฟันน้ำนม พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมเด็ก เพื่อให้คุณดูแลฟันของลูกได้อย่างถูกต้องตั้งแต่วันนี้
สารบัญบทความ
1. ฟันน้ำนมหลุดอยู่แล้ว ไม่ต้องดูแลก็ได้
ความเชื่อผิดอันดับ 1 ที่พบมากที่สุดในกลุ่มพ่อแม่
ความเข้าใจแบบนี้อาจทำให้ผู้ปกครองละเลยการดูแลฟันของลูกเล็ก โดยคิดว่าฟันจะหลุดไปเองตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง หากฟันน้ำนมเกิดการผุอย่างรุนแรง อาจต้องถอนก่อนเวลาอันควร ซึ่งส่งผลต่อ…
-
การบดเคี้ยวอาหาร
-
การพัฒนาโครงหน้าและขากรรไกร
-
การพูดออกเสียง
-
การเรียงตัวของฟันแท้
หากฟันน้ำนมหายไปก่อนเวลาอันควร ฟันข้างเคียงจะล้มเอียง ทำให้พื้นที่สำหรับฟันแท้หดลง กลายเป็น ฟันซ้อนเก ได้ในอนาคต
2. ฟันน้ำนมผุ ไม่ต้องอุดก็ได้ เดี๋ยวก็หลุด
แม้ฟันน้ำนมจะไม่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีฟันผุแล้วปล่อยทิ้งไว้ จะส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เช่น
-
อาการปวดฟันจนกินข้าวไม่ได้
-
การติดเชื้อที่ลามไปถึงรากฟันหรือเหงือก
-
ฟันแท้ที่อยู่ใต้เหงือกอาจได้รับผลกระทบจากเชื้อโรค
-
เด็กบางคนเกิด ฟันแท้ผิดปกติ เพราะติดเชื้อจากฟันน้ำนม
ดังนั้นทันตแพทย์เด็กจึงแนะนำให้ อุดฟันหรือรักษาตามอาการ แม้จะเป็นฟันน้ำนมก็ตาม
3. เด็กไม่จำเป็นต้องไปหาหมอฟันจนกว่าจะมีฟันแท้
แนวคิดนี้อันตรายมาก เพราะจริงๆ แล้ว เด็กควรไปพบทันตแพทย์ทันทีเมื่อฟันซี่แรกขึ้น (ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี)
การเริ่มพบหมอฟันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยในเรื่อง…
-
การตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้น
-
การให้คำแนะนำเรื่องการแปรงฟันและโภชนาการ
-
การสร้างความคุ้นเคยกับบรรยากาศในคลินิก
หากลูกคุ้นชินตั้งแต่เด็ก จะลดโอกาสการเกิด Dental Phobia ในอนาคต
4. ฟันน้ำนมไม่มีผลกับฟันแท้ในอนาคต
ฟันน้ำนมมีหน้าที่เป็น “ไกด์ไลน์” หรือแนวทางให้ฟันแท้ขึ้นในตำแหน่งที่ถูกต้อง หากฟันน้ำนมสูญเสียก่อนเวลา หรือมีปัญหาเยอะ จะทำให้ฟันแท้:
-
ขึ้นผิดตำแหน่ง
-
ซ้อนเก
-
เบียดแน่น
-
เกิดปัญหาการสบฟัน (Malocclusion)
ซึ่งส่งผลต่อการสบฟัน พูด การเคี้ยว และความมั่นใจในรอยยิ้มของลูกเมื่อโต
5. การแปรงฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกยังไม่จำเป็น
ความจริงคือ ควรแปรงตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น! เพราะแบคทีเรียสามารถสะสมได้แม้จะมีฟันเพียง 1 ซี่ โดยควรใช้แปรงขนอ่อนและยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในปริมาณเท่า “เม็ดข้าวสาร”
เมื่อเด็กโตขึ้น ค่อยๆ ฝึกให้เขาแปรงเอง (แต่ยังต้องมีผู้ปกครองช่วยตรวจซ้ำจนถึงอายุประมาณ 7–8 ปี)
เคล็ดลับการดูแลฟันน้ำนมให้แข็งแรงตั้งแต่เริ่มต้น
-
แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์
-
พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน ตั้งแต่ฟันซี่แรก
-
หลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำหวานก่อนนอน
-
ไม่ให้ลูกดูดขวดนมค้างปากขณะหลับ
-
เสริมฟลูออไรด์เฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยงฟันผุ
หากทำตามนี้ได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก จะช่วยลดโอกาสเกิดฟันผุ ฟันหาย ฟันเก ในอนาคต
บทสรุป: ฟันน้ำนมมีค่ามากกว่าที่คิด
ฟันน้ำนมไม่ใช่แค่ฟันชั่วคราว แต่เป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทั้งปาก ใบหน้า และสุขภาพโดยรวมของเด็ก หากเข้าใจผิดและละเลย อาจสร้างปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวที่แก้ไขได้ยากเมื่อโตขึ้น
สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)
#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม