สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน

สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน

สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน—ประโยคที่หลายคนมักมองข้าม หรืออาจไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าใดนัก ทั้งที่จริง ๆ แล้ว สุขภาพฟันและเหงือกเป็นสิ่งใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด เพราะหากปล่อยไว้นานจนเกิดอาการเจ็บปวดหรือมีปัญหาเรื้อรัง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้อย่างคาดไม่ถึง บทความนี้จะพาทุกท่านมาสำรวจ “สัญญาณเตือน” ในช่องปากและฟัน ที่บ่งบอกว่าคุณควรพบหมอฟันด่วน เพื่อประเมินอาการ รักษา หรือป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตเกินแก้

1. ทำไมการสังเกต “สัญญาณเตือน” จึงสำคัญ

ในทุกวันนี้ หลายคนให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายด้านอื่น ๆ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย หรือแม้แต่อาหารการกิน แต่สุขภาพช่องปากมักถูกละเลยอยู่บ่อยครั้ง เหตุผลอาจเป็นเพราะปัญหาฟันและเหงือกไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดฉับพลันในช่วงแรก เมื่อเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อย เช่น เลือดออกขณะแปรงฟัน หรือคราบหินปูนเกาะ จึงมักคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยทิ้งไว้นาน ปัญหาเล็ก ๆ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย และต้องทนกับความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น

สถิติบ่งชี้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำเลย หรืออาจเข้าพบทันตแพทย์เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดขั้นรุนแรงเท่านั้น นี่คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับฟันและเหงือกรุกลามจนถึงจุดที่ต้องถอนฟัน หรือรักษาแบบซับซ้อน เช่น รากฟันเทียม การผ่าตัดปลูกกระดูก หรือการรักษาโรคเหงือกขั้นรุนแรง ดังนั้น การเอาใจใส่ต่อ “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” คือ กุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายที่อาจทำให้คุณต้องเสียทั้งสุขภาพและทรัพย์สินมากมาย

2. สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน: ปวดฟันแบบไม่หาย

“ปวดฟัน” อาจเป็นอาการที่ชัดเจนที่สุดในการบอกว่า ช่องปากของคุณกำลังมีปัญหา เมื่อไรที่อาการปวดไม่บรรเทาลงภายในสองสามวัน หรือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น นั่นหมายความว่ารากฟัน เหงือก หรือโครงสร้างอื่นในช่องปากอาจกำลังบอกว่าเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีฟันผุที่ลึกมากจนอาจลุกลามถึงโพรงประสาท การกินยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียวอาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ

  • ฟันผุที่ลึกขึ้น: เมื่อฟันผุลึกมาก จนไปถึงโพรงประสาทฟัน อาจทำให้เกิดหนอง การอักเสบ หรือมีฝีขึ้นบริเวณรากฟัน ส่งผลให้ปวดรุนแรง
  • ปวดจากการกดของฟันคุด: ฟันคุดที่ขึ้นผิดทิศทางอาจดันฟันข้างเคียง ทำให้เกิดความเจ็บปวดลามไปถึงกรามหรือใบหู
  • เหงือกอักเสบขั้นรุนแรง: ถ้าเหงือกอักเสบมากจนบวมแดง อาจปวดถึงขั้นทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก

อาการปวดฟันรุนแรงที่ไม่ลดลงคือ “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” เพราะหากปล่อยไว้อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด หรือต้องสูญเสียฟันซี่นั้นไปอย่างถาวร

3. เลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน

มีหลายคนที่แปรงฟันแล้วพอถ่มน้ำลายออกมาเห็นเป็นสีชมพูอ่อน ๆ หรือมีเลือดซึมปนมา และคิดว่า “ก็คงไม่เป็นไร” แต่อาการนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกปัญหาเหงือกในระดับเริ่มต้น เช่น เหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) หรืออาจเกิดจากการใช้วิธีแปรงฟันที่ไม่ถูกต้องร่วมด้วย

  1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis): เป็นระยะเบื้องต้นของโรคเหงือก อาจเกิดจากการสะสมของคราบพลัคและหินปูนตามร่องเหงือก เมื่อเกิดการอักเสบ เหงือกจะเปราะบาง เลือดออกง่าย
  2. โรคปริทันต์ (Periodontitis): หากปล่อยให้เหงือกอักเสบเรื้อรัง จะลุกลามจนทำลายเนื้อเยื่อและกระดูกที่ค้ำจุนฟัน ส่งผลให้ฟันโยกหรือหลุดร่วงได้
  3. เทคนิคการแปรงที่ไม่ถูกต้อง: แม้คุณจะไม่มีปัญหาเหงือกมาก่อน แต่ถ้าแปรงฟันแรงเกินไป หรือใช้แปรงขนแข็งอาจขูดเหงือกจนเป็นแผลและทำให้เลือดออก

หากมีเลือดออกเป็นประจำ หรือรู้สึกเจ็บเหงือก ควรรีบเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสภาพเหงือกและฟันให้ละเอียด เพราะนี่คือ “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” ในมุมของสุขภาพเหงือกโดยเฉพาะ

4. ฟันโยกและเหงือกร่นผิดปกติ

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น บางคนอาจพบว่าฟันมีอาการโยกเล็กน้อยโดยไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ หรือสังเกตว่าเหงือกเริ่มร่นจนเห็นโคนฟันชัดขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการดูแลช่องปากไม่ทั่วถึง หรือการเกิดโรคเหงือกเรื้อรัง

  • โรคปริทันต์ (ระยะรุนแรง): หากกระดูกที่รองรับฟันถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ฟันสูญเสียหลักยึดและโยกได้
  • การแปรงฟันผิดวิธี: การออกแรงกดมากเกินไปบริเวณขอบเหงือก ทำให้เนื้อเยื่อเหงือกสึกกร่อน รวมถึงการเลือกใช้แปรงสีฟันขนแข็งเกินไป
  • ฟันกัดสบไม่ตรง: การสบฟันที่ผิดปกติ (Malocclusion) อาจทำให้เกิดแรงกระแทกสะสมตรงเหงือกและกระดูกบางจุด ส่งผลให้ฟันโยกในระยะยาว

ฟันที่โยกถือเป็นสัญญาณอันตราย เพราะอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันซี่นั้นอย่างถาวร และหากหลุดออกไปแล้ว การใส่ฟันปลอม หรือรากฟันเทียมก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งงบประมาณและเวลาดูแลมากยิ่งขึ้น

5. มีกลิ่นปากเรื้อรัง แม้จะดูแลความสะอาดสม่ำเสมอ

ปัญหากลิ่นปากเป็นเรื่องที่สร้างความไม่มั่นใจในการเข้าสังคมและชีวิตประจำวันอย่างมาก ถ้าลองเปลี่ยนยาสีฟัน ใช้น้ำยาบ้วนปาก หรือแปรงฟันอย่างดีแล้วแต่ยังมีปัญหากลิ่นปากไม่หาย อาจมีสาเหตุแฝงอยู่ เช่น

  1. หินปูนสะสม: หินปูนที่ติดอยู่ตามซอกฟัน เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย และเป็นต้นเหตุของกลิ่นปาก
  2. ฟันผุหรือเหงือกอักเสบ: ถ้ามีช่องฟันผุ หรือเหงือกอักเสบรุนแรง แบคทีเรียจะยิ่งสะสมได้ง่ายและทำให้กลิ่นปากรุนแรง
  3. ปัญหาทางระบบอื่น: บางครั้งกลิ่นปากมาจากกรดไหลย้อนหรือปัญหาไซนัส แต่ก็มักมีอาการอื่นร่วมด้วย

ดังนั้น หากพบว่ามีกลิ่นปากต่อเนื่องแม้จะดูแลช่องปากอย่างถูกวิธีแล้ว ให้รีบไปตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด เพราะนี่อาจเป็น “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่เช่นนั้นนอกจากจะเสียบุคลิกแล้วยังอาจพลาดโอกาสดี ๆ ในการพบปะผู้คนอีกด้วย

6. มีตุ่ม ฝี หรือแผลในช่องปากที่ไม่หายภายในสองสัปดาห์

แผลร้อนใน หรือเม็ดตุ่มเล็ก ๆ ในช่องปากเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว โดยทั่วไปมักหายเองภายใน 7-14 วัน แต่ถ้าหากพบว่าแผลอยู่ในปากนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ หรือมีลักษณะแปลก ๆ เช่น ขอบแผลแข็ง ผิวไม่เรียบ หรือมีอาการปวดมากผิดปกติ ควรรีบเข้าพบทันตแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาใหญ่ เช่น

  • การติดเชื้อรุนแรง: อาจเป็นเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง
  • มะเร็งในช่องปาก: แม้ว่าจะพบไม่บ่อย แต่ก็ไม่ควรละเลย หากแผลมีลักษณะสุ่มเสี่ยง ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยผู้เชี่ยวชาญ

จำไว้ว่าหากมีตุ่มหรือแผลในช่องปากนานเกิน 2 สัปดาห์ ห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะถือเป็น “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” ที่หลายคนอาจไม่ทันได้สังเกต

7. รู้สึกปวดตึงหรือเมื่อยขากรรไกรโดยไม่ทราบสาเหตุ

ใครเคยตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกว่าขากรรไกรเมื่อย ๆ หรือปวดจนลุกลามไปถึงใบหูหรือขมับ นั่นอาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมการนอนกัดฟัน หรือการสบฟันที่ไม่สมดุล เมื่อขากรรไกรมีกลไกการเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง ยิ่งเวลานอนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ก็อาจมีการกระแทกของฟันอย่างรุนแรง

  • นอนกัดฟัน (Bruxism): มักเกิดขึ้นขณะหลับ โดยผู้ที่มีความเครียดสูงมักจะเผลอกัดฟันแน่นทำให้กล้ามเนื้อขากรรไกรอักเสบ
  • TMJ Disorder: ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร ส่งผลให้เกิดอาการปวด ตึง หรือมีเสียงกรอบแกรบเมื่ออ้าปาก

หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้เคลือบฟันสึกกร่อน ฟันบิ่น หรือปวดหัวเรื้อรังได้ ดังนั้น หากสังเกตว่าตัวเองมีอาการปวดขากรรไกรโดยไม่ทราบสาเหตุ และยาวนานเกินไป ควรพบหมอฟันเพื่อประเมินโครงสร้างและพฤติกรรมการสบฟันของคุณเป็นการด่วน

8. ฟันแตก บิ่น หรือหลุดออกมาเป็นเศษ

บางครั้งเราอาจกัดของแข็ง เช่น น้ำแข็ง กระดูกสัตว์ หรือเม็ดของแข็งต่าง ๆ จนทำให้ฟันแตกหรือบิ่นโดยไม่ตั้งใจ แม้ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการปวดชัดเจน แต่การที่โครงสร้างฟันเสียหายแล้ว ย่อมส่งผลระยะยาว เช่น

  • เพิ่มโอกาสฟันผุ: เมื่อเนื้อฟันแตกออกเป็นร่องหรือรู แบคทีเรียจะเข้าไปสะสมได้ง่าย
  • กัดเจ็บหรือเคี้ยวลำบาก: หากส่วนที่บิ่นคือด้านที่สบกับฟันบน/ล่างโดยตรง จะส่งผลต่อสมดุลการเคี้ยว
  • ทำให้โพรงประสาทฟันเปิด: หากรอยแตกทะลุไปถึงชั้นในของฟัน อาจทำให้ปวดรุนแรงหรือติดเชื้อ

เมื่อฟันแตกหรือบิ่น ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ควรให้หมอฟันตรวจเช็กทันที เพื่อดูว่าต้องอุดฟัน ทำครอบฟัน หรือหากสาหัสมาก อาจต้องพิจารณาวิธีรักษาที่ซับซ้อนกว่า อย่ามองว่าแค่รอยบิ่นเล็ก ๆ จะปล่อยไว้นานได้ เพราะนี่คือ “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” อีกอย่างหนึ่ง

9. ฟันผุจนเห็นรูโหว่ หรือมีจุดดำลึก

ปัญหาฟันผุเป็นสิ่งที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบอาหารหวานหรือดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ฟันผุในช่วงแรกอาจแค่มีจุดขาวขุ่นเล็ก ๆ แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลาม ก็จะกลายเป็นจุดดำและขยายเป็นรูโหว่

  1. อาการเสียวฟัน: เมื่อผุทะลุเคลือบฟัน มักทำให้เสียวเวลาดื่มน้ำเย็น กินของหวาน หรือเคี้ยวอาหารร้อน
  2. ปวดฟัน: ถ้าเชื้อแบคทีเรียไปถึงชั้นเนื้อฟันใกล้โพรงประสาท อาจทำให้รู้สึกปวดเป็นพัก ๆ
  3. รูขนาดใหญ่: หากเห็นรูโหว่ชัดเจน ควรรีบพบหมอฟัน เพื่ออุดฟันหรือรักษารากฟันถ้าจำเป็น

การอุดฟันแต่เนิ่น ๆ จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า และเจ็บปวดน้อยกว่า การปล่อยให้รูผุขยายขนาดจนต้องรักษารากฟันหรือถอนฟันในที่สุด

10. รู้สึกว่าฟันสั้นลงหรือสึกกร่อน

อาการฟันสึกเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การนอนกัดฟัน การรับประทานอาหารที่มีความเป็นกรดสูง หรือแม้แต่เทคนิคการแปรงฟันที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน จนเคลือบฟันบางลงเรื่อย ๆ

  • สึกบริเวณคอฟัน: มักเกิดจากการแปรงฟันแรงบริเวณขอบเหงือก
  • สึกที่ปลายฟันหรือตำแหน่งที่สบกัน: เกิดจากการกระแทกขณะนอนกัดฟันหรือการสบฟันผิดปกติ
  • สึกเพราะกรด: ดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีกรดบ่อย ๆ เป็นปัจจัยเร่ง

เมื่อฟันบางลงเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดอาการเสียวฟัน และเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย หากรู้สึกว่าฟันสั้นลงผิดปกติหรือสึกจนเห็นเนื้อฟัน ควรปรึกษาหมอฟันโดยด่วน เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและหาวิธีป้องกัน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเจอกับวิธีแก้ไขที่ยุ่งยากกว่าเดิม

11. สัมผัสถึงรอยบวม หรือก้อนแข็งภายในปาก

รอยบวมในช่องปากหรือบริเวณเหงือก อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่การอักเสบเล็กน้อยไปจนถึงการติดเชื้อรุนแรง ถ้าเป็นเพียงรอยบวมนุ่ม ๆ ไม่มีอาการปวด อาจเป็นถุงน้ำหรือซีสต์ แต่ถ้าเป็นก้อนแข็ง ควรระวังเป็นพิเศษ

  • หนองหรือฝี: เกิดจากการติดเชื้อที่ปลายรากฟัน หากกดแล้วเจ็บ อาจมีหนองขังอยู่ภายใน
  • ซีสต์: เป็นถุงน้ำในเหงือกหรือกระดูกขากรรไกร บางครั้งอาจโตเร็วและทำลายโครงสร้างรอบข้าง
  • เนื้องอกในช่องปาก: แม้พบน้อย แต่หากพบก้อนแข็งผิดปกติ ควรตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางด้านช่องปาก

การตรวจพบปัญหาเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากลุกลามจะทำให้การรักษาซับซ้อนและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น

12. เจ็บเหงือกหรือบวมแดงบริเวณฟันคุด

ฟันคุดถือเป็นปัญหาที่หลายคนเคยสัมผัส โดยเฉพาะฟันกรามซี่สุดท้ายซึ่งขึ้นมาในช่องปากอย่างผิดตำแหน่ง ฟันคุดบางซี่อาจซ่อนอยู่ใต้เหงือกหรือเอียงชนกับฟันข้างเคียงจนทำให้เกิดการอักเสบ เป็นหนอง หรือปวดบวม

  • เยื่อเหงือกอักเสบ (Pericoronitis): หากฟันคุดโผล่มาแค่บางส่วน มักทำให้เศษอาหารติดบริเวณเหงือกจนเกิดการอักเสบ
  • อาการปวดรุนแรง: เจ็บลามไปถึงกราม หู หรือศีรษะ บางครั้งมีไข้ร่วมด้วย
  • ผลกระทบกับฟันซี่ข้างเคียง: ฟันคุดอาจดันให้ฟันข้างเคียงผุหรือเกิดการเคลื่อน

เมื่อมีสัญญาณปวดหรือบวมบริเวณฟันคุด ควรปรึกษาหมอฟันทันที เพื่อประเมินว่าควรผ่าฟันคุดหรือไม่ หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ฝีในช่องปาก หรือเหงือกอักเสบเรื้อรัง

13. เปลี่ยนแปลงในลักษณะการสบฟันและการเคี้ยว

ในช่วงที่เรายังเด็ก หรือวัยรุ่น ฟันมักเรียงตัวตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือได้รับแรงกระแทกต่าง ๆ โครงสร้างการสบฟันอาจเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว หากสังเกตว่ามีฟันเก ฟันซ้อน หรือการเคี้ยวไม่ถนัดเหมือนเดิม ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่

  • การเลื่อนของฟันในผู้ใหญ่: อาจเป็นเพราะการสูญเสียฟันบางซี่ ทำให้ฟันอื่นเคลื่อนเข้ามาแทนที่
  • สภาวะขาดฟัน: หากปล่อยให้ช่องว่างจากฟันที่สูญเสียทิ้งไว้นาน ๆ โครงสร้างการสบฟันเปลี่ยนแน่นอน
  • แรงเสียดทานหรือพฤติกรรมการเคี้ยว: บางคนเคี้ยวข้างเดียวตลอดเวลา ก็มีผลต่อขากรรไกรและเหงือก

การตรวจพบความผิดปกติของการสบฟันแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้แก้ไขง่ายขึ้น เช่น การจัดฟัน หรือใส่ฟันปลอมเสริมในจุดที่ขาด ป้องกันปัญหาระยะยาวทั้งเรื่องเหงือกและข้อต่อขากรรไกร

14. ไปหาหมอฟันเป็นประจำ แต่ยังพบปัญหา – ทำอย่างไรดี

บางคนอาจหมั่นตรวจสุขภาพฟันปีละครั้ง หรือทุก ๆ 6 เดือนตามคำแนะนำ แต่ยังพบปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันอยู่เรื่อย ๆ สาเหตุอาจมาจากปัจจัยภายนอก เช่น พันธุกรรม การทานยา หรือพฤติกรรมการกินและการดูแลส่วนบุคคล

  • รักษามาตรฐานการดูแลช่องปาก: แปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และใช้น้ำยาบ้วนปากตามความจำเป็น
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดการกินของหวาน น้ำอัดลม และหลีกเลี่ยงการกัดของแข็งที่ไม่จำเป็น
  • ปรึกษาหมอฟันเฉพาะทาง: หากปัญหาเจาะจง เช่น เหงือกอักเสบเรื้อรัง หรือการสบฟันที่ผิดปกติ ควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านปริทันต์วิทยา (Periodontist) หรือทันตแพทย์เฉพาะทางด้านการสบฟันและข้อต่อขากรรไกร (Orthodontist / TMD Specialist)

การสังเกต “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” ยังเป็นเรื่องจำเป็น แม้จะไปตรวจประจำ แต่ถ้าเกิดอาการเฉพาะหน้าที่รุนแรง ก็ต้องแทรกคิวหรือพบหมอฉุกเฉินทันที

15. สรุป: ตรวจเช็ก “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” เพื่อป้องกันก่อนสาย

สุขภาพช่องปากเป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม หรือให้ความสำคัญน้อยกว่าสุขภาพส่วนอื่น ทั้งที่ปากและฟันเป็นด่านแรกในการรับสารอาหารและส่งผลต่อบุคลิกภาพในชีวิตประจำวันอย่างมาก “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” ที่ได้กล่าวมาข้างต้น จึงทำหน้าที่เหมือนสัญญาณไฟแดง ที่บอกให้เรารีบหยุดสังเกต และแก้ไขก่อนจะสายเกินไป

  • อย่าปล่อยให้ปวดฟันเรื้อรัง จนกลายเป็นฝีหรือต้องถอนฟันไปในที่สุด
  • อย่ามองข้ามอาการเลือดออก ขณะแปรงฟันที่อาจบอกถึงโรคเหงือกเรื้อรัง
  • ฟันแตก บิ่น หรือโยก อย่าปล่อยไว้ เพราะเสี่ยงสูญเสียฟันถาวร
  • แผลหรือตุ่มในปากนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจโดยละเอียด
  • ปัญหากลิ่นปากหรือการสบฟันผิดปกติ ล้วนส่งผลระยะยาวต่อความมั่นใจและสุขภาพโดยรวม

ที่สำคัญที่สุด การเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง ยังคงเป็นมาตรฐานที่แนะนำสำหรับทุกคน เพราะนอกจากจะช่วยตรวจสอบและป้องกันปัญหาฟันและเหงือกในระยะเริ่มต้นแล้ว ยังเป็นโอกาสให้หมอฟันได้ขูดหินปูน ขัดฟัน หรือให้คำแนะนำการดูแลช่องปากเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณมีรอยยิ้มที่สวยงาม สุขภาพแข็งแรง และไม่ต้องกังวลกับ “สัญญาณเตือน” แบบฉุกเฉินอีกต่อไป

ข้อควรจำ: หากคุณมีอาการผิดปกติใด ๆ ในช่องปากที่ไม่หายภายใน 2-3 วัน อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือนต้องพบหมอฟันด่วน” ที่ควรเร่งแก้ไขก่อนจะลุกลาม จงจำไว้ว่า การดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นจากปากที่แข็งแรงและรอยยิ้มที่มั่นใจเสมอ!

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

Add a Comment

You must be logged in to post a comment