หากพูดถึงการสูญเสียฟันซี่ใดซี่หนึ่งไป เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีความกังวลไม่มากก็น้อย ทั้งในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก การบดเคี้ยวอาหาร ไปจนถึงผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม ซึ่งในอดีต การแก้ปัญหาหลัก ๆ มักหนีไม่พ้นการใส่ฟันปลอมหรือสะพานฟัน (Bridge) เพื่อทดแทน แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางทันตกรรม เรามีทางเลือกใหม่ที่ถือว่าให้ผลใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด นั่นก็คือ “รากฟันเทียม” บทความนี้จะพาคุณมาเจาะลึก รากฟันเทียมแบบละเอียดทุกมิติ ตั้งแต่หลักการทำงาน ข้อดี-ข้อจำกัด ขั้นตอนการรักษา ตลอดจนวิธีดูแลหลังการติดตั้ง เพื่อให้คุณได้ข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจ
รากฟันเทียมคืออะไร และทำงานอย่างไร
ก่อนจะเจาะลึก รากฟันเทียมกันแบบเต็ม ๆ อยากชวนทุกคนกลับมาดูโครงสร้างฟันของเราคร่าว ๆ กันก่อน ฟันธรรมชาติของคนเราประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกคือ “ตัวฟัน” (Crown) ที่โผล่พ้นเหงือกขึ้นมา และส่วนที่สองคือ “รากฟัน” (Root) ซึ่งฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่ยึดตัวฟันให้แน่น รากฟันที่สมบูรณ์แข็งแรงจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ฟันของเราทนต่อแรงบดเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ “รากฟันเทียม” (Dental Implant) นั้น ก็คือสกรูไทเทเนียมที่ออกแบบมาให้มีลักษณะคล้ายรากฟันธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นเสาหลักยึดตัวฟันปลอมหรือครอบฟันเหนือเหงือกให้มั่นคง เมื่อฝังลงในกระดูกขากรรไกรแล้ว กระดูกก็จะสร้างเนื้อเยื่อใหม่มายึดติดกับผิวของรากฟันเทียม เกิดเป็นการยึดกันแน่นหนา (Osseointegration) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของขากรรไกร ซึ่งจุดเด่นของระบบนี้คือ ความแข็งแรง ทนทาน และให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับฟันจริงที่สุด
ทำไม “รากฟันเทียม” ถึงได้รับความนิยมมากขึ้น
การสูญเสียฟันแท้เพียงซี่เดียว แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่กลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากได้อย่างคาดไม่ถึง ฟันที่เหลืออาจล้มเอียงเข้าหาช่องว่าง กระทบการสบฟัน และบดเคี้ยวอาหารได้ไม่เต็มที่ หลายคนจึงมองหาวิธีทดแทนที่จะทำให้ช่องปากกลับมาสมบูรณ์ ซึ่ง “รากฟันเทียม” ตอบโจทย์ประเด็นนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเหตุผลหลัก ๆ ที่คนตัดสินใจเลือกทำรากฟันเทียม มีดังนี้
-
ความมั่นคงและแข็งแรง
เมื่อเทียบกับฟันปลอมหรือสะพานฟันที่ต้องอาศัยฟันข้างเคียงเป็นตัวช่วยพยุง รากฟันเทียมสามารถยึดติดกับกระดูกขากรรไกรได้ด้วยตัวเอง ลดการสึกกร่อนของฟันดีข้างเคียง และให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติกว่า -
ช่วยรักษารูปร่างของกระดูกขากรรไกร
เมื่อไม่มีรากฟันอยู่ในกระดูก ขากรรไกรในบริเวณนั้นอาจเกิดการยุบตัวตามกาลเวลา แต่รากฟันเทียมจะช่วยรักษาปริมาตรกระดูก ลดโอกาสที่ใบหน้าจะทรุดหรือเปลี่ยนรูปในระยะยาว -
อายุการใช้งานยาวนาน
