ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นขั้นตอนที่ควรทำเป็นประจำเพื่อคอยตรวจสอบและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก โดยทั่วไปการตรวจสุขภาพช่องปากจะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้:

  1. ประวัติผู้ป่วย: ทันตแพทย์หรือผู้ช่วยทันตแพทย์จะถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพรวม, ประวัติสุขภาพช่องปาก, การใช้ยา, และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  2. ตรวจภายนอก: ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ช่องปาก เช่น ขากรรไกร, คอ, ริมฝีปาก เพื่อตรวจหาความผิดปกติหรืออาการของโรคต่างๆ
  3. ตรวจภายในช่องปาก: ทันตแพทย์จะตรวจสอบฟัน, เหงือก, ฟันคุด, เพดาน, ลิ้น, และด้านในของแก้ม เพื่อตรวจหาตำแหน่งที่มีการเสียดทาน, ฟันที่มีปัญหา, การอักเสบที่เหงือก, แผลหรือตุ่มที่อาจเป็นโรคมะเร็งช่องปาก
  4. ตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ: เช่น การใช้เครื่องวัดความลึกของร่องเหงือก เพื่อตรวจหาอาการของโรคเหงือก
  5. ถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ฟัน (X-ray): เพื่อตรวจหาปัญหาภายในเช่น การเปลี่ยนแปลงในกระดูกฟัน, ฟันฝัง, หรือการติดต่อกันของฟัน
  6. ทำความสะอาดฟัน: ถ้าเป็นการตรวจสุขภาพประจำปี มักจะมีการทำความสะอาดฟัน และอาจจะเก็บคราบหรือคราบปูนที่สะสมอยู่บนฟัน
  7. แนะนำการดูแลสุขภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟัน, การใช้ไหมขัดฟัน, และการดูแลสุขภาพช่องปากอื่นๆ
  8. วางแผนการรักษา: หากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก, ทันตแพทย์จะแนะนำแผนการรักษาและวิธีการแก้ไขปัญหา

การตรวจสุขภาพช่องปากควรทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพช่องปากของคุณอยู่ในสภาพที่ดี.

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องตรวจปีละกี่ครั้ง

การตรวจสุขภาพช่องปากที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสามารถช่วยในการตรวจจับและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือกในระยะเริ่มต้น ทำให้เกิดการรักษาที่เร็วขึ้น และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับผู้ที่มีสุขภาพช่องปากที่ดี:

  • ควรตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ปีละ 1-2 ครั้ง

สำหรับผู้ที่มีปัญหาทันตกรรมหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหา:

  • อาจต้องการการตรวจเป็นระยะทางสั้นกว่า ในบางกรณีอาจเป็นการตรวจทุก 3-6 เดือน

ผู้ที่ควรมีการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นระยะทางสั้นกว่าปกติ:

  1. ผู้ที่มีโรคเหงือก
  2. ผู้ที่มีประวัติการเกิดฟันผุ
  3. ผู้ที่สูบบุหรี่หรือใช้ยาสูบ
  4. ผู้ที่เป็นเบาหวาน
  5. ผู้ที่มีฟันแน่นเกินไป ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด
  6. ผู้ที่เคยได้รับการรักษาทันตกรรมหรือผ่าตัดฟันในช่องปาก

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยในการรักษาและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับความถี่ในการตรวจสุขภาพช่องปากที่เหมาะสมสำหรับสภาพของคุณ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอมหรือฟันสังเคราะห์มีหลายแบบ การเลือกเลือกฟันปลอมขึ้นอยู่กับความต้องการ, งบประมาณ, และคำแนะนำจากทันตแพทย์ โดยทั่วไปมีแบบดังนี้:

  1. ฟันปลอมแบบถอนได้ (Removable Dentures)
    • Partial Denture: ใช้เมื่อขาดฟันบางซี่ สามารถถอนออกได้ มักมีส่วนของโลหะเป็นโครงสร้าง
    • Full Denture: ใช้เมื่อขาดฟันทั้งช่องปาก สามารถถอนออกได้
  2. ฟันปลอมแบบเต็ม (Fixed Prosthodontics)
    • Dental Crowns: เป็นฟันปลอมที่หุ้มฟันที่เสียหาย สามารถใช้กับฟันที่สึกหรือกรามหลังจากการอัดฟัน
    • Dental Bridge: ใช้เมื่อมีการขาดฟัน 1-3 ซี่ โดยจะใช้ฟันข้างเคียงเป็นสนับสนุน สร้าง “สะพาน” เชื่อมข้ามที่ฟันขาด
  3. Implants (ฟันปลูก)
    • เป็นการวางโครงสร้างที่ทำจากโลหะ (ส่วนมากเป็นไททาเนียม) ลงในกระดูกของกรามฟัน แล้วค่อยหุ้มด้วย crown เพื่อให้ดูเหมือนฟันจริง
  4. ฟันครอบแบบ Crown
    สำหรับฟันที่เสียหายแต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ ฟันครอบจะถูกทำขึ้นมาเพื่อครอบหุ้มฟันที่เสียหาย
  5. ฟันสะสมแบบถาวร (Bridges)
    เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝังตะกร้า แต่ต้องการฟันที่เหมือนฟันจริงมากกว่าฟันสะสมนิ่ม

