เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น การศึกษา ประสบการณ์ ชื่อเสียง และวิธีการรักษาของทันตแพทย์จัดฟัน คุณอาจต้องการพิจารณาสถานที่และชั่วโมงการฝึก รวมถึงตัวเลือกค่าใช้จ่ายและการชำระเงิน ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางส่วนที่คุณสามารถปฏิบัติตามเพื่อเลือกทันตแพทย์จัดฟันได้:

กำหนดความต้องการในการจัดฟันของคุณ: ทำรายการข้อกังวลและเป้าหมายในการจัดฟันของคุณ เช่น การจัดฟันให้ตรง แก้ไขฟันเหยิน หรือปรับปรุงการสบฟันของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้คุณพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีประสบการณ์ในการรักษาปัญหาเฉพาะเหล่านี้

วิจัยทันตแพทย์จัดฟันในพื้นที่ของคุณ: มองหาทันตแพทย์จัดฟันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งอเมริกา (AAO) คุณยังสามารถขอคำแนะนำจากทันตแพทย์ทั่วไปหรือเพื่อนและครอบครัว

กำหนดการให้คำปรึกษา: ติดต่อทันตแพทย์จัดฟันหลายคนและนัดหมายการปรึกษาหารือเพื่อพบพวกเขาด้วยตนเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีในการถามคำถามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพและวิธีการรักษาของพวกเขา

ประเมินการปฏิบัติ: พิจารณาสถานที่และชั่วโมงของการปฏิบัติ ตลอดจนความเป็นมืออาชีพและความเป็นมิตรของพนักงาน นอกจากนี้ คุณยังอาจต้องการสอบถามเกี่ยวกับประเภทของตัวเลือกการรักษาที่มี เช่น การจัดฟันแบบดั้งเดิมหรือการจัดฟันแบบใส

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงิน: การจัดฟันอาจมีราคาแพง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงินก่อนตัดสินใจ สอบถามเกี่ยวกับความคุ้มครองของประกันและตัวเลือกทางการเงิน เช่น แผนการชำระเงินหรือส่วนลดสำหรับการชำระเงินล่วงหน้า

ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ คุณจะพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีประสบการณ์ และเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

วิธีทำความสะอาดการจัดฟัน

สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน เช่น เหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟัน เพื่อป้องกันฟันผุและโรคเหงือก เคล็ดลับในการทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟันของคุณมีดังนี้

แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงทุกพื้นผิวของฟัน รวมถึงด้านหน้า ด้านหลัง และด้านบน อย่าลืมแปรงไปรอบ ๆ และใต้ลวดและเหล็กจัดฟันของคุณ

ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน: ใช้แปรงซอกฟันหรือไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างฟันและใต้ลวดจัดฟัน

บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก: ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและทำให้ลมหายใจสดชื่น

ทำความสะอาดเครื่องใช้ของคุณ: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือแปรงอุปกรณ์จัดฟันค่อยๆ ทำความสะอาดเครื่องมือจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟันของคุณ คุณยังสามารถแช่เครื่องมือจัดฟันในสารละลายที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำเพื่อช่วยขจัดคราบพลัคและแบคทีเรีย

ไปพบทันตแพทย์จัดฟันของคุณเป็นประจำ: ปฏิบัติตามกำหนดเวลาที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำสำหรับการตรวจสุขภาพและการปรับ ในระหว่างการนัดตรวจเหล่านี้ ทันตแพทย์จัดฟันของคุณจะตรวจสุขภาพฟันและเหงือกของคุณ และทำการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่จำเป็น

เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะสามารถช่วยรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี และรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้แข็งแรงขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

“อาการร้อนใน” แผลเล็กๆในช่องปากที่สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ  และนำมาซึ่งความรำคาญใจให้กับผู้ที่เป็น ทั้งยังสร้างความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาแปรงฟันหรือรับประทานอาหาร โดยส่วนใหญ่มักพบบริเวณกระพุ้งแก้ม พื้นช่องปากด้านข้างลิ้นหรือใต้ลิ้น และริมฝีปากด้านใน นอกจากนั้น “ร้อนใน” ยังเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว ให้กลับมาดูแลตัวเอง นอกจากนั้น อาการร้อนใน สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เลือกเวลา สิ่งที่สำคัญคือการกลับมาดูที่ต้นเหตุเพื่อจะได้รักษาและป้องกันได้ไม่ให้ลุกลามร้ายแรงต่อไป

ร้อนในมีอาการอย่างไร

ร้อนใน หรือแผลร้อนใน (Aphthous Ulcers) เป็นแผลที่มีขนาดเล็กและตื้น มีสีเหลืองหรือสีขาวล้อมรอบด้วยสีแดง เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือที่เหงือก ในบางรายพบบริเวณด้านในริมฝีปาก แก้มหรือลิ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเวลารับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือการพูดคุยทั่วไป

สาเหตุของอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัยกระตุ้นเสริมดังต่อไปนี้

  • บุคคลในครอบครัวมีประวัติของการเป็นแผลร้อนใน ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงห่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน
  • ความเครียด ความกังวลใจ และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก และธาตุเหล็ก เป็นต้น และการดื่มน้ำน้อยจนเกินไป
  • การตอบสนองต่อแบคทีเรียภายในช่องปาก หรือเชื้อไวรัส
  • เกิดการบาดเจ็บภายในช่องปาก
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การแพ้อาหาร
  • มีแผลกดทับหรือเสียดสีจากฟันปลอมที่หลวมเกินไป หรือเหล็กดัดฟันไม่พอดีกับฟัน
  • การกัดกระพุ้งแก้มของตนเอง

อาการร้อนในลักษณะไหนที่ควรไปพบแพทย์

โดยส่วนใหญ่แผลจากอาการร้อนในจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งอาการดังกล่าว ได้แก่

  • แผลร้อนในที่ใหญ่กว่าปกติ
  • แผลเดิมยังไม่หาย  แต่ก็มีแผลใหม่เกิดขึ้นอีก และมีแผลในช่องปากเกิดขึ้นบ่อยๆ
  • เป็นแผลร้อนในนาน 2 สัปดาห์หรือมากกว่า
  • แผลที่เกิดจากอาการร้อนในลุกลามไปยังบริเวณริมฝีปาก
  • ไม่สามารถรักษาแผลให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
  • เป็นแผลร้อนในพร้อมกับมีไข้สูง

การรักษาอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถรักษาได้ทั้งด้วยตนเองและรักษาตามแนวทางทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้

การรักษาด้วยตนเอง

ถึงแม้ว่าอาการร้อนในจะสามารถหายเองได้ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องรักษาความสะอาดภายในช่องปากควบคู่กันไปด้วย เช่น กลั้วปากด้วยน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน,ควรแปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก,หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดเพื่อให้แผลหายได้เร็วขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลร้อนในได้ เช่น ยาไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)

การรักษาตามแนวทางทางการแพทย์

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นแผลร้อนในมานานมากกว่า 2 สัปดาห์ และรักษาด้วยตัวเองแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ เช่น มีอาการเจ็บและลำบากในการพูดและการรับประทานอาหาร ,มีอาการอ่อนเพลีย,มีไข้ และเกิดการอักเสบของผิวหนังบริเวณข้างเคียง แนะนำไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ยาบ้วนปากต้านแบคทีเรีย หรือยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) หรือยาลิโดเคน (Lidocaine) เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวด ไม่เพียงเท่านั้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาประเภทคอร์ติโคสเตอรอยด์ เช่น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone)ร่วมด้วย

การป้องกันอาการร้อนใน

อาการร้อนใน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถป้องกันได้ เพื่อลดความถี่ในการเกิดแผลร้อนในให้น้อยลงได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  1. การดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปาก
    การดูแลสุขภาพภายในช่องปากด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ช่วยลดการเกิดอาการร้อนในภายในช่องปากได้ ดังนี้
  2. แปรงฟันหลังมื้ออาหารเป็นประจำหรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะทำให้ไม่มีเศษอาหารตกค้างที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในขึ้นได้
  3. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อหลังรับประทานอาหารและก่อนนอน โดยให้เลือกน้ำเกลือที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ใส ไม่มีสิ่งเจือปน
  4. ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟต
  5. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง
  6. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
    ให้พยายามเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภททอด อาหารรสจัด อาหารรสเปรี้ยวจัดอาหารเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ รับประทานผัก ผลไม้หรืออาหารประเภทธัญพืชมากขึ้น งดดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้แผลในปากที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้นมาได้

“ร้อนใน” นอกจากจะเป็นอาการที่สร้างความรำคาญใจแบบเจ็บแปลบให้กับผู้ที่เป็นแล้ว ยังอาจเป็นอาการที่แสดงถึงโรคอื่นๆตามมาด้วยโรคซีลิแอ็ก (ลำไส้เล็กทำงานผิดปกติ) โรคโครห์น (ทางเดินอาหารอักเสบอย่างรุนแรง) หรือ โรคโลหิตจาง ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยต่อไป และนอกจากนั้น อาการร้อนใน ยังแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังเหนื่อยล้า  จึงเป็นเวลาที่จะหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและเพื่ออาการร้อนในเหล่านี้จะไม่มารบกวน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ พร้อมวิธีการเลือกใช้อย่างถูกต้อง

“เหงือก” อวัยวะที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบภายในช่องปาก ที่ทำให้หน้าที่สำคัญในการยึดเกาะฟันไว้ให้ติดกับกระดูกขากรรไกรและเป็นอวัยวะที่ช่วยรองรับแรงในการบดเคี้ยวอาหาร มีลักษณะเป็นขอบเรียบและเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมาย และแน่นอนว่าถ้ามีอาการผิดปกติที่เหงือก อาการก็จะออกมาอย่างชัดเจนและสังเกตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเหงือกบวม หรือเลือดออกตามไรฟัน หรืออาจจะเข้าขั้นสู่การเป็นโรคเหงือกอักเสบเลยก็เป็นได้ โรคเหงือกอักเสบมีที่มาที่ไปอย่างไร และมียาตัวไหนที่สามารถรักษาหรือบรรเทาอาการได้บ้าง เราจะไปเรียนรู้จักโรคนี้ด้วยกันค่ะ

โรคเหงือกอักเสบคืออะไร

โรคเหงือกอักเสบ จะมีลักษณะคือสีของเหงือก ซึ่งแต่เดิมเป็นสีชมพูจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด มีอาการบวมและมีเลือดออกขณะแปรงฟัน หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นโรคปริทันต์  ซึ่งมีการทำลายกระดูกร่วมด้วย และที่สำคัญอาจทำให้สูญเสียฟันได้

สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ

โรคเหงือกอักเสบมีสาเหตุมาจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียเป็นเวลานานในช่องปาก ซึ่งเกิดจากการที่แปรงฟันไม่สะอาด หรือทำความสะอาดช่องปากได้ไม่สะอาดเพียงพอจนทำให้เกิดแบคทีเรีย และกลายเป็นหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟัน และเมื่อหมักหมมเป็นเวลานานเข้าเหงือกก็จะมีการอักเสบและบวมได้ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆที่กระตุ้นให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ เช่น ฟันคุดภายในช่องปาก การใส่เครื่องมือจัดฟัน การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด การขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ รวมไปถึงปัจจัยทางพันธุกรรม

ประเภทอาการของเหงือกอักเสบ

เหงือกอักเสบมีหลายอาการให้สังเกตหลักๆดังต่อไปนี้

  • เหงือกบวมแดง อักเสบ
    อาการลักษณะนี้ เหงือกจะเปลี่ยนจากสีชมพูอ่อน กลายเป็นสีแดงเข้มหรือม่วง และมีอาการบวมโตขึ้นเรื่อยๆจนบิดเนื้อฟัน มีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส นอกจากนั้นยังมีเลือดออกตามไรฟันหรือฟันผุร่วมด้วย
  • เหงือกบวม เป็นหนอง
    ไม่เพียงเหงือกจะบวมโต แต่ยังมีหนองร่วมด้วย เนื่องจากว่า หากเหงือกมีการอักเสบหรือติดเชื้อ บริเวณขอบเหงือกจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วงและมีความคล้ำเกิดขึ้น เมื่อลองกดดูจะมีหนองไหลออกมา
  • อาการรากฟันอักเสบ
    รากฟันอักเสบเป็นอาการที่เส้นเลือดในโพรงประสาทฟันเกิดการอักเสบ ทำให้เหงือกมีหนองเกิดขึ้น ส่วนสีของฟันก็จะคล้ำขึ้น จะรู้สึกเจ็บและเสียวฟันเมื่อเคี้ยวอาหาร หากปล่อยเอาไว้อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เช่นอาจทำให้เกิดการสูญเสียฟัน เป็นโรคที่เกี่ยวกับเหงือก หรืออาจจะลุกลามกลายเป็นมะเร็งในช่องปากก็เป็นได้

ยาแก้เหงือกอักเสบมีอะไรบ้าง

ยาแก้เหงือกอักเสบ ส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ไม่ยากนัก ใช้รักษาในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก แต่ให้อยู่ในการดูแลของเภสัชกร แต่หากอาการหนักหรือมีการปวดฟันร่วมด้วย แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์  เพื่อป้องกันการใช้ยาผิดประเภทและเพื่อการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งยาที่ใช้ในปัจจุบันมี 5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  1. ยาพาราเซตามอล(Paracetamol)
    เป็นยาสามัญประจำบ้านขั้นพื้นฐานที่บรรเทาอาการปวดทั่วไปได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยขนาดการใช้ยาจะอยู่ที่ 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้ไม่ควรรับประทานยาเกินขนาดหรือในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจเกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้
  • ยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(Nonsteroidal anti-inflammatory drug) หรือ “NSAIDs”
    ยาแก้อักเสบประเภทนี้มีอยู่หลายชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), พอนสแตน (Ponstan), ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) หรือ (Diclofenac) เป็นต้น นำมาใช้บรรเทาอาการปวดที่มีระดับปานกลางไปจนถึงมาก  หากรับประทานมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของไตและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ยาเมโทรนิดาโซล(Metronidazole)
    เป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียในร่างกายได้ ในกรณีที่มีอาการปวดฟัน เหงือกบวม หรือเหงือกอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาชนิดนี้เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ยาเมโทรนิดาโซลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ยาเบนโซเคน(Benzocaine)
    เป็นยาชาเฉพาะที่ที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดแผลในปาก ปวดฟัน ปวดเหงือก หรืออาการปวดหูชั้นกลาง เป้นต้น แต่จัดเป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เอง แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือทันตแพทย์เท่านั้น
  • ยาในกลุ่มต้านเชื้อแบคทีเรียหรือแก้อักเสบ
    ในกรณีที่มีหนองร่วมด้วย นั่นคือสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะจ่ายยาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากด้วย เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin), เพนนิซิลิน (Penicillin), เตตร้าซัยคลิน (Tetracyclines) หรือเลโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin) เป็นต้น

การรับประทานยาทุกชนิดมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการใช้ยาสำหรับช่องปากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาเหงือกอักเสบ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารักษาด้วยตัวเอง เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดอันตรายแล้วยังอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ใช้เช่นกัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

หากจัดฟันทั้งที ต้องทานอาหารแบบไหน ถึงจะไม่ติดเหล็กดัด

เคยไหมที่จัดฟันแล้วรู้สึกอยากทานนั่นนี่ และเห็นเมนูที่ชื่นชอบแล้วน้ำลายสอตามมา แต่พอทานแล้วสัมผัสได้ถึงอุปสรรคที่เข้ามา โดยเฉพาะเศษอาหารเข้าตามเหล็กจัดฟัน จนต้องทำความสะอาดที่ยุ่งยากกว่าเดิมอีก การเลือกอาหารที่เหมาะสมต่อกลุ่มคนที่จัดฟัน ถือว่าสำคัญมาก เพราะการจัดฟัน จะต้องสรรหาอาหารสำหรับคนจัดฟันเช่นเดียวกับการปรับตัวอื่นๆ ในชีวิต ในช่วงสองสามวันแรกนั้นยากที่สุด การได้รับการติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน หมายความว่าช่องปากและฟันช่วงนี้จะไวต่อความรู้สึกในวันหลังได้รับการติดตั้งครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องทานอาหารประเภทอ่อนๆ จึงดีที่สุดในช่วงเริ่มต้น

บางทีมันยากที่จะกินให้ถนัดในวันแรก ไม่เพียงแต่ฟันและเหงือกเจ็บตามมา แต่ยังกระทบกระทั่งในช่องปาก ที่อาจจะทำให้ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป มันอาจจะยากที่จะกินอาหารที่ชอบ ในบทความนี้จะมาแนะนำอาหารสำหรับคนจัดฟันสามารถทานได้ โดยถูกหลักโภชนาการ และปลอดภัยต่อสุขภาพฟันในช่วงจัดฟัน จะต้องเลือกที่ไม่บั่นทอนต่อสุขภาพฟัน จะมีเมนูอะไรบ้าง ซึ่งจะขอแนะนำได้ดังนี้ว่ามีอะไรบ้าง

  1. โยเกิร์ต : โยเกิร์ตเป็นอาหารอ่อนๆ ที่บรรจุโปรตีนแสนอร่อย ซึ่งสามารถรับประทานได้เมื่อจัดฟันครั้งแรก โยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บฟัน เต็มไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามิน B6 และ B12 นอกจากนี้ โยเกิร์ตบางชนิดยังมีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ดี โดยรวมแล้ว โยเกิร์ตนั้นดีสำหรับฟันและกระดูกที่แข็งแรง และเหมาะสำหรับการย่อยอาหารขอแนะนำว่าทานโยเกิร์ตไขมันต่ำเพื่อรักษาสมดุลของอาหาร แต่ต้องระวังหลายๆ ยี่ห้อเพิ่มปริมาณน้ำตาลเพื่อให้โยเกิร์ตไขมันต่ำมีรสชาติที่ดีขึ้น
  2. ซุป : เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ หากนึกภาพคุณแม่ได้เตรียมซุปที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ไม่สบายใจมาเป็นเวลานาน แต่ซุปอุ่นๆ เป็นอาหารสำหรับคนจัดฟันครั้งแรก ซุปทำง่ายมากและเป็นอาหารอ่อน แม้แต่ซุปกระป๋องก็อุ่นได้ หากใครชอบทานก๋วยเตี๋ยวทานได้เลย
  3. มันเทศ หรือมันฝรั่งหวานนึ่งสุก : คุณค่าทางโภชนาการของมันฝรั่งหวานเป็นที่รู้จักกันดี เป็นอาหารอเนกประสงค์และนิ่มมากที่สามารถกินได้ทั้งที่ใส่เหล็กจัดฟัน สามารถเตรียมได้หลายวิธี ทั้งอบ นึ่ง ทอด หรือผัด มันฝรั่งหวานมีรสหวานแป้งและแสนอร่อย
  4. ปลา : เนื่องด้วยปลาที่เป็นขุยมีไขมันต่ำและเต็มไปด้วยโปรตีน ปลายังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูงอีกด้วย โอเมก้า 3 นั้นยอดเยี่ยมสำหรับความสามารถในการต้านการอักเสบ ในฐานะที่เป็นสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติ โอเมก้า 3 ที่พบในปลาสามารถลดสัญญาณของการอักเสบ รวมทั้งความเจ็บปวด บวม แดง หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ได้
  5. ผลไม้ : ผลไม้จัดว่าเป็นอาหารสำหรับคนจัดฟัน และผลไม้หลายชนิดเป็นอาหารอ่อนที่สมบูรณ์แบบเมื่อจัดฟันครั้งแรก หากเริ่มจัดฟันในช่วงฤดูร้อน ผลไม้หลายชนิดจะมีความหวานสูงสุด ผลไม้ที่เติมวิตามินซีมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม และสามารถลดปัญหาเหงือกได้
  6. Smoothie : สมูทตี้เป็นหนึ่งในอาหารสำหรับคนจัดฟันที่ดีที่สุดในขณะที่ติดตั้งเครื่องมือครั้งแรก เนื่องจากสามารถทำสมูทตี้ด้วยส่วนผสมต่างๆ ได้ สามารถเพิ่มผลไม้ ผัก และน้ำผลไม้ต่างๆ เพื่อปรับแต่งเนื้อสัมผัสและรสชาติได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาอาหารให้อ่อนนุ่มสำหรับการจัดฟัน
  7. Protein Shake : โปรตีนเชคไม่ได้มีไว้สำหรับนักเพาะกายและนักกีฬาเท่านั้น โปรตีนเชคเป็นสารอาหารที่สมดุล สามารถทำหน้าที่เป็นอาหารทดแทนเมื่อต้องการอาหารระหว่างเดินทาง และไม่สะสมเศษอาหารตามร่องฟัน และสร้างโปรตีนต่อเหงือกดีขึ้น
  8. ข้าวโอ๊ต : ข้าวโอ๊ตมีเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์และอุ่นพอที่จะบรรเทาอาการเมื่อยขณะขยับปาก ข้าวโอ๊ตเป็นหนึ่งในอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารมากที่สุดในโลก อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น เบต้ากลูแคน ประโยชน์ของหัวใจเหล่านี้มีผลอย่างกว้างขวางและข้าวโอ๊ตสามารถลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในกระแสเลือดและลดโอกาสของโรคหัวใจได้

เป็นไงบ้างสำหรับอาหารสำหรับคนจัดฟันที่สามารถทานได้ ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดี ทั้งต่อสุขภาพฟันโดยตรงและสุขภาพอื่นๆ ทางอ้อม ช่วงที่จัดฟันนั้น จะเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวจากสิ่งที่ชอบ เมื่อมีเมนูที่ชอบแต่ยังเจ็บอยู่นั้น ให้อดใจไว้ก่อน อย่าเพิ่งทานอาหารที่เหนียวๆ หนืดๆ หรือแสลงต่อการจัดฟันโดยตรง เช่น ทอฟฟี่ หมากฝรั่ง หรือลูกอม ซึ่งจะทำลายต่อผิวฟัน และอุปกรณ์การจัดฟันเข้ามาด้วย การเลือกทานอาหารก็ยังช่วยให้สุขภาพช่องปากดีในระยะยาวอีกด้วย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร ให้เหมาะกับฟันของเราในยุค 2023

หากใครไปตามคลินิกทันตกรรม หรือไปแผนกทันตกรรมตามโรงพยาบาลต่างๆ จะเห็นได้ว่าทุกปัญหาช่องปากจะแนะนำให้ใช้ “ไหมขัดฟัน” เสมอ โดยเหตุผลหลักๆ ของการใช้ไหมขัดฟันช่วยลดเศษอาหารตามซอกฟัน ขจัดคราบหินปูนระหว่างฟัน ช่วยให้ปากและเหงือกแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งความสะอาดของช่องปากที่ไม่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบ เป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือกที่เหงือกบวมและมีเลือดออกง่าย เหงือกที่แข็งแรงจะไม่มีเลือดออกเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน โดยทั่วไปแล้ว ไหมขัดฟันถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความสะอาดช่องปาก โดยใช้กับบริเวณที่คับแคบระหว่างฟัน ยังสามารถใช้ไหมขัดฟันขูดด้านข้างของฟันแต่ละซี่ขึ้นและลงได้

ทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) เพื่อทำความสะอาด โดยเริ่มตั้งแต่เปิดใช้งานจนกระทั่งใช้เสร็จแล้ว ตามหลักการแล้ว ผู้ป่วยหรือผู้มาใช้บริการทันตกรรม จะใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง เวลาที่ดีที่สุดที่จะใช้ไหมขัดฟันคือตอนกลางคืน โดยช่วงก่อนนอนและก่อนแปรงฟันเป็นช่วงที่สำคัญมาก ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เนื่องจากการแปรงฟันจะช่วยขจัดสารใดๆ ที่ขับออกจากปาก แต่ยังเอาออกไม่หมด จึงต้องมีการใช้ไหมขัดฟันเข้ามา

วิธีการเลือกซื้อไหมขัดฟันนั้น ก่อนอื่นจะต้องเลือกชนิดของไหมขัดฟันเสียก่อน โดยมีวิธีเลือกได้ดังนี้

  1. Unwaxed Floss (ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์) : เป็นไหมขัดฟันที่ใช้กันทั่วไปประเภทหนึ่ง ผลิตจากวัสดุไนลอนที่บิดเป็นเกลียวหลายเส้นเข้าด้วยกัน ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์ไม่มีสารปรุงแต่ง ซึ่งหมายความว่าไหมขัดฟันประเภทนี้ปราศจากสารเคมี ไหมขัดฟันในรูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันเล็กน้อย เนื่องจากมีความบางกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่นมาก ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่จะทำลายและฉีกขาดในช่องปากได้ง่ายกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่น
  2. Waxed Floss (ไหมขัดฟันแว็กซ์) : หรือที่คนไทยเรียกว่า “ไหมเคลือบขี้ผึ้ง” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นไหมขัดฟันที่ถูกสร้างขึ้นคล้ายกับแบบที่ไม่ได้แว็กซ์ด้วยการเติมชั้นแว็กซ์ลงบนไหมขัดฟัน ชั้นเคลือบแว็กซ์นี้ช่วยให้ทนทาน มีความแข็งแรงมากขึ้น จึงไม่ฉีกขาดหรือแตกบนร่องฟันผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทำความสะอาดเลื่อนไปมาระหว่างฟันได้ดีกว่า
  3. Dental Tape (เทปทันตกรรม) : เทปติดฟันหรือเรียกอีกอย่างว่า “แบบหนา” ค่อนข้างคล้ายกับไหมขัดฟันประเภทอื่นๆ ยกเว้นว่ามันหนากว่ามาก มีโครงสร้างที่แบนกว่าซึ่งทำให้นึกถึงเทปธรรมดาชิ้นหนึ่ง เทปติดฟันเหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างขนาดใหญ่และต้องการไหมขัดฟันที่หนากว่า  ในประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหนากว่า เทปพันฟันจึงอาจเข้าไประหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ยาก
  4. Polytetrafluorethylene Floss (PTFE) : ไหมขัดฟันรูปแบบนี้มี Polytetrafluorethylene เป็นวัสดุที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยในรูปแบบของผ้า Gore-Tex วัสดุนี้มีความแข็งแรงมาก แทบไม่ต้องกังวลว่าวัสดุจะฉีกขาดขณะใช้งาน โครงสร้างที่เรียบลื่นทำให้เหมาะสำหรับการเลื่อนเข้าไปในช่องว่างเล็กๆ ระหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ง่าย แต่ต้องระวังสารก่อมะเร็ง
  5. Super floss (ไหมขัดฟันเฉพาะ) : เป็นไหมขัดฟันชนิดพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีสะพานฟัน เครื่องมือจัดฟัน และช่องว่างฟันกว้าง มันมีสามองค์ประกอบหลัก เช่น ไหมขัดฟันธรรมดา ไหมขัดฟันที่เป็นรูพรุน และที่สนปลายแข็ง ผู้ใช้สามารถใช้ไหมขัดฟันใต้สะพานและอุปกรณ์ทันตกรรมอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายเพื่อทำความสะอาดอย่างทั่วถึงเมื่อใช้ที่สนด้าย

วิธีการเลือกไหมขัดฟัน

นอกจากดูชนิดของมันแล้วนั้น จะต้องดูคุณภาพการผลิต คำแนะนำของทันตแพทย์ และวันหมดอายุเสมอ เพื่อเลือกตามลักษณะฟันที่เหมาะสม ไหมขัดฟันแบบหนาอาจทำให้รู้สึกไม่สบายฟันเลย ดังนั้นไหมขัดฟันแบบบางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด รวมถึงไหมขัดฟันแบบขี้ผึ้งสามารถช่วยให้กระบวนการทำความสะอาดช่องปากง่ายขึ้นเล็กน้อย สำหรับคนที่มีฟันห่าง ถ้าใช้ไหมขัดฟันแบบหนาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันอาจต้องการใช้เทปพันฟัน เพียงแต่เทปพันฟัน ไม่ค่อยนิยมมากเป็นวงกว้าง หากใครจะเลือกซื้อจริงๆ อยากให้สอบถามทางเภสัชกร และทันตแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำการใช้ให้เหมาะสมกับสภาพฟันจะดีที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาฟันโยก จะมีความแตกต่างกันระหว่างฟันน้ำนมกับฟันแท้ ในช่วงฟันน้ำนม เป็นสัญญาณของการงอกของฟันแท้ในช่วงเด็กวัย 6-12 ปี หากเป็นฟันโยกของฟันแท้ อาการฟันโยกจะเกิดได้ทั้งการกระแทกของฟัน รากฟันไม่แข็งแรง รวมถึงเกิดจากโรคปริทันต์ โดยจะให้น้ำหนักทางโรคปริทันต์ จะเป็นการติดเชื้อในเหงือกและกระดูกรอบๆ ฟัน ในระยะลุกลามของโรคปริทันต์ อาการฟันโยกเป็นสัญญาณทางคลินิกที่อาจสะท้อนถึงระดับของการทำลายปริทันต์ ที่เกิดจากการติดเชื้อเฉพาะที่ในเหงือกและโครงสร้างรอบๆ ฟัน (เอ็นและกระดูกถุงในฟัน) และกระทบต่อความมั่นคงของเหงือกและฟันในการขบเคี้ยว การติดเชื้อเหล่านี้เกิดจากแบคทีเรีย ที่เกิดจากคราบสิ่งสกปรกสะสมในช่องปากด้วย

ในผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงของอาการฟันโยกค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันแท้ขึ้นครบหมดแล้ว แต่มีความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตบางอย่าง ที่กระทบต่อสุขภาพช่องปาก และเป็นกลุ่มที่พบแผนกทันตกรรมบ่อยมากในวัยนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมฟันผู้ใหญ่จึงมีการโยกออกมา โดยสาเหตุของอาการฟันโยก จะแบ่งได้ดังนี้

สาเหตุของอาการฟันโยก

  1. การบาดเจ็บที่เกิดกับฟันเนื่องจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  หรือการหกล้มอย่างหนักจนมีอาการฟันโยก บางรายอาจจะเกิดจากการเล่นกีฬา เช่น กีฬาต่อสู้ กีฬาฟุตบอล หรือกีฬาที่มีการปะทะหนักๆ
  2. การสบฟันผิดรูป เช่น การสบฟันลึกที่ทำให้ฟันเคี้ยวมากเกินไป ทำให้เคลื่อนตัว การนอนกัดฟันหรือการกัดฟันเป็นนิสัย ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
  3. โรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือก จะมีอาการเหงือกร่น ฝีเหงือก ซีสต์หรือเนื้องอกในขากรรไกร
  4. การสูบบุหรี่ อาการฟันโยกมาจากการสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและช่องปากโดยตรง และทำให้สะสมแบคทีเรียง่ายขึ้น จึงเสี่ยงต่อโรคฟันหรือปริทันต์เข้ามาด้วย

อาการของฟันโยก

อาการฟันโยกที่พบบ่อย ซึ่งสังเกตได้จากความผิดปกติทางกายภาพ โดยเริ่มเสียวฟันโดยรอบ จากนั้นจะมีอาการอื่นๆ ตามมา เนื่องจากสุขภาพช่องปากขาดการดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งจะมีอาการดังนี้

  • ฟันเริ่มโยก
  • รอยแดงของเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน
  • ความเจ็บปวดหรือไม่สบายตามรอบๆ ฟันและเหงือก
  • การเคี้ยวอาหารลำบาก
  • มีอาการเจ็บ หรือมีปัญหาเหงือกที่บอบบาง

หากมีอาการเหล่านี้ ทันตแพทย์จะประเมินสถานการณ์โดยใช้เครื่องมือทางคลินิกและค่อยๆ เช็คช่องปากไปมา หากทันตแพทย์มั่นใจว่ามีอาการฟันโยก ทางทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น บางรายอาจจะต้องเอ็กซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของช่องปากและขากรรไกรร่วมด้วย

วิธีการรักษาฟันโยก

หากตรวจอาการฟันโยกพบว่าเคลื่อนไหวได้เนื่องจากการสบฟันที่ไม่ถูกต้อง จะได้รับคำแนะนำให้รักษาเพื่อแก้ไขการสบฟันเพื่อบรรเทาการบดเคี้ยวที่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพช่องปาก และรบกวนต่อจิตใจ โดยมีวิธีการรักษาได้ดังนี้

  • ในกลุ่มเล่นกีฬาอันตราย จะต้องสวมฟันยางที่ออกแบบโดยทันตแพทย์ เนื่องจากตามร้านอุปกรณ์กีฬา จะไม่ตอบโจทย์ทางทันตกรรมของบุคคลนั้น และไม่รองรับอันตรายต่อฟันได้
  • หากมีซีสต์หรือเนื้องอกทำให้เกิดอาการปวดและเคลื่อนไหวได้ ควรรักษาอาการก่อน แล้วค่อยรักษาอาการฟันโยก เนื่องจากซีสต์จะลุกลามรวดเร็ว และทำให้การบดเคี้ยวไม่ดี
  • การทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีที่คลินิก ซึ่งจะมีการทำความสะอาดโดยทันตแพทย์ การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูน ซึ่งช่วยป้องกันอาการฟันโยกและโรคปริทันต์ได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม
  • ไปที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยปีละสองครั้ง

อาการผิดปกติของฟันโยก เป็นสัญญาณทางทันตกรรมที่ร้ายแรง ไม่ควรมองข้ามอาการฟันโยกเลย เนื่องจากมันเป็นอาการเสี่ยงของโรคปริทันต์ ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายอย่างมากของสุขภาพช่องปาก อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยในช่องปากที่ดี เริ่มจากการรักษาความสะอาดที่บ้าน ทุกคนอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันโยก จนกระทั่งฟันหลุดจากสาเหตุใดๆ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ แต่การดูแลช่องปาก ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น เว้นแต่ในกรณีอาการฟันโยกเกิดจากอาการผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ อยากให้ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรงเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ รวมถึงการรักษาในลำดับต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันอักเสบ..ภัยเงียบที่คุกคามช่องปาก

รากฟันอักเสบ..ภัยเงียบที่คุกคามช่องปาก

“รากฟันอักเสบ” ภัยเงียบที่เป็นปัญหาใหญ่ คุกคามภายในช่องปาก ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระบบหรือส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตา ,ลำคอ,โพรงไซนัส,สมอง ทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอีกด้วย รากฟันอีกเสบเกิดมาจากอะไร ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จะมีความอันตายมากแค่ไหน และจะมีวิธีรักษาหรือป้องกันได้อย่างไรบ้าง เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับรากฟันอักเสบด้วยกัน

สาเหตุของอาการรากฟันอักเสบ

“รากฟันอักเสบ” มักมีสาเหตุมาจาก ปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้

  • ฟันผุหรือฟันที่มีวัสดุอุดลึกจนทะลุไปถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน จนทำให้เกิดอาการปวดฟันขึ้นมาได้  ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะลุกลามไปจนถึงรากฟันข้างใน ยากต่อการรักษามากยิ่งขึ้น
  • ฟันผุซ้ำหรือฟันผุที่เกิดใหม่อยู่ใต้ครอบฟัน
  • ฟันแตกหรือฟันร้าว
  • รากฟันเป็นหนอง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณปลายราก
  • ได้รับแรงกระแทกอย่างหนักที่ฟันหรือมีอุบัติเหตุ ทำให้โพรงประสาทฟันติดเชื้อหรือตาย ทั้งยังสามารถทำลายกระดูกรอบๆฟัน ทำให้มีอาการปวด

สัญญาณเตือนภัยของจุดเริ่มต้นรากฟันอักเสบ

จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังเข้าสู่อาการรากฟันอักเสบ ให้สังเกตจากสักญญาณเตือน ดังต่อไปนี้

  • เหงือกจะมีอาการบวมและแดงมากยิ่งขึ้น จากสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงหรือเป็นสีม่วง
  • รู้สึกเจ็บและเสียวฟันตอนเคี้ยวอาหาร
  • รู้สึกปวดฟันขึ้นมาแบบเป็นๆหายๆ หรืออาจถึงขั้นปวดรุนแรงจนนอนไม่หลับ
  • รากฟันมีตุ่มเป็นหนอง

วิธีการรักษารากฟันอักเสบ

การขั้นตอนการรักษารากฟันอักเสบ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เริ่มจากการกำจัดเนื้อฟันที่ผุ เพื่อเปิดทางเข้าสู่โพรงประสาทฟัน
  2. จากนั้นกำจัดรากฟันที่อักเสบรวมถึงการติดเชื้อต่างๆโดยการล้างด้วยน้ำยาที่มีฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อ
  3. หลายกรณีไม่สามารถรักษารากฟันให้เสร็จภายในครั้งเดียว ทันตแพทย์จะใส่ยาฆ่าเชื้อในคลองรากฟันและอุดวัสดุไว้ชั่วคราว

อาการข้างเคียงจากการรักษารากฟันอักเสบ

หลังจากการรักษารากฟัน จะมีอาการปวดเกิดขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คืออาการปวดระหว่างการรักษาและอาการปวดเมื่อรักษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนี้

  1. อาการปวดระหว่างการรักษา

อาการปวดเกิดขึ้นได้บ่อยๆและเป็นปกติในระหว่างการรักษาอาจจะมีการบวมของเหงือกร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่อาการปวดดังกล่าวหลังการรักษาครั้งแรกนั้นจะเกิดจากการรักษารากฟันในฟันที่มีอาการปวด หรือเริ่มปวด หรือรากฟันกำลังเริ่มอักเสบ แต่จะไม่เกิดในฟันที่ตายแล้วหรือฟันที่เป็นหนอง โดยทันตแพทย์จะขยายและล้างคลองรากฟันโดยไม่ให้เกิดแรงดันที่จะทำให้เศษอาหารถูกดันเข้าไปบริเวณปลายราก

  • อาการปวดหลังการรักษา
    ในกรณีที่คนไข้มีอาการปวดไม่รุนแรงมากนัก ทันตแพทย์จะมีการล้าง ทำความสะอาด แล้วขยายรากฟันหรือกำจัดเส้นประสาทให้หมดก็จะสามารถทำให้อาการปวดทุเลาลงได้ แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการบวมร่วมด้วย ก็อาจจะต้องเปิดระบายโพรงประสาทฟันที่กรอเอาไว้และให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย ซึ่งอาการปวดหลังการรักษา ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่นคลองรากฟันยังไม่สะอาดแล้วอุด ขยายคลองรากฟันไม่หมดหรือฟันแตก ซึ่งอาจจะต้องมีการรื้อและรักษาใหม่ และถ้าหากรักษาไม่ได้อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งในที่สุด

ข้อควรปฏิบัติหลังการรักษารากฟัน

หลังการรักษารากฟันอักเสบ มีข้อควรปฏิบัติเพื่อเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้

  1. ควรระมัดระวังการใช้งานซี่ฟันที่กำลังรักษาราก เนื่องจากเนื้อฟันมีปริมาณที่น้อยลงและฟันจะมีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น
  2. ระหว่างการรักษารากฟันอักเสบ หากวัสดุอุดฟันหลุดออกมา ให้รีบกลับไปพบทันตแพทย์ เนื่องจากเป็นโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เชื้อโรคในช่องปากสามารถเข้าสู่คลองรากฟันได้
  3. การรักษารากฟันอักเสบ เป็นสิ่งที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าหากฟันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานๆ จะทำให้เชื้อโรคทำลายกระดูกที่อยู่รอบๆฟัน นำไปสู่การเกิดตุ่มหนองทั้งภายในช่องปากและบริเวณใบหน้าได้ และถ้าหากกระดูกรองรับฟันถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากก็อาจจะทำให้ไม่สามารถเก็บรักษาฟันซี่นั้นต่อไปได้

การรักษารากฟันอักเสบ เป็นกระบวนการรักษาที่มีความต่อเนื่องและค่อนข้างใช้เวลา ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและสภาพฟันของแต่ละท่าน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการรากฟันอักเสบ ควรหมั่นดูแลสุขภาพปากและฟันให้ดี โดยการไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อเช็คความสะอาดภายในช่องปาก เพื่อป้องกันฟันผุที่จะลุกลามและกลายเป็นอาการของรากฟันอักเสบในที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

“ริมฝีปากแห้ง” ปัญหาสุขภาพจิ๊บๆ ที่แก้ได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง

ปัญหา “ริมฝีปากแห้ง” ปัญหาสุขภาพจิ๊บๆ ที่แก้ได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง

ปัญหาริมฝีปากแห้ง เป็นปัญหาที่ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก แต่จะเห็นรอยแตกตามริมฝีปากอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีแก้ปากแห้ง เพื่อป้องกัน มาจากภาวะที่ต่อมน้ำลายในปากสร้างน้ำลายไม่เพียงพอที่จะทำให้ปากชุ่มชื้นหรือคลุกเคล้าอาหารให้กลืนง่ายตามปกติ อาการริมฝีปากแห้งยังเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดหรือผู้มีอายุมาก หรือเป็นผลมาจากการฉายรังสีรักษามะเร็ง บ่อยครั้งที่อาการปากแห้งอาจเกิดจากภาวะที่ส่งผลโดยตรงต่อต่อมน้ำลาย โดยน้ำลายช่วยป้องกันฟันผุโดยทำให้กรดเป็นกลางที่เกิดจากแบคทีเรีย จำกัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และล้างเศษอาหาร น้ำลายยังช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรสและทำให้เคี้ยวและกลืนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เอนไซม์ในน้ำลายยังช่วยในการย่อยอาหาร และวิธีแก้ปากแห้งจะช่วยลดความแห้งกร้านออกมาแม้แต่ยามแต่งหน้า

น้ำลายและริมฝีปากแห้งที่ลดลงอาจมีตั้งแต่รบกวนการใช้ชีวิต ไปจนถึงบางสิ่งที่ส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อสุขภาพโดยทั่วไป ยังสัมพันธ์ต่อสุขภาพของฟันและเหงือกโดยตรง ตลอดจนความอยากอาหารและความเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร วิธีแก้ปากแห้งขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่ไม่ได้แปลว่าจะแก้ไขไม่ได้เสียทีเดียว โดยจะแบ่งตามลักษณะสาเหตุได้ของริมฝีปากแห้ง ที่มีรอยแตกและเป็นขุย ดังนี้

  • การใช้ยาสูบและแอลกอฮอล์ : การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่หรือเคี้ยวยาสูบอาจทำให้อาการปากแห้งเพิ่มขึ้น และทำให้ริมฝีปากกร้านไว
  • การใช้ยาเสพติด : การใช้ยาบ้าอาจทำให้ปากแห้งอย่างรุนแรงและทำลายฟัน ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า “ยาเสพติด” กัญชาก็ทำให้ริมฝีปากแห้งได้เช่นกัน
  • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ : การดื่มน้ำไม่เพียงพอยังทำให้ริมฝีปากแห้ง เนื่องจากขาดน้ำ ส่งผลต่อความชุ่มชื้นตามร่างกาย และมีโอกาสแห้งแตกจนเกิดเลือดออกมาได้ง่าย
  • ฤดูหนาว : ในช่วงฤดูหนาว หรือบางท้องที่ที่มีหิมะตก จะทำให้ริมฝีปากขาดความชุ่มชื้นมากกว่าปกติ และมีโอกาสแห้งเป็นขุยมากกว่าฤดูอื่น
  • ไม่ยอมทาลิปมัน : การไม่ทาลิปมัน จะทำให้ปากเป็นขุย เนื่องจากไม่มีความชุ่มชื้นเลย สารในลิปมันจะมีวิตามินอี ช่วยให้มีความชุ่มชื้น หรือใครที่แห้งจนเป็นรอยแตก สามารถสมานแผลได้

วิธีการแก้ปัญหาอาการปากแห้ง

               วิธีแก้ปากแห้งสามารถแก้ไขได้ และทำให้หายขาดง่ายกว่าอาการอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่ริมฝีปากแห้งก็ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว โดยสามารถทำได้ด้วยตนเองดังนี้

  • เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ออกแบบมาสำหรับป้องกันปากแห้งโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสารที่มีไซลิทอล จะมีประสิทธิภาพการรักษาความชุ่มชื้นได้ดี เช่น น้ำยาบ้วนปาก Biotene Dry Mouth หรือน้ำยาบ้วนปาก Act Dry Mouth ซึ่งช่วยป้องกันฟันผุได้เช่นกัน
  • ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรทุกๆ วัน เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย และริมฝีปากจะอิ่มน้ำจากภายในอยู่ตลอดเวลา และควรดื่มเป็นประจำทุกวัน
  • หากริมฝีปากแห้งและมีรอยแตกมาก ให้ลองใช้ครีมแบบข้นๆ เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่สีขาว ครีมที่ช่วยกักเก็บน้ำนานกว่าแว็กซ์หรือน้ำมัน รวมถึงทาลิปบาล์มที่ไม่ระคายเคืองด้วยค่า SPF 30 หรือสูงกว่าก่อนออกไปข้างนอก แม้ในฤดูหนาว การปกป้องริมฝีปากจากแสงแดดก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับผิวหน้า
  • การรับประทานอาหารที่เหมาะสม ควรทานอาหารที่มีวิตามินอี เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว ไข่ ข้าวซ้อมมือ ผักใบเขียว ผลไม้ รวมถึงอาหารจำพวกถั่ว เช่น ถั่วแมคคาเดเมีย อัลมอนด์

ริมฝีปากแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ มีโอกาสริมฝีปากแตกเรื้อรังที่รักษาไม่หาย อาจเป็นสัญญาณของภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรงหรือการติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงต่อ actinic Cheilitis ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังระยะแรกที่ต้องได้รับการรักษาทันที ในขณะเดียวกันความเครียดเป็นสาเหตุของอาการปากแห้ง เนื่องจากความวิตกกังวลกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียด และการตอบสนองต่อความเครียดทำให้ร่างกายมีความเครียด ความเครียดและความวิตกกังวลอาจทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ และสิ่งที่สำคัญในวิธีแก้ปากแห้งเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง จะมีอาการขาดน้ำเข้ามา ควรดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีน้ำเพียงพอ ภาวะทุพโภชนาการ การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและการขาดสารอาหารอาจทำให้ผิวหนังและริมฝีปากแห้งกว่าปกติ ซึ่งสามารถลดรอยแตกและเป็นขุยได้ในระยะยาว

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

แก้ปัญหากรามค้างอย่างไร

แก้ปัญหากรามค้างอย่างไรให้ถูกต้อง ถูกวิธี

แก้ปัญหากรามค้างอย่างไรให้ถูกต้อง ถูกวิธี

เคยประสบปัญหาเช่นนี้กันบ้างไหมคะ? รับประทานอาหารอยู่ดีๆ กำลังอ้าปากหาวเพราะกำลังง่วงนอนเต็มที่ หรือกำลังสนทนาพุดคุยกับเพื่อนอย่างเมามัน แล้วอยู่ๆปากที่เคยใช้งานได้ดี ไม่สามารถหุบลงมาได้..ถ้าคุณกำลังมีอาการในลักษณะนี้ เป็นไปได้ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “กร้ามค้าง” ซึ่งอาการนี้เกิดจากความผิดปกติของขากรรไกร ทำให้มีการอ้าปากได้น้อยกว่าปกติ อ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้หรือในบางรายอาจมีอาการปวดร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าได้ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอาการกรามค้างนี้ด้วยกัน พร้อมวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้อาการนี้กระทบต่อการดำเนินชีวิตมากจนเกินไป

อาการกรามค้างคืออะไร

อาการ “กรามค้าง” ในทางการแพทย์เรียกลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “ขากรรไกรค้าง” หรือ “อ้าปากค้าง” ซึ่งเกิดจากภาวะข้อต่อขากรรไกรทำงานผิดปกติ โดยสามารถทำให้เกิดอาการต่างๆดังต่อไปนี้

  • มีอาการปวดบริเวณขากรรไกรด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองข้าง รวมถึงปวดบริเวณรอบๆหูหรือใบหน้า
  • มีอาการเจ็บบริเวณขากรรไกรในขณะที่กำลังเคี้ยวอาหาร ทำให้เคี้ยวอาหารได้ลำบาก
  • มีเสียงดังบริเวณขากรรไกรเมื่ออ้าปากหรือเคี้ยวอาหาร
  • อ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้หรืออ้าปากได้น้อยกว่าปกติ

สาเหตุของอาการกร้ามค้าง

ในปกติทั่วไป ขากรรไกรจะเคลื่อนที่แบบบานพับร่วมกับแบบเลื่อน โดยจะมีกระดูกอ่อนห่อหุ้มกระดูกในส่วนที่สัมผัสกันและมีหมอนรองกระดูกมารองรับแรงกระแทก ทำงานประสานกัน ทำให้ข้อต่อขากรรไกรสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างลื่นไหล แต่กรณีที่เกิดอาการกรามค้าง อาจมีสาเหตุมาจาก

  • หมอนรองกระดูกเกิดการสึกกร่อนหรือเคลื่อนออกนอกตำแหน่งเดิม
  • กระดูกอ่อนที่หุ้มข้อต่อได้รับความเสียหายจากโรคข้ออักเสบ
  • ข้อต่อเสียหายจากการกระแทกอย่างรุนแรง
  • การสบฟันที่ผิดปกติ (Malocclusion) หรือเป็นปัญหาเกี่ยวกับการบดเคี้ยว เช่น การสูญเสียฟันกราม เป็นต้น
  • เกิดจากการกัดหรือเค้นฟันอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการกรามค้าง

มีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดอาการกรามค้างได้หลายประการ ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตรวมถึงโรคบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการกรามค้างได้ด้วย ดังนี้

  • โรคข้ออักเสบชนิดต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
  • ขากรรไกรบาดเจ็บจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรง
  • พฤติกรรมการเคี้ยวอาหารข้างเดียว ส่งผลให้กล้ามเนื้อและข้อต่อขากรรไกรทำงานไม่สมดุลกัน
  • การรับประทานอาหารที่แข็งและมีความเหนียวอยู่บ่อยๆ
  • ความเครียด ที่ส่งผลให้หลายคนนอนกัดฟันอยู่เป็นประจำ
  • โรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue disease) บางชนิดที่อาจส่งผลต่อข้อต่อขากรรไกร

การรักษาอาการกรามค้าง

อาการกรามค้างเกิดขึ้นได้ในระดับที่เป็นปกติธรรมดา ซึ่งสามารถหายไปเองได้โดยไม่ต้องรักษา หรือในบางกรณีอาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น ในส่วนนี้อาจจะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในลำดับต่อไป แต่ในเบื้องต้น สามารถใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังต่อไปนี้

  • ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ประเภท ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน (naproxen) เป็นต้น
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxants) เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด และลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
  • ยาคลายกังวล (Tricyclic antidepressant) เช่น อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) เพื่อบรรเทาอาการปวด อาการนอนไม่หลับ พร้อมทั้งช่วยควบคุมอาการนอนกัดฟันได้ด้วย

แต่เมื่ออาการกรามค้างในผู้ป่วยบางรายมีความรุนแรงมากขึ้น แพทย์อาจจะต้องพิจารณาใช้การรักษาแบบผ่าตัดร่วมด้วย เช่น

  • การเจาะข้อต่อขากรรไกร (Arthrocentesis) โดยการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปในข้อต่อขากรรไกร เพื่อช่วยระบายสิ่งสกปรกและของเหลวภายในข้อต่อให้ออกไป
  • การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เข้าไปในข้อต่อเพื่อช่วยลดการอักเสบ และฉีดโบทูลินัมท็อกซินชนิดเอ (Botulinum toxin type A) เข้าไปในกล้ามเนื้อบดเคี้ยวเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด
  • การผ่าตัดข้อต่อขากรรไกรแบบส่องกล้อง โดยการสอดกล้องขนาดเล็กและอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อในส่วนที่อักเสบและปรับข้อต่อให้กลับมาในสภาพที่ปกติ
  • การผ่าตัดเปิดข้อต่อขากรรไกร เพื่อทำการรักษาหรือเปลี่ยนข้อต่อขากรรไกรที่ผิดปกติหรือเสียหายอย่างรุนแรงให้กลับมาทำงานได้เช่นเคย

การดูแลตนเองเพื่อลดปัญหากรามค้าง

ส่วนสำคัญที่มีส่วนช่วยได้เป็นอย่างมากในการจัดการกับปัญหากรามค้างคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานของระบบภายในช่องปาก พร้อมทั้งการบริหารบริเวณขากรรไกรร่วมด้วย ดังต่อไปนี้

  • เมื่อมีอาการปวดบริเวณขากรรไกร ควรลดปริมาณการใช้งานในบริเวณนั้น เช่น เลี่ยงการพูดมากจนเกินไป หรือการร้องเพลง เป็นต้น
  • ให้รับประทานอาหารประเภทที่อ่อน นิ่ม หลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียว
  • เลี่ยงการอ้าปากกว้าง เมื่อรับประทานอาหารแนะนำว่าให้ตักคำเล็กๆพอดีคำ
  • หมั่นบริหารขากรรไกรเพื่อคลายกล้ามเนื้อบดเคี้ยวและใบหน้า วิธีการคือให้แตะปลายลิ้นไว้ที่บริเวณเหงือกหลังฟันหน้าบน จากนั้นให้อ้าปากกว้างที่สุด ค้างไว้ประมาณ 5- 6 วินาที ทำซ้ำ 6 ครั้ง วันละ 6 รอบ
  • หากผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม ก่อนเริ่มรักษา ควรมีการแจ้งประวัติกรามค้างทันตแพทย์ทราบทุกครั้ง

อาการ “กรามค้าง” สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากความผิดปกติจากการใช้งานบริเวณขากรรไกร ซึ่งสามารถรักษาได้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อป้องกันอาการดังกล่าว ให้เราลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตักอาหารแต่พอดีคำ การเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียวเพราะนั่นจะทำให้ระบบขากรรไกรทำงานหนักขึ้น และอย่าลืมหมั่นบริหารขากรรไกรของเราอยู่เสมอด้วยนะคะ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันล้ม แก้ไขอย่างไร

ฟันล้ม แก้ไขอย่างไร

ฟันล้ม..แก้ไขอย่างไรให้ฟันกลับมาเรียงสวยเหมือนเดิม

“ฟันล้ม” อีกหนึ่งปัญหาในช่องปากที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่จัดฟันเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ซึ่งภาวะฟันล้มนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยเสี่ยง และสามารถนำไปสู่การขึ้นของฟันที่ผิดปกติจนทำให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังตามมาในอนาคตได้ ฟันล้มมีที่มาจากอะไร แล้วมีวิธีไหนที่จะทำให้ฟันกลับมาเรียงสวยได้บ้าง เราจะมาทำความเข้าใจและรับมือกับภาวะดังกล่าวนี้ด้วยกัน

ลักษณะของฟันล้ม

ก่อนอื่นให้เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า โดยปกติฟันของคนเราจะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ในกรณีของการเกิดฟันล้มนั้น เป็นลักษณะของการที่ฟันเคลื่อนที่หรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อหาความสมดุลหรือเพื่อยึดเกาะฟันซี่ที่อยู่ใกล้เคียงตามกลไกธรรมชาติ หรือที่เรารู้กันดีในชื่อของ “ฟันเก”นั่นเอง ส่วนใหญ่มักเป็นฟันซี่ที่อยู่ใกล้ๆฟันที่ถูกถอนไปจนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ เช่น ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารตามแนวแกนของฟัน มีปัญหาเกี่ยวกับการสบฟัน หรืออาจถึงขั้นลุกลามจนกลายเป็นโรคเหงือกอักเสบตามมาได้

สาเหตุของการเกิดฟันล้ม

“ฟันล้ม” “ฟันเก” หรือ “ฟันเอียง” สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. มีการถอนฟันแท้ออก แล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอม ทำให้ฟันที่มีอยู่เอียงหรือล้ม
  2. ในกรณีที่มีการจัดฟัน หลังจากที่ถอดเครื่องมือจัดฟันออก แล้วไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือกันฟันล้ม
  3. มีความผิดปกติของขากรรไกรหรือสุขภาพฟันตั้งแต่กำเนิด รวมถึงการสบฟันที่ผิดปกติ
  4. เหงือกร่น หรือกระดูกรองรับรากฟันละลายตัว
  5. อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  6. เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงที่เอื้อให้เกิดฟันล้ม เช่น การนอนกัดฟัน การใช้ลิ้นดันฟัน เป็นต้น

ผลเสียจากการปล่อยให้ฟันล้ม

ฟันล้ม ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพปากและฟันดังต่อไปนี้

  • ทำให้มีเศษอาหารติดบริเวณช่องว่างระหว่างฟันได้ง่ายขึ้น
  • นำไปสู่การเกิดฟันผุและโรคปริทันต์
  • ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร
  • กรณีที่ฟันล้มมาก ทำให้ไม่สามารถใส่ฟันปลอมได้
  • ขาดความมั่นใจในการพูดหรือการยิ้ม
วิธีรักษาฟันล้ม

ในการรักษาฟันล้ม ฟันเอียง ควรรีบมารักษาทันทีที่มีอาการ เพราะหากปล่อยเอาไว้นาน อาจจะบานปลายและรักษาได้ยาก  ซึ่งวิธีการรักษาที่เป็นที่นิยม มีดังต่อไปนี้

  1. ใส่รีเทนเนอร์
    การใส่รีเทนเนอร์หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เครื่องมือคงสภาพฟัน” หรือ “เครื่องมือกันฟันล้ม”  เป็นการช่วยไม่ให้ฟันล้มมากไปกว่าเดิม แต่มีข้อจำกัดคือจำเป็นต้องใส่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ฟันกลับมาล้มในตำแหน่งเดิมอีก
  2. ใส่ฟันปลอม
    การใส่ฟันปลอมทดแทน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการปิดช่องว่างระหว่างฟันเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่และการล้มเอียงของฟัน ซึ่งฟันปลอม มีทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว สามารถเลือกได้ตามความสะดวก ความเหมาะสมและง่ายต่อการใช้งาน โดยฟันปลอมทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูงและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายคือการทำรากฟันเทียมเพื่อการรักษาในระยะยาว
  3. การจัดฟัน
    การจัดฟันเป็นการใช้เหล็กหรือลวดดึงฟันให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม เป็นวิธีการรักษาที่สามารถแก้ไขปัญหาฟันล้ม ฟันเอียง ฟันเคลื่อนหรือฟันเก ได้ดีเช่นกัน โดยปัจจุบันได้มีการจัดฟันในหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น การจัดฟันแบบโลหะ การจัดฟันเซรามิก การจัดฟันแบบดามอน หรือการจัดฟันแบบใส(invisalign) เป็นต้น

วิธีป้องกันฟันล้ม

สำหรับใครที่อยากมีฟันเรียงสวย ไม่ล้ม ไม่เก ไม่เอียง และถ้าหากไม่อยากเสียเวลาและเสียเงินในการรักษาสามารถป้องกันได้ ดังต่อไปนี้

  • หมั่นทำความสะอาดช่องปากอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งหรือทุกครั้งหลังอาหาร เพราะการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นการป้องกันปัญหาในช่องปากเบื้องต้น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดฟันผุและนำมาซึ่งปัญหาฟันล้มเอียงตามมา โดยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ทำความสะอาดฟันอย่างอื่นควบคู่ด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็น ไหมขัดฟัน หรือน้ำยาบ้วนปาก
  • ใส่รีเทนเนอร์เป็นประจำและต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนที่จัดฟัน เพราะหลังจากที่ถอดเครื่องมือจัดฟันออกแล้ว นั่นหมายถึงฟันของเรามีความเสี่ยงที่จะล้มได้ ดังนั้นจำเป็นต้องใส่เครื่องมือกันฟันล้มเพื่อจะได้ไม่ต้องรักษาใหม่หลายรอบ
  • หมั่นตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน เพื่อจะได้ทราบถึงความปกติหรือปัญหาที่เกิดกับฟัน และจะได้รักษาอย่างทันท่วงที

“ฟันล้ม” สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆ โดยการกลับไปสู่การดูแลสุขภาพปากและฟันแบบเบื้องต้น หมั่นตรวจสอบถึงความผิดปกติในช่องปากอยู่เสมอและเมื่อพบปัญหาอย่าลังเลที่จะเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันล้ม