หากดูแลอย่างเหมาะสม รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้ตั้งแต่สิบปีจนถึงตลอดชีวิต ทำให้คุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะไม่จำเป็นต้องซ่อมบ่อย ๆ เหมือนฟันปลอมบางประเภท -
เพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้มและการใช้ชีวิต
หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะพูดหรือยิ้มให้เห็นช่องว่างของฟันที่สูญเสียไป การใส่รากฟันเทียมจึงช่วยคืนความมั่นใจ และสร้างบุคลิกภาพที่ดีในหลาย ๆ ด้าน
เจาะลึกรากฟันเทียม: ประเภทและวัสดุหลัก
แม้ว่าคำว่า “รากฟันเทียม” จะถูกใช้โดยทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วในทางทันตกรรมยังมีหลากหลายระบบและยี่ห้อแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี วัสดุ การออกแบบเกลียวของสกรู และระดับคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้วัสดุหลักเป็น “ไทเทเนียม” เนื่องจากมีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อกระดูก โอกาสเกิดการต่อต้านหรือติดเชื้อต่ำมากเมื่อเทียบกับโลหะอื่น ๆ อีกทั้งยังทนทาน ไม่เกิดสนิม หรือผุกร่อนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ในตลาดก็มีรากฟันเทียมเซรามิกที่พัฒนาออกมาใหม่สำหรับคนที่แพ้โลหะบางประเภท แต่ยังไม่แพร่หลายเท่าไทเทเนียม
นอกจากเรื่องวัสดุ จุดต่างอีกข้อคือการแบ่งประเภทตามตำแหน่งฝัง เช่น
-
Subperiosteal Implants
เป็นการติดตั้งอุปกรณ์เหนือกระดูกขากรรไกรแต่ใต้เนื้อเยื่อเหงือก เดิมทีนิยมใช้ในอดีตสำหรับผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรเหลือน้อย ไม่สามารถฝังสกรูลงไปในกระดูกได้ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว เพราะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงกว่า -
Endosteal Implants
คือการฝังสกรูลงในกระดูกโดยตรง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้แพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน ออกแบบให้มีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายสกรู สามารถยึดติดได้แน่น และมีอัตราประสบความสำเร็จสูง -
Zygomatic Implants
เน้นใช้ในกรณีที่กระดูกขากรรไกรบนมีปริมาณไม่เพียงพอ มักใช้เทคนิคยึดกับกระดูกโหนกแก้ม (Zygoma) แทน อย่างไรก็ตาม การติดตั้งวิธีนี้ซับซ้อนและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ขั้นตอนการติดตั้งรากฟันเทียม: จากวางแผนสู่รอยยิ้มใหม่
-
ตรวจประเมินสภาพช่องปาก
ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปากทั้งหมด หากมีปัญหาอื่น ๆ เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือหินปูนสะสมมาก จำเป็นต้องรักษาให้เรียบร้อยก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อระหว่างและหลังทำ -
เอกซเรย์หรือสแกน 3 มิติ
ขั้นตอนนี้ช่วยให้ทันตแพทย์เห็นถึงความหนาแน่นของกระดูก ตำแหน่งโพรงประสาทและไซนัส รวมถึงวางแผนความยาวและขนาดของรากฟันเทียมได้อย่างแม่นยำ -
ผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
โดยปกติจะใช้ยาชาเฉพาะที่ แต่บางคนอาจขอรับยาสลบหากกังวลหรือกลัวการผ่าตัด เมื่อตำแหน่งพร้อมแล้ว ทันตแพทย์จะเจาะกระดูกเพื่อฝังสกรูไทเทเนียมลงไป แล้วปิดเหงือกกลับตามเดิม -
ช่วงรอให้กระดูกยึดติด
ระยะนี้มักเรียกว่า “Osseointegration” ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน (แตกต่างไปตามบุคคล) ในช่วงนี้รากฟันเทียมจะค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับกระดูกขากรรไกร -
ติดตั้งแกนเชื่อมและครอบฟัน
เมื่อรากฟันเทียมยึดติดแข็งแรงแล้ว ทันตแพทย์จะเปิดเหงือกเพื่อใส่ “Abutment” หรือแกนเชื่อม ระหว่างรากเทียมกับครอบฟัน ก่อนจะพิมพ์แบบและสั่งทำครอบฟันเฉพาะบุคคลเพื่อยึดบน Abutment จากนั้นจึงเสร็จสมบูรณ์
ความรู้สึกหลังติดตั้งและการพักฟื้น
ช่วงหลังผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเจ็บหรือบวมบริเวณเหงือกเล็กน้อย เหมือนกับการถอนฟันหรือผ่าฟันคุด แพทย์มักสั่งยาลดปวดและยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการอักเสบ ร่วมกับแนะนำให้ประคบเย็นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นอาการต่าง ๆ จะดีขึ้นตามลำดับ ส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติภายใน 2-3 วัน
นอกจากนี้ ช่วงพักฟื้น 3-6 เดือนที่รอกระดูกยึดติดกับรากฟันเทียม อาจต้องใส่ฟันปลอมชั่วคราวหรือบางกรณีทันตแพทย์จะทำ “รากฟันเทียมแบบโหลดทันที” (Immediate Loading) ให้เราใส่ครอบฟันชั่วคราวบนรากเทียมได้เลย แต่ต้องควรระมัดระวังเรื่องแรงเคี้ยวในช่วงแรก เพื่อให้โครงสร้างยึดกันอย่างสมบูรณ์
เจาะลึก รากฟันเทียม: ข้อดี ข้อจำกัด และคนที่ไม่ควรทำ
ข้อดีเด่น ๆ ของรากฟันเทียม
- ให้ความรู้สึกและการทำงานใกล้เคียงฟันแท้: หมดกังวลเรื่องฟันหลวมขณะเคี้ยว หรือกลัวฟันหลุดเมื่อพูดคุย
- ไม่จำเป็นต้องกรอฟันข้างเคียง: ต่างจากการทำสะพานฟันที่ต้องกรอฟันเพื่อเป็นเสาค้ำ
- ป้องกันการยุบตัวของกระดูก: รักษารูปหน้าและโครงสร้างเหงือกให้คงสภาพ
- อายุการใช้งานนาน: เมื่อดูแลถูกวิธี สามารถอยู่ได้หลายสิบปี
ข้อจำกัดและความเสี่ยง
- ค่าใช้จ่ายสูง: เมื่อเทียบกับฟันปลอมชนิดถอดได้ รากฟันเทียมมีราคาสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
- ระยะเวลารอค่อนข้างนาน: ต้องรอให้กระดูกยึดติดกัน ซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือน
- ต้องการสุขภาพช่องปากที่ดี: หากมีโรคเหงือกขั้นรุนแรง หรือสูบบุหรี่จัดจนกระทบการฟื้นตัวของกระดูก อาจทำให้ความสำเร็จของรากฟันเทียมลดลง
- ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: การเลือกทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์และผ่านการฝึกอบรมการฝังรากฟันเทียมโดยเฉพาะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ใครบ้างที่อาจไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่มีภาวะกระดูกขากรรไกรเหลือน้อยมากจนไม่สามารถปลูกกระดูกเพิ่มได้ หรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพเช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด เนื่องจากบุหรี่ส่งผลเสียต่อเหงือกและการเชื่อมต่อกระดูก
- ผู้ที่กำลังเข้ารับการฉายแสงหรือทำเคมีบำบัด ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและการสร้างกระดูก
- เด็กที่กระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ (ทันตแพทย์อาจเลื่อนการทำไปจนกว่ากระดูกจะเจริญเต็มที่)
คำแนะนำในการดูแลรากฟันเทียมให้ใช้งานได้ยาวนาน
แม้รากฟันเทียมจะทนทานมาก แต่ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไปอีกหลายสิบปี
-
แปรงฟันและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปากช่วยทำความสะอาดตามซอก เพราะคราบจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียยังสามารถสะสมบริเวณรอบ ๆ คอฟันเทียมได้ -
เข้าตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ
ทันตแพทย์จะช่วยเช็กสภาพเนื้อเยื่อเหงือก และดูว่ามีการอักเสบหรือปัญหาการสบฟันหรือไม่ อย่างน้อยควรไปทุก 6 เดือน -
หลีกเลี่ยงการกัดของแข็งมากเกินไป
แม้รากฟันเทียมจะแข็งแรง แต่การกัดอาหารหรือวัตถุที่แข็งเกินไปอาจทำให้ครอบฟันหรือส่วนเชื่อมเกิดความเสียหายได้ -
งดสูบบุหรี่หรือปรับลดปริมาณ
บุหรี่และสารนิโคตินกระทบต่อสุขภาพเหงือก รวมถึงการไหลเวียนเลือด จึงอาจทำให้ความสำเร็จของการฝังรากฟันเทียมลดลง -
สอบถามทันตแพทย์หากมีอาการผิดปกติ
เช่น ปวด บวม แดง หรือตกเลือดผิดปกติ ไม่ควรปล่อยไว้ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ
ค่าใช้จ่ายรากฟันเทียม: คุ้มค่าแค่ไหนในระยะยาว
หนึ่งในประเด็นหลักที่หลายคนลังเลคือ “รากฟันเทียมราคาแพงหรือไม่?” โดยทั่วไปต้นทุนในการฝังรากฟันเทียมจะรวมถึง
- ค่าฝังรากเทียม (Implant Fixture)
- ค่า Abutment (แกนเชื่อม)
- ค่า Crown (ครอบฟัน)
- ค่ายาและค่าบริการอื่น ๆ
ราคาจะผันแปรตามแบรนด์ อุปกรณ์ และความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ระยะยาว รากฟันเทียมที่ติดตั้งอย่างถูกต้องจะอยู่ได้นานเป็นสิบปี แถมยังช่วยป้องกันการยุบตัวของกระดูก ซึ่งถ้าสูญเสียกระดูกไปมากก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายปลูกกระดูกเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น หลายคนจึงมองว่าการลงทุนครั้งเดียวกับรากฟันเทียมอาจคุ้มกว่าการเปลี่ยนฟันปลอมบ่อย ๆ หรือรับความยุ่งยากในการแก้ปัญหาเสริมภายหลัง
รากฟันเทียมกับฟันปลอม: เลือกแบบไหนดี
แม้รากฟันเทียมจะมีข้อดีในหลาย ๆ ด้าน แต่บางกรณีก็ยังเหมาะกับการใส่ฟันปลอมอยู่ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพช่องปาก งบประมาณ และความพร้อมด้านสุขภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก โดยเฉพาะในรายที่ไม่สามารถผ่าตัดปลูกกระดูกหรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพมาก ๆ ฟันปลอมชนิดถอดได้ก็อาจเป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายกว่า
- ฟันปลอมถอดได้ (Removable Denture): ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ติดตั้งไม่ยุ่งยาก แต่ไม่ค่อยมั่นคง และจำเป็นต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน
- ฟันปลอมแบบสะพานฟัน (Bridge): เหมาะกับคนที่ฟันข้างเคียงแข็งแรงเพียงพอสำหรับรองรับสะพาน แต่ต้องมีการกรอฟันทำเขี้ยวหรือครอบ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการอักเสบหรือผุในระยะยาว
ในทางกลับกัน “รากฟันเทียม” ช่วยเลี่ยงการกรอฟันข้างเคียง และทำให้ผู้ใช้มีความมั่นใจในการเคี้ยวอาหารและพูดคุยมากกว่า ด้วยข้อได้เปรียบหลายประการนี้เอง ทำให้รากฟันเทียมกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการทดแทนฟันถาวร
จะเลือกคลินิกรากฟันเทียมอย่างไรให้มั่นใจ
เมื่อต้องลงทุนเรื่องรากฟันเทียมซึ่งราคาค่อนข้างสูง ประกอบกับความปลอดภัยที่ต้องมาก่อน การเลือกทันตแพทย์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์: ควรเป็นทันตแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะ มีใบประกาศหรือผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ
- เทคโนโลยีและอุปกรณ์: คลินิกที่ใช้เครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ หรือเทคโนโลยีสแกนช่องปาก จะช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนรักษา
- คุณภาพวัสดุ: รากฟันเทียมมีหลายแบรนด์ เช่น Straumann, Nobel Biocare, Astra, Zimmer เป็นต้น ควรสอบถามถึงมาตรฐานหรือการรับรองของแต่ละยี่ห้อ
- การติดตามผลและรับประกัน: คลินิกควรมีการนัดหมายติดตามเพื่อประเมินการยึดติดของรากเทียม และยินดีแก้ไขหากเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กำหนด
- สถานที่และความสะดวก: อย่ามองข้ามเรื่องตำแหน่งคลินิกและการเดินทาง เพราะคุณอาจต้องเข้ามาพบแพทย์หลายครั้งในช่วงพักฟื้น
รากฟันเทียมแบบ All-on-4 และ All-on-6 ทางเลือกสำหรับผู้สูญเสียฟันทั้งปาก
นอกเหนือจากการฝังรากฟันเทียมซี่ต่อซี่ (Single Implant) ปัจจุบันยังมีระบบ All-on-4 หรือ All-on-6 ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้เพียง 4 หรือ 6 รากเทียมเป็นตัวรองรับฟันปลอมทั้งปาก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันเหลืออยู่เลย หรือมีฟันที่สภาพไม่แข็งแรงจนจำเป็นต้องถอนทั้งหมด ข้อดีคือ ลดจำนวนรากเทียมที่ต้องฝัง ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการผ่าตัด และบางครั้งผู้ป่วยสามารถใส่ฟันชั่วคราวได้ภายในวันเดียวกัน (Immediate Loading) ช่วยให้ใช้ชีวิตได้สะดวกในช่วงพักฟื้นโดยไม่ต้องปล่อยให้ไม่มีฟัน
อย่างไรก็ตาม เทคนิค All-on-4 หรือ All-on-6 จะได้ผลดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและปริมาณกระดูกของขากรรไกรแต่ละคน รวมทั้งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของทีมทันตแพทย์และเทคโนโลยีสนับสนุนอีกด้วย
มุมมองระยะยาว: ลงทุนวันนี้เพื่อสุขภาพช่องปากในอนาคต
เมื่อพูดถึงการเจาะลึก รากฟันเทียม หลายคนอาจติดภาพว่ามันเป็นการลงทุนที่ใช้เงินไม่น้อย บวกกับความยุ่งยากในขั้นตอนการผ่าตัด แต่ถ้าพิจารณาจากความคุ้มค่าในแง่สุขภาพและคุณภาพชีวิตระยะยาว รากฟันเทียมถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะ
- ลดความเสี่ยงต่อการกัดหรือเคี้ยวผิดพลาด: ไม่ต้องกังวลว่าฟันจะหลุดหรือทำให้เกิดแผลในปาก
- ช่วยรักษาสุขภาพกระดูกขากรรไกร: ป้องกันไม่ให้โครงหน้าทรุดเร็วหรือเปลี่ยนรูปไปตามอายุ
- เสริมความมั่นใจ: ไม่ว่าจะพูดหรือยิ้ม ก็รู้สึกเป็นธรรมชาติ เหมือนฟันจริงของตัวเอง
- ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ: รับประทานอาหารแข็งได้หลากหลายมากกว่าการใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้
สิ่งสำคัญคือ การปรึกษาทันตแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อประเมินความพร้อมและความเหมาะสมของเคส เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสามารถลงรากฟันเทียมได้ทันที บางคนอาจต้องปลูกกระดูกเสริม (Bone Graft) ก่อน หรือรักษาโรคเหงือกให้สมบูรณ์ แล้วค่อยวางแผนระยะเวลาการรักษาให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน
ตอบคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับรากฟันเทียม
Q1: ฝังรากฟันเทียมเจ็บไหม?