คำแนะนำในการเลือกฟันปลอม:

  • ควรปรึกษากับทันตแพทย์เกี่ยวกับสถานะการสูญเสียฟัน, ฟันที่เหลือ, และกระดูกฟัน เพื่อวินิจฉัยและแนะนำรูปแบบของฟันปลอมที่เหมาะสม
  • พิจารณางบประมาณ: ราคาการรักษาแตกต่างกันอย่างมาก โดยทั่วไป implants จะมีราคาสูงกว่าแบบอื่น
  • ความสะดวกสบาย: การรักษาและการดูแลรักษาหลังการรักษาจะต่างกัน ต้องการความคิดมากหรือน้อยเพียงใด
  • ความทนทานและการทำงานในระยะยาว: ฟันปลูก (implants) มีความทนทานและใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด แต่ก็ต้องการการดูแลในระยะยาว

ในทุกกรณี, การตัดสินใจเลือกฟันปลอมควรตามคำแนะนำของทันตแพทย์และความสะดวกสบายของผู้รับการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันคุดแบบไหนอันตราย

ฟันคุดแบบไหนอันตราย

ฟันคุด (ฟันปรีชาญาณ) คือฟันที่เติบโตมาเป็นที่สุดในวัยผู้ใหญ่ และมักจะเป็นฟันที่มีปัญหาส่วนใหญ่มากที่สุดเมื่อเทียบกับฟันชนิดอื่นๆ ภายในช่องปาก เนื่องจากตำแหน่งของฟันคุดมักจะอยู่ด้านในสุดของช่องปาก ทำให้การเติบโตของฟันคุดมักจะมีปัญหา เช่น ฟันคุดไม่สามารถเติบโตออกมาในทิศทางที่ถูกต้อง หรือฟันคุดที่เติบโตแนบเนียนกับฟันข้างเคียงแล้วทำให้เกิดการอักเสบ

ฟันคุดที่อาจก่อให้เกิดความอันตรายและควรพิจารณาการถอน มีดังนี้:

  1. ฟันคุดที่ไม่สามารถเติบโตออกมาได้เต็มที่ (Impacted Wisdom Teeth): หากฟันคุดไม่มีพื้นที่เพียงพอในช่องปากหรือมีการโตในทิศทางที่ผิดปกติ อาจจะทำให้ฟันคุดเป็นฟันฝังในเนื้อเยื่อหรือกระดูก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการอักเสบ และก้อนเนื้อแผลเป็นรอบ ๆ ฟันคุด
  2. ฟันคุดที่ทำให้เกิดการอักเสบ: การอักเสบรอบ ๆ ฟันคุดสามารถก่อให้เกิดการระบาดเชื้อแบคทีเรียไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  3. ฟันคุดที่ทำให้เกิดการเสียดทานกับฟันข้างเคียง: ฟันคุดที่เติบโตในทิศทางที่ผิดปกติอาจจะทำให้เกิดการเสียดทานกับฟันข้างเคียง
  4. ฟันคุดที่ทำให้เกิดปัญหาที่เหงือก: เนื่องจากตำแหน่งของฟันคุดอยู่ด้านในสุดของช่องปาก การทำความสะอาดฟันคุดอาจจะยาก และเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่เหงือก ทำให้เกิดการอักเสบที่เหงือก

ถึงแม้ว่าฟันคุดในบางกรณีอาจไม่แสดงอาการปัญหา แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสถานะของฟันคุดและการรักษาที่เหมาะสม.

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอมหรือฟันสังเคราะห์มีหลายแบบ การเลือกเลือกฟันปลอมขึ้นอยู่กับความต้องการ, งบประมาณ, และคำแนะนำจากทันตแพทย์ โดยทั่วไปมีแบบดังนี้:

  1. ฟันปลอมแบบถอนได้ (Removable Dentures)
    • Partial Denture: ใช้เมื่อขาดฟันบางซี่ สามารถถอนออกได้ มักมีส่วนของโลหะเป็นโครงสร้าง
    • Full Denture: ใช้เมื่อขาดฟันทั้งช่องปาก สามารถถอนออกได้
  2. ฟันปลอมแบบเต็ม (Fixed Prosthodontics)
    • Dental Crowns: เป็นฟันปลอมที่หุ้มฟันที่เสียหาย สามารถใช้กับฟันที่สึกหรือกรามหลังจากการอัดฟัน
    • Dental Bridge: ใช้เมื่อมีการขาดฟัน 1-3 ซี่ โดยจะใช้ฟันข้างเคียงเป็นสนับสนุน สร้าง “สะพาน” เชื่อมข้ามที่ฟันขาด
  3. Implants (ฟันปลูก)
    • เป็นการวางโครงสร้างที่ทำจากโลหะ (ส่วนมากเป็นไททาเนียม) ลงในกระดูกของกรามฟัน แล้วค่อยหุ้มด้วย crown เพื่อให้ดูเหมือนฟันจริง

คำแนะนำในการเลือกฟันปลอม:

  • ควรปรึกษากับทันตแพทย์เกี่ยวกับสถานะการสูญเสียฟัน, ฟันที่เหลือ, และกระดูกฟัน เพื่อวินิจฉัยและแนะนำรูปแบบของฟันปลอมที่เหมาะสม
  • พิจารณางบประมาณ: ราคาการรักษาแตกต่างกันอย่างมาก โดยทั่วไป implants จะมีราคาสูงกว่าแบบอื่น
  • ความสะดวกสบาย: การรักษาและการดูแลรักษาหลังการรักษาจะต่างกัน ต้องการความคิดมากหรือน้อยเพียงใด
  • ความทนทานและการทำงานในระยะยาว: ฟันปลูก (implants) มีความทนทานและใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด แต่ก็ต้องการการดูแลในระยะยาว

ในทุกกรณี, การตัดสินใจเลือกฟันปลอมควรตามคำแนะนำของทันตแพทย์และความสะดวกสบายของผู้รับการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

จัดฟันต้องจัดกี่รอบ

จัดฟัน ต้องจัดกี่รอบ

การจัดฟันไม่ได้แบ่งตาม “รอบ” หรือ “เซสชัน” เป็นหลัก, แต่มักจะแบ่งตามระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดฟันเพื่อให้ฟันอยู่ในที่ต้องการ ระยะเวลาในการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับ:

  1. ความซับซ้อนของปัญหาฟัน: บางครั้งอาจเป็นเพียงการจัดฟันเล็กน้อย, แต่บางครั้งก็อาจเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลานาน
  2. เทคนิคการจัดฟัน: มีเทคนิคการจัดฟันหลายประเภท เช่น braces แบบประดิษฐ์, braces แบบใส, หรือแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ (เช่น Invisalign)
  3. ความร่วมมือของผู้รับการรักษา: การเข้าพบทันตแพทย์ตามนัด และการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลฟันเป็นสิ่งสำคัญ

โดยทั่วไป, การจัดฟันด้วย braces แบบประดิษฐ์ หรือ braces แบบใส มักต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหา แต่หากเป็นแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ เช่น Invisalign การรักษาอาจสั้นลงเป็น 6-18 เดือน ในกรณีที่ฟันมีปัญหาเล็กน้อย

แต่อย่างไรก็ตาม, ควรปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความต้องการและสถานะฟันของคุณเพื่อประเมินระยะเวลาและขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสม.

จัดฟัน ขั้นตอน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการเวลานานและการดูแลจากทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อปรับปรุงการจัดวางของฟันและกรามฟันให้เป็นเส้นตรงและสวยงามขึ้น ขั้นตอนในการจัดฟันประกอบด้วย:

  1. การประเมิน: ก่อนเริ่มการจัดฟัน คุณต้องประเมินสภาพฟันและกระดูกฟัน ซึ่งอาจรวมถึงการถ่ายภาพ X-ray ของฟัน, การสร้างรูปฟันจากโมเดล และการตรวจสอบประวัติสุขภาพช่องปาก
  2. การวางแผนการรักษา: ทันตแพทย์จัดฟันจะเสนอแผนการรักษา รวมถึงการเลือกวิธีการจัดฟัน อาจเป็น braces แบบดั้งเดิม, Invisalign, หรือวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาของคุณ
  3. การติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน: หากคุณเลือกใช้ braces, ทันตแพทย์จะติดตั้งและปรับเครื่องมือจัดฟันตามการวางแผนการรักษาที่กำหนดไว้
  4. การปรับเครื่องมือจัดฟัน: คุณจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน ทุกๆ 4-6 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำ
  5. การดูแลรักษาระหว่างการจัดฟัน: ควรทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำจากทันตแพทย์ เพื่อให้กระบวนการจัดฟันเป็นผล
  6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน: เมื่อเสร็จสิ้นการรักษา ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟันออก และให้คุณใส่ retainers หรือเครื่องมือที่ช่วยรักษาการจัดวางของฟันให้คงที่
  7. การใช้ Retainers: หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟัน คุณจะต้องใส่ retainers เพื่อป้องกันฟันย้ายกลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยปกติจะต้องใส่เต็มวันในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดลงเป็นเฉพาะเวลากลางคืน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการความอดทนและความร่วมมือจากผู้รับการรักษา การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์และการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การรักษาเป็นผลดีที่สุด.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม