เคล็ดลับดูแลฟันน้ำนมทารก-เด็กโต

เคล็ดลับดูแลฟันน้ำนมทารก-เด็กโต

เคล็ดลับดูแลฟันน้ำนมทารก-เด็กโต: ปลูกฝังสุขภาพช่องปากที่ดีตั้งแต่วันแรก เพื่อรอยยิ้มสดใสตลอดวัย

เมื่อพูดถึง “ฟันน้ำนม” เชื่อว่าผู้ปกครองหลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงฟันชุดชั่วคราวในช่วงที่ลูกยังเล็ก และในที่สุดก็ต้องหลุดร่วงไปเพื่อเปิดทางให้ “ฟันแท้” ขึ้นมาแทน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้เคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้การออกเสียงคำต่าง ๆ ตลอดจนการเตรียมพื้นที่ให้ฟันแท้สามารถขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้อง

ดังนั้น การดูแลฟันน้ำนมอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะทารก ไปจนถึงวัยเด็กโต จึงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ลูกมีสุขภาพช่องปากแข็งแรง ไม่เกิดปัญหาฟันผุรุนแรง และไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดหรือเสียค่าใช้จ่ายมากเกินความจำเป็นในอนาคต บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลฟันน้ำนมในแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงเด็กโต พร้อมเคล็ดลับที่ใช้งานได้จริง เพื่อให้ลูกเติบโตมาอย่างสดใสและมีรอยยิ้มที่เปล่งประกาย

1. รู้จัก “ฟันน้ำนม” และความสำคัญของฟันชุดแรก

1.1 ฟันน้ำนมคืออะไร

“ฟันน้ำนม” หรือที่บางครั้งเรียกว่า “ฟันชุดแรก” เป็นฟันที่ขึ้นในวัยเด็กเล็ก โดยปกติทารกจะมีฟันน้ำนมทั้งหมด 20 ซี่ แบ่งออกเป็นด้านบน 10 ซี่ และด้านล่าง 10 ซี่ ฟันน้ำนมจะเริ่มปรากฏให้เห็นครั้งแรกเมื่อเด็กอายุประมาณ 6 เดือน (อาจเร็วหรือช้ากว่านี้เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) และมักจะขึ้นครบทุกซี่ประมาณอายุ 2-3 ปี จากนั้นเมื่อเด็กเติบโต ฟันน้ำนมจะทยอยหลุดออก แล้วถูกแทนที่ด้วย “ฟันแท้” ซึ่งเป็นฟันชุดถาวรของคนเรานั่นเอง

1.2 ทำไมฟันน้ำนมจึงสำคัญ

  1. ช่วยให้เด็กเคี้ยวอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นนมแม่ อาหารเสริม หรือเมนูต่าง ๆ ในช่วงวัยหัดเคี้ยว ฟันน้ำนมเป็นตัวช่วยหลักในการบดเคี้ยวอาหารให้ย่อยง่ายขึ้น
  2. ช่วยในการออกเสียง
    เด็กที่มีฟันน้ำนมสมบูรณ์ ไม่ผุ หรือหลุดก่อนเวลา จะสามารถฝึกออกเสียงได้ชัดเจน ในช่วงวัยที่เริ่มพูดและเรียนรู้คำศัพท์
  3. กำหนดตำแหน่งของฟันแท้
    ฟันน้ำนมทำหน้าที่คล้าย ๆ “เสาเข็ม” ที่รักษาช่องว่างให้ฟันแท้สามารถขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้อง หากฟันน้ำนมหลุดก่อนกำหนด อาจทำให้ฟันข้างเคียงล้มเข้าหาช่องว่าง สุดท้ายฟันแท้ไม่สามารถงอกได้ตามปกติ เกิดปัญหาฟันซ้อนเกตามมา

2. การดูแลช่องปากของทารกก่อนฟันน้ำนมขึ้น

อาจฟังดูแปลกที่ต้องดูแลช่องปากทั้ง ๆ ที่ฟันยังไม่ขึ้น แต่แท้จริงแล้วการดูแลภายในช่องปากของทารกสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิด เพื่อให้เคยชินและลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย

  1. ใช้ผ้าสะอาดเช็ดเหงือก
    หลังการให้นมหรือป้อนอาหาร สามารถใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าฝ้ายบาง ๆ ชุบน้ำต้มสุกอุ่น (ที่เย็นลงแล้ว) เช็ดบริเวณเหงือก เพดานปาก และลิ้นเบา ๆ เพื่อขจัดคราบน้ำนมหรือคราบอาหาร
  2. หลีกเลี่ยงการให้ลูกถือขวดนมหลับ
    เด็กบางคนอาจชอบดูดนมจนหลับคาขวด ซึ่งเปิดช่องให้แบคทีเรียก่อให้เกิดฟันผุในอนาคต ควรฝึกให้ลูกดื่มนมเสร็จแล้วนอนหลับโดยไม่ต้องอมหรือคาบขวด
  3. หากลูกเริ่มหัดดื่มน้ำ
    อาจให้ลูกจิบน้ำเล็กน้อยหลังกินนม (ในกรณีที่เด็กมีอายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป และหมอเด็กแนะนำว่าสามารถดื่มน้ำได้) เพื่อช่วยล้างคราบน้ำนมในปาก

3. เคล็ดลับดูแลฟันน้ำนมช่วง “ฟันซี่แรก” โผล่

พอฟันซี่แรกของลูกโผล่ขึ้นมาเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน คุณพ่อคุณแม่มักตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันเด็กอาจมีอาการคันเหงือก หงุดหงิด หรือบางครั้งไข้ต่ำ ๆ ในช่วงฟันกำลังดันเหงือกขึ้น

3.1 วิธีบรรเทาอาการคันเหงือก

  • ของกัดเล่น (Teether): เลือกที่มีความปลอดภัย ทำจากยางที่ปราศจากสาร BPA และรักษาความสะอาดสม่ำเสมอ บางรุ่นสามารถนำไปแช่เย็นเพื่อให้เย็นเล็กน้อย ช่วยลดการอักเสบได้
  • นวดเบา ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ: หากไม่มีของกัดเล่น อาจใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเย็นสะอาดนวดเหงือกเบา ๆ ให้ลูก

3.2 การแปรงฟันซี่แรก

เมื่อลูกมีฟันน้ำนมขึ้นแล้ว ควรเริ่มทำความสะอาดอย่างจริงจัง เช่น

  1. ใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็กเล็ก
    ขนแปรงนุ่มพิเศษและหัวเล็ก ให้พอดีกับปากทารก
  2. ยาสีฟัน
    ในช่วงแรกอาจไม่จำเป็นต้องใช้ หรือเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับทารกสูตรผสมฟลูออไรด์ที่มีปริมาณน้อยมาก เพียงเม็ดเท่าเมล็ดถั่วเขียว เพื่อป้องกันการกลืนยาสีฟันมากเกินไป
  3. แปรงเบา ๆ
    ควรแปรงหรือเช็ดฟันลูกอย่างนุ่มนวล เพราะเหงือกยังบอบบาง

4. การสร้างวินัยดูแลฟันน้ำนมในวัย 1-3 ปี

เมื่อเด็กเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น และมีฟันน้ำนมหลายซี่ขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรปรับรูปแบบการดูแลให้เหมาะสมกับพัฒนาการของลูก

4.1 แปรงฟันร่วมกัน

  • ใช้เวลาแปรงฟันเป็นช่วงสนุก
    คุณอาจยืนหน้าอ่างล้างหน้าไปพร้อมกับลูก พูดคุยหรือร้องเพลง เพื่อให้ลูกเห็นว่าเป็นกิจกรรมปกติ และไม่เป็นเรื่องเครียด
  • ให้อิสระ แต่ยังคุม
    เด็กวัยนี้อาจอยากจับแปรงสีฟันเอง คุณสามารถปล่อยให้ลูกลองแปรง แต่ต้องคอยเช็กความสะอาด และอาจมีการแปรงซ้ำให้ทั่วถึง

4.2 ลดปัจจัยเสี่ยงต่อฟันผุ

  1. จำกัดการทานขนมหวาน
    ขนมกรุบกรอบและน้ำหวานมีน้ำตาลสูง ถ้าทานบ่อย ๆ แล้วยังแปรงฟันไม่ถูกวิธี จะยิ่งเสี่ยงต่อฟันผุ
  2. ไม่ให้ลูกดูดหัวนมยางหรือน้ำหวานตลอดเวลา
    การดูดจุ๊บที่จุ่มน้ำหวานหรือป้ายสารให้ความหวาน อาจเพิ่มโอกาสเกิดฟันผุโดยไม่จำเป็น
  3. แปรงฟันหรือเช็ดทำความสะอาดทันทีหลังทาน
    หากลูกทานขนมเสร็จ พยายามเช็ดฟันหรือแปรงฟันตามความเหมาะสม

4.3 พบหมอฟันเป็นประจำ

แม้ฟันน้ำนมยังไม่ครบ แต่ควรเริ่มพาลูกไปพบทันตแพทย์เด็ก (Pedodontist) เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ป้องกันและแก้ไขฟันผุแต่เนิ่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกคุ้นเคยกับบรรยากาศคลินิก ไม่หวาดกลัวในอนาคต

5. ดูแลฟันน้ำนมช่วง 3-6 ปี: เตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน

เด็กวัยอนุบาลมักใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ได้ทานอาหารว่างหรือขนมกับเพื่อน ๆ และเริ่มมีความเป็นตัวเองสูง หากไม่ได้รับคำแนะนำอย่างเหมาะสม อาจทำให้ฟันผุได้ง่าย

5.1 สอนหลักการแปรงฟันอย่างถูกวิธี

  • ใช้เทคนิคการแปรงแบบ “ปัดขึ้น-ลง”
    โดยสอนให้ลูกปัดขนแปรงขึ้นลงให้รอบซี่ฟัน ทั้งด้านนอก ด้านใน และด้านบดเคี้ยว หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ แบบซ้ายขวาที่อาจทำลายเหงือก
  • จัดตารางแปรงฟันเช้า-เย็น
    ควรสร้างวินัยให้ลูกแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือหลังรับประทานอาหาร เพื่อลดคราบจุลินทรีย์สะสม

5.2 เลือกอาหารที่ดีต่อฟัน

  1. เพิ่มผักผลไม้และอาหารที่ต้องเคี้ยว
    เช่น แครอต แตงกวา แอปเปิล เพราะจะกระตุ้นให้น้ำลายหลั่ง ช่วยล้างคราบอาหาร และฝึกการเคี้ยว
  2. เลี่ยงอาหารเหนียวติดฟัน
    ลูกอม ขนมคาราเมล หรือเยลลี่ ที่อาจติดค้างตามซอกฟันและก่อให้เกิดฟันผุง่าย

5.3 ระวังการสูญเสียฟันก่อนเวลา

บางครั้งเด็กอาจหกล้ม ฟันกระแทก หรือมีฟันผุจนต้องถอนก่อนกำหนด ควรปรึกษาทันตแพทย์ทันทีเพื่อดูว่าจำเป็นต้องใส่เครื่องมือช่วยกันฟันล้ม (Space Maintainer) หรือไม่ เพื่อไม่ให้ฟันข้างเคียงเอียงเข้าไปในช่องว่าง

6. ฟันน้ำนมใกล้หลุด: วัย 6 ปีขึ้นไป ปลูกฝังนิสัยดีต่อสุขภาพช่องปากระยะยาว

เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียนประถม (6 ปีขึ้นไป) ฟันน้ำนมบางซี่จะเริ่มโยกและหลุด เปิดทางให้ฟันแท้ซี่แรก (ฟันกรามแท้ซี่ที่ 6) และฟันหน้าถาวรขึ้น

6.1 สังเกตฟันที่โยก

  • อย่าดึงฟันออกแรง ๆ
    ปล่อยให้ฟันที่โยกหลุดเอง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือเลือดออกมาก หากฟันหลุดไม่ปกติหรือมีอาการอักเสบ ควรไปพบทันตแพทย์
  • ดูแลเหงือกบริเวณฟันโยก
    หากมีแผลหรือเหงือกอักเสบ ควรให้ลูกบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาฆ่าเชื้อตามคำแนะนำ

6.2 ฟันกรามแท้ซี่แรก

เด็กบางคนอาจไม่ทันรู้ว่ามีฟันกรามแท้ขึ้นที่ด้านหลังสุด โดยไม่ต้องรอให้ฟันน้ำนมกรามหลุด ดังนั้น พ่อแม่ควรสอนการแปรงบริเวณฟันกรามด้านใน และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจว่าขึ้นถูกตำแหน่งหรือไม่

6.3 สร้างแรงจูงใจ

  • ให้คำชื่นชมเมื่อลูกแปรงฟันเป็นประจำ
    อาจใช้สติกเกอร์หรือตารางบันทึกความสำเร็จ เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าได้รางวัลเมื่อล้างฟันสะอาด
  • สอนวิธีใช้ไหมขัดฟัน
    วัยนี้เริ่มควบคุมมือได้ดีขึ้น สามารถฝึกใช้ไหมขัดฟันเบื้องต้น เพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง

7. เทคนิค “เคลือบหลุมร่องฟัน” และการทาฟลูออไรด์

ผู้ปกครองหลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “เคลือบหลุมร่องฟัน” หรือ “ทาฟลูออไรด์” ซึ่งเป็นวิธีป้องกันฟันผุที่ได้รับความนิยมในเด็ก

7.1 เคลือบหลุมร่องฟัน (Sealant)

  • เหมาะกับเด็กที่มีหลุมร่องลึกบนฟันกราม
    เมื่อทันตแพทย์ตรวจพบว่าเด็กมีร่องฟันลึกที่ทำความสะอาดยาก อาจแนะนำให้เคลือบหลุมร่องฟันด้วยเรซิน เพื่อป้องกันไม่ให้เศษอาหารและแบคทีเรียเข้าไปสะสม
  • กระบวนการไม่เจ็บ
    เพียงทำความสะอาดและเคลือบน้ำยาพิเศษ แล้วฉายแสงให้แข็งตัว เด็กไม่ต้องกลัวการเจ็บปวด

7.2 ทาฟลูออไรด์ (Fluoride Varnish)

  • เสริมความแข็งแรงให้เคลือบฟัน
    ฟลูออไรด์ช่วยลดการละลายของเคลือบฟัน ทำให้ฟันต้านทานต่อกรดของเชื้อแบคทีเรียได้ดีขึ้น
  • ควรทำโดยทันตแพทย์
    ทาฟลูออไรด์เป็นขั้นตอนง่ายและรวดเร็ว ในกรณีเด็กที่มีความเสี่ยงฟันผุสูง อาจทาได้ทุก 3-6 เดือน ตามคำแนะนำ

8. รับมือกับปัญหาฟันผุในฟันน้ำนม

แม้จะระวังแค่ไหน เด็กบางคนก็อาจฟันผุได้อยู่ดี ซึ่งไม่ควรมองข้ามคิดว่า “ฟันน้ำนมเดี๋ยวก็หลุด” เพราะอาจลุกลามจนอักเสบหรือกระทบฟันแท้ที่จะขึ้นตามมา

  1. อุดฟันน้ำนม
    หากผุไม่ลึก ทันตแพทย์อาจกรอและอุดเหมือนฟันแท้ เพื่อป้องกันการขยายของรูผุ
  2. รักษารากฟันน้ำนม
    หากผุลึกถึงโพรงประสาท อาจต้องรักษารากฟันน้ำนม เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อปลายราก หรือรักษาไว้เพื่อคงตำแหน่งฟันก่อนที่ฟันแท้จะขึ้น
  3. ถอนฟันน้ำนมในกรณีจำเป็น
    ถ้าฟันผุมากจนเกินเยียวยา หรือทำให้เด็กปวดมาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ถอนออก แต่ต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ฟันข้างเคียงล้มเข้าช่องว่าง

9. ติดตามสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์

การตรวจสุขภาพฟันตามกำหนดจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถประเมินได้ว่า ลูกมีปัญหาฟันผุหรือไม่ มีความผิดปกติในการสบฟัน หรือพฤติกรรมการเคี้ยวที่ควรแก้ไขหรือเปล่า รวมถึงสามารถรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลที่สอดคล้องกับลักษณะการใช้ชีวิตของเด็กแต่ละคน

  • แนะนำความถี่: ควรพาลูกไปตรวจช่องปากอย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือเร็วกว่านั้นถ้ามีประวัติฟันผุง่าย
  • การเคลือบฟลูออไรด์ สอนแปรงฟัน: เด็กบางคนอาจได้รับบริการเคลือบฟลูออไรด์เพิ่มเติม หรือได้เรียนรู้วิธีแปรงฟันกับบุคลากรทางทันตกรรม

10. ปลูกฝังนิสัยดูแลสุขภาพฟันที่ดี: กุญแจสู่รอยยิ้มสวยยั่งยืน

สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการปลูกฝังให้ลูกตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปาก ซึ่งไม่ได้จบแค่ช่วงฟันน้ำนม แต่ติดตัวไปจนเป็นผู้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น

  1. การแปรงฟันเป็นกิจวัตร
    สร้างวินัยให้เด็กเห็นว่าการแปรงฟันไม่ใช่เรื่องที่เราทำไปเพราะบังคับ แต่เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและสามารถสนุกได้
  2. จัดสรรเวลาชัดเจน
    บางครอบครัวอาจมีตารางกิจกรรมระบุเวลา “แปรงฟันก่อนนอน” อย่างเข้มงวด ทำให้เด็กไม่ละเลยเรื่องนี้
  3. เป็นแบบอย่างที่ดี
    ถ้าคุณพ่อคุณแม่เองดูแลสุขภาพฟันอย่างดี หมั่นแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และหลีกเลี่ยงการทานอาหารหวานเกินจำเป็น ลูกก็จะเรียนรู้และทำตามโดยธรรมชาติ

สรุป: การดูแลฟันน้ำนมทารก-เด็กโต เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้

“เคล็ดลับดูแลฟันน้ำนมทารก-เด็กโต” ไม่ใช่เรื่องยากหรือต้องลงทุนสูง แต่ต้องอาศัยความเอาใจใส่และความสม่ำเสมอจากผู้ปกครองเป็นหลัก เริ่มตั้งแต่การทำความสะอาดช่องปากให้ทารกที่ยังไม่มีฟัน การบรรเทาอาการคันเหงือกเมื่อลูกฟันขึ้น การแปรงฟันร่วมกันช่วงวัยหัดเดิน จนถึงการฝึกนิสัยแปรงฟันและใช้อาหารที่ดีต่อสุขภาพฟันในวัยก่อนเข้าโรงเรียน ต่อเนื่องจนลูกเริ่มผลัดฟันน้ำนม วัย 6 ปีขึ้นไป

หากผู้ปกครองสามารถดำเนินขั้นตอนเหล่านี้ได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาฟันผุ ฟันซ้อนเก หรือโรคปริทันต์ในอนาคต และยังส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในรอยยิ้มของตัวเอง เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องฟันผุหรือกลิ่นปาก อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังสุขนิสัยการดูแลตัวเองในระยะยาว ที่เด็กจะนำติดตัวไปใช้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างมีสุขภาพช่องปากแข็งแรงและยั่งยืน

อย่าลืมว่า “ฟันน้ำนม” ไม่ใช่ฟันชุดชั่วคราวที่ถูกมองข้ามได้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของสุขภาพช่องปากทั้งหมดในอนาคตของลูกน้อย ดังนั้น เริ่มสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้พวกเขาเติบโตมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สวย มั่นใจ และเปี่ยมด้วยสุขอนามัยช่องปากที่ดีเสมอไป!

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

Add a Comment

You must be logged in to post a comment