จริง ๆ แล้วกระบวนการผ่าตัดรากฟันเทียมใช้ยาชาเฉพาะที่ ทำให้ระหว่างทำแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย อาจมีอาการตึง ๆ หรือเจ็บเล็กน้อยหลังหมดฤทธิ์ชา แต่สามารถบรรเทาด้วยยาลดปวดที่แพทย์จ่ายได้ ในไม่กี่วันอาการจะค่อย ๆ ทุเลาลง
Q2: รากฟันเทียมอายุการใช้งานนานเท่าไร?
โดยทั่วไปหากดูแลดี (แปรงฟัน ใหมขัดฟัน สังเกตสุขภาพเหงือก) และเข้าพบทันตแพทย์สม่ำเสมอ รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้ตั้งแต่ 10-25 ปี หรือมากกว่านั้น
Q3: สามารถฝังรากฟันเทียมได้กี่ซี่พร้อมกัน?
ขึ้นอยู่กับสุขภาพช่องปากและปริมาณกระดูกของแต่ละคน หากกระดูกขากรรไกรสมบูรณ์ดี สามารถฝังทีเดียวหลายซี่ได้ และอาจพิจารณาเทคนิค All-on-4 หรือ All-on-6 ในกรณีสูญเสียฟันทั้งปาก
Q4: จำเป็นต้องปลูกกระดูกก่อนฝังรากฟันเทียมหรือไม่?
คนที่กระดูกบางหรือยุบตัวไปมาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ปลูกกระดูกเสริมก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสที่รากฟันเทียมจะยึดติดแน่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว
Q5: ถ้าสูบบุหรี่ ยังทำรากฟันเทียมได้ไหม?
ไม่ใช่ข้อห้ามเด็ดขาด แต่ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจทำให้เหงือกอักเสบได้ง่าย และอาจลดประสิทธิภาพการยึดติดระหว่างกระดูกกับรากเทียม
สรุปส่งท้าย: รากฟันเทียมเป็นมากกว่าการทดแทนฟันที่หายไป
เมื่อเราได้ “เจาะลึก รากฟันเทียม” ลงไปในทุกรายละเอียด จะพบว่านี่ไม่ใช่แค่การปลูกรากโลหะแล้วครอบฟัน แต่คือศาสตร์และศิลป์ของทันตกรรมที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญ และการดูแลอย่างถูกวิธี ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินสภาพกระดูก กำหนดตำแหน่งที่เหมาะสม ไปจนถึงการควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัยและเทคนิคการผ่าตัดที่แม่นยำ ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ผู้ป่วยได้ใช้งานฟันที่แข็งแรง ทนทาน และใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
การเลือกทำรากฟันเทียมถือเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่หลายคนตัดสินใจด้วยเหตุผลต่าง ๆ อาจเพราะอยากคืนความมั่นใจในรอยยิ้ม บางคนต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในการเคี้ยวอาหารเพื่อให้ได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน หรือเพื่อป้องกันปัญหาเหงือกและกระดูกในอนาคต อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สิ่งที่ควรทำคือเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน และรู้จักดูแลช่องปากของตัวเองหลังการติดตั้งอย่างเคร่งครัด
ท้ายที่สุด ความหมายของการมี “รากฟันเทียม” อาจไม่ได้สิ้นสุดแค่ตอนครอบฟันเสร็จเรียบร้อย แต่มันหมายถึงการมีฟันใหม่ที่แทบไม่ต่างจากฟันแท้ ยิ่งคุณใส่ใจดูแลและเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ รากฟันเทียมก็สามารถอยู่เคียงข้างคุณได้อย่างยาวนาน ช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น และดื่มด่ำกับอาหารจานโปรดได้ในทุกช่วงวัยของชีวิตอย่างมีความสุขแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เอง รากฟันเทียมจึงไม่ใช่แค่ “อีกทางเลือก” หากแต่คือ “ทางออก” ที่สมบูรณ์แบบสำหรับใครก็ตามที่ต้องการกลับมามีฟันแข็งแรงและสุขภาพช่องปากที่ดีที่สุดในระยะยาว
สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)
#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม