การขจัดคราบบนผิวฟันด้วยระบบ Airflow

การขจัดคราบบนผิวฟันด้วยระบบ Airflow

เคยลองคิดกันไหมคะว่า แค่การแปรงฟันอย่างเดียวจะทำให้ฟันของเราสะอาดไปได้ตลอดหรือไม่ เนื่องจากในแต่ละวันเรากินอาหารจำนวนมากมาย โดยเฉพาะอาหารจำพวกเครื่องดื่มชาและกาแฟ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันของเราเกิดคราบพลัค ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกตามมา สิ่งหนึ่งที่ทันตแพทย์แนะนำเมื่อมาตรวจสุขภาพฟัน นั่นคือ การขูดหินปูน เป็นวิธีการทำความสะอาดคราบพลัคที่สะสมจนก่อตัวเป็นคราบที่แข็งและหยาบที่เรียกว่าหินน้ำลายหรือที่เรารู้จักกันดีว่าหินปูนนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยทำความสะอาดฟันได้ดียิ่งขึ้น เราจะไปทำความรู้จักการขูดหินปูนและการขจัดคราบบนผิวฟันด้วยระบบ Airflow กันค่ะ

การขูดหินปูนคืออะไร
         
การขูดหินปูน เป็นการรักษาที่ง่ายและรวดเร็ว โดยปัจจุบันนี้ เครื่องขูดหินปูน มักเป็นระบบแรงดันน้ำผสมกับแรงสั่นสะเทือนของหัวขูดหินปูน ที่ถูกผลิตและพัฒนาขึ้นมา ให้มีแรงที่สามารถกระเทาะได้เฉพาะหินปูนเท่านั้น ซึ่งมีผลดีคือไม่ทำให้ฟันกร่อนหรือบางลงได้ เครื่องขูดหินปูนนี้มักใช้ขูดหินปูนที่อยู่เหนือเหงือก ส่วนหินปูนที่อยู่ลึกลงไปใต้เหงือก จะใช้เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าเข้าไปขูดหินปูนออกจากผิวรากฟันในส่วนที่ลึกลงไปใต้เหงือก และเมื่อขูดหินปูนเรียบร้อย ทันตแพทย์จะทำการขจัดคราบโดยการใช้ผงขัดฟันขัดซ้ำที่ผิวฟันทั้งปาก ในบางกรณีที่ผงขัดไม่สามารถขจัดคราบได้หมด เช่นคราบที่เหนียวมาก หรือมีสีเข้มจัด เช่น คราบชา กาแฟ ไวน์แดง บุหรี่ เป็นต้น คราบเหล่านี้ต้องใช้ระบบ Airflow ช่วยขจัดออก จะทำให้ผิวฟันสะอาดใส วาว เนียนเรียบได้เร็วยิ่งขึ้น

Airflow คืออะไร
         
Airflow เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แรงดันน้ำและผงเคมีสำหรับขัดในการทำความสะอาดคราบออกจากผิวฟัน โดยใช้หลักของการพ่นละอองที่มีส่วนผสมของอากาศ น้ำ และผงขัดทำความสะอาดชนิดพิเศษ (Phophylaxis Powder) ช่วยขจัดคราบฟันคราบฝังแน่นและคราบพื้นผิวออกจากหลุมร่องฟันและช่องว่างระหว่างฟัน ในจุดที่ที่ทำความสะอาดได้ยาก เพื่อการทำความสะอาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผิวฟันเรียบเนียนไม่ทำให้เกิดการสึกกร่อน

ประโยชน์ของ Airflow
         
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า ระบบ Airflow เข้ามาใช้รักษา ขูดหินปูนในจุดที่เครื่องขูดหินปูนธรรมดาทำไม่ได้ แต่ประโยชน์ของระบบนี้ยังมีนอกเหนือจากนี้ ได้แก่
            1. ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
         
พลังของเครื่อง Airflow จะช่วยควบคุมแรงดันของน้ำและผงเคมีที่ใช้สำหรับขัด แต่ไม่เพียงแค่ขัดพื้นผิวฟันทั้งหมด แต่ยังช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ตัวทำให้ฟันเปลี่ยนสีและสกปรกออกด้วย รวมถึงสามารถขูดลึกเข้าไปในร่องลึกปริทันต์ได้ลึกถึง 5 มม. มีประสิทธิภาพมากกว่าการขูดหินปูนแบบธรรมดา การปล่อยคราบทิ้งไว้เป็นอันตรายอาจทำให้เกิดโรคปริทันต์อักเสบและเนื้อเยื่อรอบรากเทียมอักเสบได้ ยิ่งไปกว่านั้นมีความปลอดภัยกับรากฟันเทียมวีเนียร์สำหรับครอบฟันและสะพานฟัน
            2. เพิ่มความสะดวกสบายให้คนไข้
         
ใครก็ตามที่เคยใช้เครื่องมือขูดที่ขูดเข้าไปในเหงือกหรือใช้แผ่นขัดลงบนเคลือบฟัน จะสนใจการใช้ระบบ  Airflow ซึ่งเป็นวิธีการทำความสะอาดที่ไม่เจ็บปวดและยังรวดเร็ว แม้กระทั่งร่องลึกปริทันต์และพื้นที่ใกล้เคียงก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทำให้เกิดความไม่สบายปากและเครื่องมือเทคนิคนี้จะไม่สร้างความร้อนหรือการสั่นสะเทือนใด ๆ ผงขัดปลอดสารพิษ มีรสชาติหลากหลายที่ดีกว่าผงขัดด้วยเครื่องขูดหินปูนธรรมดา
            3. ลดอาการเสียวฟัน
         
การขัดฟันแบบ Airflow เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเสียวฟัน สิ่งนี้ไม่เพียงเกิดจากการขาดการสัมผัสโดยตรง ไม่มีความร้อนและการสั่นสะเทือน แต่เนื่องจากอนุภาคขนาดเล็กของผงขัดสามารถเติมเต็มท่อเนื้อฟันที่สัมผัสและลดความไวที่จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ การขัดผิวด้วยระบบ Airflow สามารถกระตุ้นให้เกิดกระบวนการคืนแร่ธาตุใหม่ของฟันที่เสียหายได้ กล่าวคือเป็นการทำให้ฟลูออไรด์กระจายเข้าสู่ผิวเคลือบฟัน
            4. ทำความสะอาดได้เร็วขึ้น
         
จากการศึกษาพบว่า Airflow สามารถขจัดคราบที่ฝังแน่นและคราบจุลินทรีย์ได้เร็วกว่าวิธีการทั่วไปถึงสามเท่า ซึ่งหมายความว่าคนไข้จะมีเวลาอยู่บนเก้าอี้น้อยลงและมีการหยุดชะงักที่น้อยลงด้วย รวมถึง ยังทำความสะอาดฟันที่ทำให้เกิดความเสียหายสึกกร่อนน้อยกว่า


            หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ขูดหินปูนมานานแล้ว หรืออาจจะเริ่มสังเกตเห็นคราบบนผิวฟัน ที่สีแตกต่างออกไปจากสีของฟัน นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่คุณควรจะไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันแล้วก็ได้ค่ะ และอย่าลืมศึกษาหรือจะทดลองการขจัดคราบบนผิวฟันด้วย Airflow กันนะคะ แล้วคุณจะลืมการขูดหินปูนแบบเก่า ๆ ไปเลย

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำ Air Flow

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829

Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental

ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

#BPDC #ตรวจสุขภาพฟัน #ขูดหินปูน # AirFlow #เคลือบฟลูออไรด์

เปรียบเทียบการฟอกสีฟัน แบบไหนเหมาะสมกับเราที่สุด

เปรียบเทียบการฟอกสีฟัน แบบไหนเหมาะสมกับเราที่สุด

ยิ่งเราโตขึ้น ฟันของเราก็ผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน นั่นส่งผลให้สีของฟันเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในคนที่ดื่มชาหรือกาแฟบ่อย ๆ ก็จะสังเกตเห็นได้ว่าสีฟันจากขาวค่อย ๆ คล้ำและเหลืองไปตามอาหารที่เราบริโภคเข้าไป แต่ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการกลับมามีรอยยิ้มที่ขาวสว่างใสเหมือนเดิม นั่นคือ “การฟอกสีฟัน” ที่จะสามารถเนรมิตสีฟันของคุณให้ขาวสวยดังตั้งใจ แต่จะว่าไปแล้วนั้นการฟอกฟันก็มีมากมายหลายรูปแบบ เราจะมาเปรียบเทียบการสีฟันกันค่ะ ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเราที่สุด

การฟอกสีฟันคืออะไร?
         
การฟอกสีฟัน เป็นกระบวนการเพิ่มความขาวของฟันโดยใช้น้ำยาฟอกสีฟันและกระตุ้นการแตกตัวของน้ำยาฟอกสีฟันด้วยระบบแสง cool light  ทำให้โมเลกุลของออกซิเจนแทรกซึมผ่านผิวเคลือบฟัน แล้วเข้าไปปรับผลึกเม็ดสีในชั้นเนื้อฟันและขจัดเม็ดสีในเน ทำให้ฟันขาวขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสีนั้นมีด้วยกัน 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ บุหรี่ อาหารและเครื่องดื่ม ส่วนปัจจัยภายใน ได้แก่ การสะสมของสารเคมีสีในเนื้อฟันในช่วงที่สร้างฟันหรือเกิดภาวะฟันตาย

ประเภทของการฟอกสีฟัน
         
การฟอกสีฟันมีหลายวิธี ซึ่งทุกวิธีจะต้องใช้สารเคมีประเภทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ (ประมาณ 10-20%) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยเราจะแบ่งการฟอกสีฟันตามสถานที่ของผู้ฟอกสีฟันหรือสารเคมีที่ใช้ ดังนี้
            1. In-office Power Bleaching จะทำในคลินิก โดยทันตแพทย์จะใช้สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นสูง (ประมาณ 35%) การฟอกฟันชนิดนี้จะเห็นผลทันที แต่ผลจะอยู่ไม่ถาวร เฉลี่ยโดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปี (ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับอาหารที่กินไป) ข้อดีคือมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากทุกขั้นตอนอยู่ในความดูแลของทันตแพทย์
            2. At-home Bleaching สามารถทำได้เองที่บ้าน ด้วยสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ (ประมาณ 10%) โดยวิธีนี่จะต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อพิมพ์ปาก ทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล จากนั้นจะได้รับน้ำยาฟอกสีฟันพร้อมคำแนะนำในการใช้ โดยมากจะแนะนำให้ฟอกก่อนนอนและทิ้งไว้ทั้งคืน การฟอกฟันแบบนี้มีข้อดีตรงที่สะดวกสบาย ราคาถูกกว่า แต่ต้องอาศัยเวลานานกว่าข้อแรก รวมถึงต้องมีวินัยในการทำ เนื่องจากต้องทำซ้ำกันบ่อย ๆ จึงจะเห็นผลที่ดี

            3. In-office assisted Bleaching เป็นการฟอกสีฟันที่ทำระหว่างข้อ 1 และข้อ 2 โดยจะทำในกรณีที่ฟันมีสีเริ่มต้นที่เข้มมาก ซึ่งจะทำที่คลินิกก่อนแล้วจึงนำกลับไปทำที่บ้าน
            4. Over-the-counter Bleaching ใช้สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำซึ่งออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีวางขายทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านค้าและร้านขายยาชั้นนำ เช่น แถบฟอกสีฟัน ยาสีฟันช่วยให้ฟันขาว น้ำยาบ้วนปากฟอกฟันขาว ข้อดีคือสามารถหาซื้อมาใช้ได้เอง
            5. Walking Bleaching เป็นการฟอกสีฟันในฟันที่เปลี่ยนสีเนื่องมาจากสาเหตุฟันตาย โดยใช้สารโซเดียมเปอร์บอเรต โดยมากจะมีการเปลี่ยนสีฟันเฉพาะซี่ ไม่ได้เปลี่ยนสีฟันทั้งปาก รวมถึงฟันที่ได้รับการรักษารากฟัน ฟันที่ได้รับความกระทบกระเทือนจะมีสีที่คล้ำขึ้นเนื่องจากมีเลือดคั่งของเลือดภายในท่อเนื้อฟันการฟอกสีฟันมีอันตรายหรือไม่?
         
การฟอกสีฟันไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะมีอาการข้างเคียงจากการทำนั่นคือ อาการเสียวฟัน และการระคายเคืองที่เนื้อเยื่ออ่อน แต่ก็จะกลับสู่ภาวะปกติได้เองเมื่อไม่ได้สัมผัสกับสารฟอกสีฟัน แต่ทั้งนี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับบุคคลบางประเภทที่ไม่เหมาะที่จะฟอกสีฟัน ได้แก่ คนที่มีฟันผุ ควรรับการอุดหรือรักษารากฟันเสียก่อน เหงือกอักเสบ เหงือกร่น เนื่องจากสภาวะฟันดังกล่าวจะทำให้มีอาการเสียวฟันมากกว่าปกติ
            สำหรับใครที่กำลังสนใจที่จะฟอกสีฟัน ควรเลือกรูปแบบการฟอกสีฟันที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยทำการพิจารณาศึกษาด้วยตัวเองหรือไปพบทันตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาให้ถูกต้องนะคะ

อยากยิ้มสวย มั่นใจ ฟันขาวสดใส ไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยเทคโนโลยีฟอกฟันขาว Zoom Whitening เพื่อให้ฟันของผู้เข้ารับบริการมีความสวยงามได้ตามต้องการ ทั้งขนาด รูปร่าง การเรียงตัว และสีของฟัน มีบริการฟอกสีฟัน ด้วยเครื่องฟอกสีฟัน zoom ให้ฟันคุณขาวถึงขีดสุด โดยเครื่องมือมีมีประสิทธิภาพมากที่สุด ณ ขณะนี้

ราคาสุดปัง 9500 บาท (ราคาปกติ 13900 บาท)

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมาย

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829

Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental

ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

#BPDC #คลินิกทันตกรรม #ฟอกฟันขาว #ZoomWhitening #ฟอกสีฟันซูม

ความแตกต่างของทันตกรรมทั่วไปกับทันตกรรมเด็ก

มารู้จักความแตกต่างของทันตกรรมทั่วไปกับทันตกรรมเด็ก

เชื่อแน่ว่าทุกคนจะต้องเคยเข้ารับการทำฟัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยไปตรวจฟัน รักษาฟันในกรณีต่าง ๆ กันมาบ้าง แล้วเคยสังเกตกันไหมคะว่า ในงานทันตกรรมจะมีการแยกระหว่างทันตกรรมทั่วไปและทันตกรรมเด็ก ถึงตรงนี้หลายคนคงเกิดคำถามอยู่ในใจ ว่าแล้วเด็กใช้การรักษาแบบเดียวกับผู้ใหญ่หรือไม่ ทำไมถึงต้องแยกการรักษาของเด็กจัดออกมาเป็นหมวดหมู่เฉพาะทาง งั้นเราไปหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ กับความแตกต่างของทันตกรรมทั่วไปกับทันตกรรมเด็ก

ทันตกรรมและทันตกรรมทั่วไปเหมือนกันไหม?
         
ทันตกรรม หมายถึง การทำฟัน ซึ่งก็คือการรักษาภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับฟันและเหงือก รวมไปถึงการซ่อมแซมความเสียหายของฟัน
            ทันตกรรมทั่วไป (General practitioner) คือ การตรวจสภาพช่องปากและฟัน การทำความสะอาดและการรักษาสภาพเหงือกและฟัน เพื่อให้มีสุขอนามัยที่ดีและมีอายุการใช้งานได้นาน ประกอบไปด้วย การตรวจวินิจฉัยโรคทางทันตกรรม การขูดหินปูน รักษารากฟัน และขัดฟัน รวมถึงการอุดฟันและถอนฟัน ซึ่งทันตกรรมทั่วไปนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทันตกรรมนั่นเองค่ะ

ทำไมต้องมีทันตกรรมสำหรับเด็ก?
         
อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นแล้วว่า ในงานทันตกรรมนั้น ทันตกรรมเด็กถูกจัดเป็นงาน
ทันตกรรมเฉพาะทาง  ทันตกรรมสำหรับเด็ก (Pedodotics) คือ การดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กตั้งแต่ขวบแรกหรือไม่เกิน 6 เดือนหลังจากที่เห็นฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นจนถึง 12 ปี ทั้งการรักษาและป้องกันโรคในช่องปาก
            เหตุผลที่จำเป็นต้องมีทันตกรรมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพราะเด็กยังมีระบบฟันที่ยังไม่สมบูรณ์แข็งแรงแตกต่างจากผู้ใหญ่ จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งยังมีโอกาสฟันผุมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากนิสัยการกินของเด็กโดยทั่วไปมีความเสี่ยงมากกว่า ทั้งนี้ เด็กแต่ละคนยังมีอุปนิสัยที่แตกต่างไปเฉพาะบุคคลอีกด้วย การป้องกันโรคในช่องปากตั้งแต่ระยะต้น ๆนั้ นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยมากทันตแพทย์จะเน้นไปที่การป้องกันฟันผุ ผ่านการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับอาการฟันผุรายบุคคล ซึ่งจะให้คำแนะนำวิธีป้องกันที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละคน รวมไปถึงความสะอาดในช่องปากที่สามารถเริ่มได้จากที่บ้าน การใช้ฟลูออไรด์ การเคลือบหลุมร่องฟันเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเคี้ยวผิวฟัน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นการรักษาเชิงป้องกันทั้งสิ้น นอกจากนิ้ เป้าหมายของทันตกรรมสำหรับเด็ก คือ การสร้างรอยยิ้มที่สดใสแข็งแรงให้อยู่กับเด็ก ๆ ให้ได้นาน ยิ่งเราใส่ใจสุขภาพฟันของเด็ก ๆ เร็วเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีรอยยิ้มที่สวยงามและแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น เด็ก ๆ จะสามารถเคี้ยวอาหารได้อย่างถูกต้อง พูดออกเสียงอย่างชัดเจน นอกจากนี้ฟันน้ำนมยังเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพฟันแท้ที่ดีด้วย โดยทั่วไปแล้วหากฟันน้ำนมนั้นแข็งแรง ฟันแท้ที่จะขึ้นต่อมาก็มีแนวโน้มจะแข็งแรงเช่นเดียวกัน ฉะนั้นแล้วการมีรอยยิ้มที่สวยงามตลอดชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หากได้รับการดูแลจากทันตแพทย์ตั้งแต่เด็กๆ
            ทันตกรรมสำหรับเด็ก จะประกอบไปด้วย 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่
            1. ทันตกรรมเชิงป้องกัน เช่น ตรวจฟันผุ รักษาด้วยฟลูออไรด์ เคลือบหลุมร่องฟัน
            2. ทันตกรรมฟื้นฟู (Restorative dental service) เช่น อุดฟัน ใส่ครอบฟัน
            3. การเติบโตและพัฒนาการของฟัน เช่น การกัดฟัน การสบฟัน ฟันซ้อน ฟันเก

ทำไมต้องไปหาหมอฟันเด็ก?
         
ทันตแพทย์สำหรับเด็กจะทำหัตถาการทางทันตกรรมที่เหมือนทันตแพทย์ทั่วไป ต่างกันตรงที่ทันตแพทย์สำหรับเด็กจะต้องเรียนเฉพาะทาง อบรมเพื่อให้พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ด้านพฤติกรรมของเด็กทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เด็กแต่ละคนจะสนองการเข้ารับการตรวจที่แตกต่างกัน ซึ่งเด็กที่ไม่คุ้นเคยกับการไปพบทันตแพทย์จะวิตกกังวลและหวาดกลัวเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นทันตกแพทย์เด็กจะมีวิธีการในการจัดการกับสถานการณ์เช่นนั้นได้ดีกว่า และเหมาะสมกับวัยของเด็ก กล่าวโดยสรุป ทันตกรรมเด็กเป็นสาขาเฉพาะทางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทันตกรรมนั่นเองค่ะ เราจึงควรเลือกทันตกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด


ใกล้จะปิดเทอมแล้ว คลินิกทันตกรรม BPDC ขอมอบสิทธิพิเศษให้เด็กๆ เพียงจองออนไลน์ ทำนัดหมายกับเรา เพื่อเคลือบฟลูออไรด์ ราคาเดียว 490 บาท * (ราคาปกติ 890 บาท)

? ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2563  ลงทะเบียนล่วงหน้า 3 วันทำการ

เพราะเด็กๆ ก็มีหัวใจ อยากยิ้มสวยไร้ฟันผุ ฟันผุป้องกันได้

“เพียงพบทันตแพทย์ ทุกๆ 6 เดือน”

ติดต่อคลินิกทันตกรรม BPDC

หากต้องการนัดหมายเพื่อปรึกษากับทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829

Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental

ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

www.bpdcdental.com

#BPDC #คลินิกทันตกรรม #ทันตกรรมเด็ก #เคลือบฟลูออไรด์


ทำความรู้จัก-“รากฟันเทียม”-มีประเภท

ทำความรู้จัก “รากฟันเทียม” มีประเภทไหนบ้างมาดูกัน!

เคยสงสัยกันไหมคะว่า หากเราฟันหาย ฟันหลุด ฟันร่วง ฟันไม่ครบซี่ สิ่งที่เราทำได้มีเพียงแค่การใส่ฟันปลอมจริงหรือ? หลายๆท่าน คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า หากใครมีปัญหาฟันหลอ ฟันไม่ครบ สิ่งที่จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้นั้น ก็คงจะเป็นการใส่ฟันปลอมหรือไม่ก็เป็นการครอบฟัน ใช่มั้ยล่ะคะ แต่อีกหนึ่งบริการทันตกรรมที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบนั่นก็คือ การทำรากฟันเทียมค่ะ ฉะนั้นวันนี้เราจึงจะมาทำความรู้จักกับรากฟันเทียมกันค่ะว่าคืออะไรและมีกี่ประเภทกันบ้าง

การทำรากฟันเทียม เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางด้านทันตกรรม ที่ช่วยแก้ไขปัญหา ฟันหลอ ฟันน้อย ฟันไม่ครบ โดยวัสดุรากฟันเทียมที่ใช้จะผลิตจากไทเทเนียม ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งกระบวนการทำรากฟันเทียมนั้นก็จะประกอบด้วย 3 กระบวนการหลักๆคือ

  1. ทำการผ่าตัดเพื่อฝังตัวรากฟันเทียม โดยจะฝังลงไปในกระดูกและเย็บแผล หลังจากนั้นจึงรอให้ตัวรากฟันเทียมนั้นยึดติดเข้ากับกระดูกขากรรไกรโดยสมบูรณ์
  2. ทำการใส่แกนฟันจำลอง เพื่อรอรองรับตัวครอบฟันจริง และ
  3. ทำการใส่แกนฟันและตัวครอบฟันจริง

หลังจากที่เราได้ทราบกันไปแล้วว่า รากฟันเทียมคืออะไร ต่อจากนี้เพื่อให้เรารู้จักและเข้าใจการทำรากฟันเทียมได้ดีมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า รากฟันเทียมมีกี่ประเภทและมีประเภทอะไรกันบ้าง

การรักษารากฟันเทียมสามารถแบ่งได้คร่าวๆเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

  1. การฝังรากฟันเทียมแบบปกติ คือ การฝังที่ทำแค่เพียงไม่กี่ซี่ กล่าวง่ายๆก็คือ ไม่ทำทั้งปาก ขาดตรงไหน หลอตรงไหน ก็เติมตรงนั้น โดยไม่ต้องทำการกรอหรือปรับแต่งฟัน ซี่ที่อยู่ข้างเคียงแต่อย่างใด ซึ่งราคาของการทำรากฟันเทียมนั้นจะขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของวัสดุ ราคาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 70,000 บาท / ซี่
  2. การฝังรากฟันเทียมแบบทำทั้งปาก คือ การฝังรากฟันเทียมที่ครอบด้วยสะพานฟันปลอมที่ติดแน่นแบบทั้งปาก ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไปตามจำนวนของรากฟันเทียมที่รองรับตัวสะพานฟันปลอม โดยทั่วไปจำนวนของรากฟันเทียมที่รองรับจะเริ่มต้นตั้งแต่ 4 ตัว ถึง 6 ตัวค่ะ และราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 290,000 – 400,000 บาท
  3. การฝังรากฟันเทียมเล็กแบบถอดฟันปลอมออกได้ (ทั้งปาก) คือ การฝังรากฟันเทียม แล้วครอบด้วยฟันปลอมที่สามารถถอดออกได้ทั้งปากค่ะ โดยจำนวนรากฟันเทียมที่รองรับนั้นก็จะเริ่มต้นตั้งแต่ 4 ตัว ถึง 6 ตัว และราคาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 – 200,000 บาทค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ? ทุกท่านได้ทำความรู้จักกับการทำรากฟันเทียมกันไปแล้วอาจเห็นได้ว่าการทำรากฟันเทียมนั้นมีราคาที่สูงมากกว่าการทำฟันปลอมในรูปแบบอื่นๆ แต่ราคาที่สูงก็มาพร้อมกับข้อดีมากมายที่การทำฟันปลอมในรูปแบบอื่นๆไม่สามารถทำให้ท่านได้ค่ะ ดังนั้นถ้าหากท่านใดสนใจการทำรากฟันเทียม ก็สามารถปรึกษาขอรับคำแนะนำต่างๆจากแพทย์ทันตกรรมผู้เชี่ยวชาญได้เลยนะคะ ผู้เขียนหวังว่าในบทความนี้จะให้ความรู้แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อย แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความหน้า สำหรับบทความนี้สวัสดีค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำรากฟันเทียม

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#รากฟันเทียม #คลินิกทันตกรรม #BPDC

วีเนียร์ (veneer) คืออะไร

วีเนียร์ (veneer) คืออะไร

วีเนียร์ หรือที่เราเรียกๆกันว่า การแปะฟันขาว
คือ ทันตกรรมสวยงามประเภทหนึ่ง
วีเนียร์ คือ วัสดุบางๆ สีเหมือนฟัน ที่นำมาติดที่ฟันเพื่อเพิ่มความสวยงาม อีกทั้งช่วยปกป้องฟันของคุณจากความเสียหายได้ด้วย

การเคลือบผิวฟัน (วีเนียร์) เหมาะสำหรับท่านที่มีปัญหาฟันแบบใดบ้าง

✅ฟันสีเข้ม เหลือง ไม่ขาว แต่ต้องการทำให้ฟันขาว สวย ธรรมชาติ สามารถเลือกวิธีการเคลือบฟันวีเนียร์ เพื่อทำให้ฟันดูขาวและเป็นธรรมชาติได้

✅ขนาดฟันใหญ่หรือ เล็กเกินไป หรือฟันที่มีขนาดใหญ่หรือยาวเกินไป โดยวีเนียร์สามารถแก้ให้ขนาดของฟันมีขนาดที่เหมาะสมและเป็นดูธรรมชาติเข้ากับรูปหน้า

✅แนวระนาบหรือแกนฟันเอียง สำหรับคนไข้บางคนมีปัญหาแนวแกนฟันดูเหยินหรือเอียงเล็กน้อย หรือหลุบเข้าไปข้างใน

✅ฟันห่าง วีเนียร์สามารถใช้ปิดช่องว่างระหว่างซี่ฟันได้พร้อมทั้งยังช่วยปรับทั้งขนาดและแก้ไขในเรื่องของความสวยงามของซี้ฟันไปพร้อมๆกัน

?ข้อดีของการทำวีเนียร์

วีเนียร์จะมีความใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมาก ในแง่ของความใสจนแสงผ่านได้ดีกว่าการอุด นอกจากจะให้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจในแง่ของความงามแล้ว วีเนียร์ยังช่วยปกป้องผิวหน้าของฟันไม่ให้ผุกร่อน เสียหายได้ง่าย และไม่จำเป็นต้องกรอลดขนาดผิวฟันมากเท่าการทำครอบฟัน (crown) บางครั้งวีเนียร์ก็เป็นทางเลือกหากไม่ต้องการทำครอบฟันได้

วัสดุที่ใช้ทำวีเนียร์

วัสดุสองประเภทที่นำมาทำวีเนียร์ คือ
1. คอมโพสิต เรซิน เป็นวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน ชนิดเดียวกับวัสดุอุดฟันทั่วไป (composite resin)
2. พอร์ซเลน (porcelain)
วีเนียร์แบบที่ทำจากเรซินจะบางกว่า ซึ่งหมายความว่าการกรอผิวฟันออกในขั้นเตรียมก็น้อยกว่าด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พอร์ซเลนวีเนียร์ จะสามารถป้องกันคราบสีได้ดีกว่า และแลดูเป็นธรรมชาติมากกว่าแบบคอมโพสิต เรซิน วีเนียร์ที่ทำจากพอร์ซเลนต้องขึ้นชิ้นงานในห้องแล็บด้วยฝีมือของช่างทันตกรรมเท่านั้น ในขณะที่วีเนียร์ที่ทำจากคอมโพสิตนั้นไม่จำเป็น สามารถทำได้ที่คลีนิคเลย พอร์ซเลนวีเนียร์จะอยู่ได้นานกว่าแต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการทำที่สูงกว่าด้วย

วีเนียร์อยู่ได้นานเท่าไหร่⏰⏰

วีเนียร์ใช่ว่าจะอยู่ได้อย่างถาวรตลอดไป อาจจะต้องทำใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ตามการทำวีเนียร์ในแต่ละคราวนั้นสามารถอยู่ได้นานประมาณ 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับความดูแลเอาใจใส่ของคุณเอง

ถามว่าวีเนียร์ต้องการการดูแลเป็นพิเศษหรือไม่?

ตอบว่าวีเนียร์นั้นไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ??‍♂️ นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพในช่องปาก เช่น การแปรงฟัน ขัดฟัน ขูดหินปูนให้เป็นปกติ

การรักษาจะประกอบด้วย 4ขั้นตอน คือ

1. ตรวจ ปรึกษา ถ่ายรูป พิมพ์ปาก
2. วิเคราะห์ และทำแบบจำลอง (mock up)
3. เตรียมผิวฟัน พิมพ์ปากส่งทำชิ้นเซรามิคขั้นตอนนี้จะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่
4. ลองชิ้นงานจริงในฟัน ถ้าชิ้นงานสมบูรณ์และเป็นที่พึ่งพอใจก็จะยึดติดถาวรกับฟันธรรมชาติ

ซึ่งเมื่อทำเสร็จ สามารถทำความสะอาด และใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำวีเนียร์

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#คลินิกทันตกรรม #BPDC

จัดฟันแบบ-Invisalign-หรือจัดฟันใส-เป็นยังไง

จัดฟันแบบ Invisalign หรือจัดฟันใส เป็นยังไง? ที่นี่มีคำตอบ!

เชื่อว่าใครหลายคนอาจเคยได้ยิน ได้รู้จักกับการจัดฟันแบบใส หรือแบบ invisalign กันมาบ้างแล้ว แต่อาจยังไม่รู้ถึงกระบวนการทำงานของมันว่าจะสามารถจัดเรียงฟันของเราให้สวยปิ๊งได้ยังไง เพื่อให้คุณทำความรู้จักและเข้าใจการจัดฟันแบบ invisalign กันมากขึ้น บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกและหาคำตอบกันค่ะ

  • การจัดฟันแบบ invisalign หรือการจัดฟันแบบใส คืออะไร?

การจัดฟัน invisalign เป็นรูปแบบหนึ่งของนวัตกรรมการจัดฟันที่ทันสมัยและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยใช้เครื่องมือที่มีลักษณะเป็นที่ครอบพลาสติกใส สามารถถอดเข้าออกได้ง่าย ไร้เหล็กดัด และออกแบบมาอย่างเฉพาะเพื่อใช้สำหรับแต่ละบุคคล ส่วนในเรื่องของกระบวนการรักษานั้นก็ไม่ได้มีความสลับซับซ้อนใดๆเลย ขั้นตอนแรก แพทย์จะทำการให้คำปรึกษาและวางแผนแนวทางการรักษาโดยออกแบบผ่าน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชื่อว่า Clincheck ออกมาในรูปแบบของวิดีโอ 3D เพื่อให้เราเข้าใจและรับรู้ทุกกระบวนการรักษาอย่างถูกต้องและครบถ้วน หลังจากนั้นก็จะจัดทำเครื่องมืออุปกรณ์จัดฟันแบบใสขึ้นมาเป็นชุด ตามลำดับและขนาดที่แพทย์ได้กำหนดเอาไว้ ขั้นตอนต่อมาคือคุณต้องใส่ที่ครอบพลาสติกใสหรือเครื่องมือจัดฟันที่แพทย์จัดมาให้ทุกวัน โดยสามารถถอดออกได้เฉพาะ ช่วงรับประทานอาหารและช่วงทำความสะอาดฟันเท่านั้น และมีข้อปฏิบัติคือ คุณต้องมาเปลี่ยนเครื่องมือจัดฟันเป็นชุดใหม่ ทุกๆ 2 สัปดาห์ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบระยะเวลาที่แพทย์กำหนด เพียงแค่นี้กระบวนการจัดฟันแบบใสก็เป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ

  • การจัดฟัน invisalign แตกต่างและดีกว่าการจัดฟันรูปแบบอื่นอย่างไร?

การจัดฟัน invisalign นั้นถือเป็นนวัตกรรมทางด้านทันตกรรมที่ได้รับการศึกษาวิจัยและพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง เพราะสะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว ชัดเจนและเสริมบุคลิกภาพของผู้ทำ แตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นๆที่ ใช้เวลานาน มีความยุ่งยากในเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ มีความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับสุขภาพปากและไม่ส่งเสริมบุคลิกภาพของผู้ทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นการจัดฟันแบบ invisalign ก็ต้องการวินัยในการใส่เครื่องมือจัดฟันมากๆ และเหมาะสมกับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาสุขภาพฟันที่ซับซ้อนมากนัก ร่วมถึงมีราคาที่ค่อนข้างสูงต่อครั้งเมื่อเทียบกับการจัดฟันแบบเหล็กดัด แต่ราคาที่ค่อนข้างสูงต่อครั้งก็มาพร้อมกับระยะเวลาที่สั้นกว่าการจัดฟันแบบปกติมาก เมื่อเทียบดีๆแล้วในระยะยาว การจัดฟันแบบใสอาจไม่ได้มีราคาที่สูงกว่าหรือในบางเคสอาจถูกและคุ้มค่ากว่าการจัดฟันแบบปกติอีกด้วย

ผู้เขียนหวังว่าในบทความนี้หลายท่านคงจะได้ทำความรู้จักกับการจัดฟันแบบ invisalign กันมากขึ้น และอย่างไรก็ดีรูปแบบการเลือกวิธีการจัดฟันนั้นก็อาจแตกต่างกันไปตามงบประมาณและปัญหาสุขภาพฟันส่วนบุคคล ซึ่งหากท่านใดสนใจการจัดฟันแบบ invisalign ผู้เขียนแนะนำว่าควรปรึกษาเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ แล้วไว้พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ สำหรับบทความนี้สวัสดีค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#covid19 #คลินิกทันตกรรม #BPDC

เลือกให้เหมาะ-ฟันปลอม-กับ-รากฟันเทียม-ต่างกันอย่างไร

เลือกให้เหมาะ ฟันปลอม กับ รากฟันเทียม ต่างกันอย่างไร

เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “รอยยิ้ม” เป็นสิ่งแรกที่จะสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น แต่หากรอยยิ้มนั้นไม่สมบูรณ์หรือขาดหายไป เชื่อแน่ว่าย่อมสร้างความไม่มั่นใจที่จะยิ้ม หรือทำให้บุคลิกภาพเสียไป ดังนั้นการสูญเสียฟันก่อให้เกิดผลเสียไม่น้อยไม่เพียงแต่ในเรื่องของความสวยงาม แต่ยังรวมไปถึงปัญหาต่อระบบบดเคี้ยว ทำให้การเคี้ยวไม่มีประสิทธิภาพ ทานได้น้อยลง นอกจากนี้ การสูญเสียฟันซี่ใดซี่หนึ่งไปนาน ๆ จะมีช่องว่าง ทำให้เกิดการเคลื่อนตัว ฟันเกิดการล้มเอียง ซ้อนเกหือยื่นยาว นั่นยิ่งจะสร้างปัญหาให้เศษอาหารเข้าไปติดตามซอกที่ห่างได้ง่ายขึ้น ทำความสะอาดยาก ก็จะเกิดการสะสมของเชื้อโรค ล้วนเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการละลายของกระดูกรองรับรากฟัน และจะเกิดอาการฟันโยกและสูญเสียฟันในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีทางเลือกให้ผู้ที่สูญเสียฟันได้มีโอกาสที่กลับมามีรอยยิ้มที่สวยงามเหมือนเดิม อย่างฟันปลอมและรากฟันเทียม แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกใช้แบบไหนจึงจะเหมาะ เราจะไปทำความเข้าใจกันค่ะ ฟันปลอม กับ รากฟันเทียม ต่างกันอย่างไร

ฟันปลอมคืออะไร?


ฟันปลอมคือฟันเทียมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยว รวมถึงเพื่อเติมเต็มและป้องกันการล้มหรือเอียงของฟันซี่อื่น ๆ โดยเราสามารถแบ่งชนิดของฟันปลอมได้เป็น  2  ชนิด ดังนี้

1. ฟันปลอมชนิดถอดได้ เป็นฟันที่มาทดแทนฟันหนึ่งซี่หรือมากกว่า ซึ่งจะมีทั้งฐานที่เป็นพลาสติกและโลหะ ผู้ใช้สามารถใส่หรือถอดฟันปลอมชนิดได้ด้วยตัวเอง ฟันปลอมชนิดนี้จะอาศัยตะขอในการยึดกับตัวฟัน หรือความแนบสนิทของฐานฟันปลอมกับเนื้อเยื่อในช่องปาก ซึ่งมีข้อดีที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการทำความสะอาด ความประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะฟันปลอมชนิดนี้จะมีราคาที่ถูกกว่าฟันปลอมชนิดติดแน่น ส่วนข้อเสียนั้น คือ ไม่สวยงาม ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวต่ำกว่าฟันปลอมชนิดอื่น อีกทั้งอาจจะก่อให้เกิดความรำคาญกับผู้ใช้เองเนื่องจากจำเป็นต้องถอดทำความสะอาดทุกครั้งหลังทานอาหาร ก่อนนอน เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อในช่องปากอักเสบและป้องกันการหลุดเข้าคอขณะนอนหลับ

2. ฟันปลอมชนิดติดแน่น เป็นฟันปลอมที่ยึดแน่นทั้งปาก โดยจะมี 2 แบบ คือ

2.1 สะพานฟัน ใช้ในกรณีที่มีการสูญเสียเนื้อฟันบางส่วนเนื่องจากฟันผุหรือฟันแตกที่เรียกว่า การครอบฟัน หรือกรณีที่ใช้ทดแทนฟันที่หายไป ซึ่งต้องกรอฟันด้านข้างให้เป็นซี่เล็ก ๆ และใส่เข้าไปเชื่อมกันเป็นลักษณะสะพาน เรียกว่า สะพานฟัน เหมาะสำหรับผู้ที่ฟันหายไปไม่กี่ซี่ และมีข้อจำกัดในการผ่าตัดหรือมีเวลาจำกัด แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่ช่องว่างไม่มีฟันข้างเคียงเป็นหลักยึดด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงผู้ที่มีภาวะปริทันต์ไม่แข็งแรง เนื่องจากการใส่สะพานฟัน ทำให้การทำความสะอาดฟันยากขึ้น จะยิ่งเป็นการเร่งโรคปริทันต์ให้รุนแรงขึ้น ซึ่งข้อดีคือมีขนาดเหมือนฟันธรรมชาติ ใส่สบายกว่า ข้อเสีย คือ เมื่อต้องมีการกรอฟันด้านข้างให้เล็ก พอใช้งานไปเรื่อย ๆ อาจจะเกิดฟันผุใต้ฟันซี่ที่ถูกกรอได้ โดยปกติสะพานฟันจะมีการใช้งานประมาณ 5-6 ปี แล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ วัสดุจะทำมาจากโลหะหรือโลหะเคลือบกระเบื้องให้ใกล้เคียงกับสีฟันธรรมชาติ

         2.2 รากฟันเทียม จะเป็นวัสดุโลหะที่มีรูปร่างคล้ายรากฟัน โดยจะนำเข้าไปฝังไว้ในกระดูกขากรรไกร ทดแทนรากฟันที่หายไปจากการที่ฟันถูกถอนออกไป ฟันปลอมชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟันที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด สามารถบดเคี้ยวได้ดี รวมถึงไม่ต้องกรอแต่งฟันข้างเคียง ทำความสะอาดได้ดี และยังมีความคงทนมากที่สุดในบรรดาฟันปลอมทั้งหมด ซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับกรณีฟันหลุดหายไป 1-2 ซี่ แต่ข้อเสียคือ มีราคาที่สูง

กล่าวโดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่างฟันปลอมและรากฟันเทียม คือ รากฟันเทียมเป็นส่วนหนึ่งของฟันปลอมในชนิดติดแน่น หรือเราอาจจะเรียกได้ว่า เป็นฟันปลอมยุคใหม่ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งสามารถให้ร่วมกันกับฟันปลอมชนิดอื่น ๆ ได้นั่นเองค่ะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#covid19 #คลินิกทันตกรรม #BPDC

ถอนฟันกี่วันแผลหาย

ถอนฟันกี่วันแผลหาย

ถอนฟันกี่วันแผลหาย

สำหรับใครที่ยังไม่เคยถอนฟันนั้น คำถามที่พบบ่อยที่สุดก็คือ ถอนฟันกี่วันแผลหาย ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตที่เราต้องหาคำตอบหรือถามเพื่อนถามคนรู้จักกันตลอด ซึ่งวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงผลของการถอนฟันว่ากี่วันแผลจะหายดีกันครับ

การถอนฟัน

สามารถทำการถอนได้หลายสาเหตุ เช่น
– ถอนฟันเพื่อจัดระเบียบฟันให้ดี ยกตัวอย่างคนที่ต้องจัดฟัน จะต้องมีการถอนฟันที่เกิน หรือว่าฟันที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้หน้าเรียวมากยิ่งขึ้น
– ฟันผุ เมื่อฟันผุเราก็จะต้องทำการถอนฟัน เพื่อป้องกันอันตราย ฟันเสีย เพื่อรวมไปถึงอันตรายที่จะลามไปถึงเหงือกและรากฟันได้
– ฟันคุด เป็นฟันที่ต้องทำการผ่าตัดหรือถอนออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟันคุด และปัญหาของฟันคุดตามมาที่หลัง
– ฟันมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ต้องทำการถอน เพื่อความปลอดภัย หรือปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการถอนฟัน

ถอนฟันแผลจะหายในกี่วัน

แผลในการถอนฟัน มีได้หลายสาเหตุ จากหลากหลายอาการของการถอนฟัน
– ถอนฟันน้ำนมที่โยก ฟันชนิดนี้จะถอนง่ายเพราะเป็นฟันน้ำนม ที่จะมีฟันแท้ขึ้นมาในภายหลัง แผลจะหายภายใน 1 วัน
– ถอนฟันคุด ถอนฟันคุด อาจเป็นไปได้หลายเคส ทั้งแบบถอน หรือผ่าตัดจะอาจมีการเย็บเหงือกเพื่อช่วยให้เลือกหยุดไหลได้ดีขึ้น อยู่ที่ลักษณะของฟันของแต่ละท่านว่าอยู่ในระดับใด แต่โดยทั่วไป แผลจะหายในเวลา 1-2 วัน

วิธีที่ทำให้แผลหายจากหารถอนฟันหายเร็ว

– ทานยาแก้ปวด ปกติทันตแพทย์จะจ่ายยาให้อยู่แล้ว
– อย่าบ้วนปาก เพราะจะทำปากแผลเปิด
– ห้ามดูดเลือด
– งดการแปรงฟัน
– ไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง
– ไม่เคี้ยวอาหารด้านที่ถอนฟัน
– ทานอาหารที่ไม่ต้องเคี้ยวมากเช่น โจ๊ก
– ไม่สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์

*หากท่านใดมีโรคประจำตัว หรือมีเคสการถอนฟันหรือผ่าตัดถอนฟัน ที่ไม่ปกติ ควรทำการปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะบางอาการอาจจะต้องดูแลและรักษาอาการหลังถอนฟัน เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#covid19 #คลินิกทันตกรรม #BPDC

มาทำความเข้าใจ การเอกซเรย์และประเภทของการเอกซเรย์ฟัน

มาทำความเข้าใจ การเอกซเรย์และประเภทของการเอกซเรย์ฟัน

ในการวินิจฉัยโรคที่เกิดขึ้นกับฟันนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่จะทำให้ทันตแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ง่ายขึ้นในจุดที่ไม่สามารถมองได้เห็นแค่เพียงอ้าปากดู นั่นคือ การเอกซเรย์ ซึ่งการเอกซเรย์ก็มีมากมายหลายแบบขึ้นอยู่กับกรณีในการรักษาด้วยค่ะ ดังนั้น เราจะไปทำความเข้าใจการเอกซเรย์ฟัน รวมถึงประเภทของการเอกซเรย์ฟัน ตามไปดูกันค่ะ

เอกซเรย์ฟัน คืออะไร?


เอกซเรย์หรือการถ่ายภาพรังสี เป็นขั้นตอนในการวางแผนรักษาฟัน  โดยรังสีเอกซ์เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่สามารถไหลผ่านเนื้อเยื่ออ่อนและดูดซึมโดยเนื้อเยื่อชนิดแน่นทึบ ฟันและกระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่มีความแน่นทึบสูง จึงดูดซึมรังสีเอกซ์ได้ยาก ส่วนเหงือกและแก้มเป็นเนื้อเยื่ออ่อน รังสีเอกซ์จะเดินทางผ่านได้ง่ายกว่า

ทำไมต้องเอกซเรย์ฟัน


จุดประสงค์หลักของการเอกซเรย์ฟัน คือ เพื่อใช้ในการวางแผนรักษาฟัน ถึงแม้จะเน้นการวินิจฉัยเป็นหลัก แต่ก็ยังสามารถนำมาใช้ในการป้องกันโรคได้เช่นกัน เนื่องจากช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาสุขภาพช่องปากได้ทันท่วงที ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต อีกทั้งยังช่วยให้มองเห็นในจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ประเภทของการเอกซเรย์ฟัน


ในการวินิจฉัยโรคแต่ละโรคนั้น การเอกซเรย์ในงานทันตกรรมมีมากมายหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกรณีการรักษาประเภทต่าง ๆ โดยประเภทของการเอกซเรย์ที่พบได้บ่อยในคลินิกทันตกรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้

1. การเอกซเรย์นอกช่องปาก (Extra Oral radiography and Tomography)


1.1. Panoramic (ภาพรังสีปริทัศน์)


เป็นเอกซเรย์แบบต่อเนื่องจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลโดยทั่วไปพัฒนาการของฟัน รวมถึงวิเคราะห์ลักษณะความปกติหรือผิดปกติ การมีอยู่และสภาพบริเวณฟัน รากฟัน กระดูกขากรรไกร รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเอียงตัวของตัวฟันและรากฟัน ข้อดีคือสามารถแสดงภาพส่วนต่าง ๆ ในขากรรไกรบนและล่างในฟิล์มแผ่นเดียว ใช้ถ่ายแทนการเอกซเรย์ในช่องปากกรณีที่ไม่สามารถวางฟิล์มในช่องปากได้ เช่น ผู้ป่วยอาจจะอาเจียนง่าย สำรวจสภาพขากรรไกรคร่าว ๆ เช่น ฟันเกิน ซึ่งผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บ สะดวกและรวดเร็ว การเอกซเรย์ชนิดนี้พบได้บ่อยในทันตกรรมด้านการจัดฟัน

 1.2 Lateral Cephalometric


เป็นอีกหนึ่งชนิดที่ใช้กันมากในการจัดฟัน ใช้เพื่อดูพัฒนาการของฟันและกะโหลกศีรษะ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อเยื่ออ่อนและกะโหลกศีรษะ รวมถึงดูความเปลี่ยนแปลงของฟันและกะโหลกศีรษะเนื่องมาจากการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน อีกทั้งยังเพื่อวิเคราะห์ตำแหน่ง ลักษณะการเอียงตัวของกระดูกขากรรไกร ฟัน เนื้อเยื่ออ่อนใบหน้าและความสัมพันธ์ของโครงสร้างดังกล่าว

2. การเอกซเรย์ในช่องปาก (Intra Oral radiography)


 เป็นการตรวจหาการติดเชื้อหรือการอักเสบรอบ ๆ ปลายรากฟันเพื่อประเมินสภาพของเนื้อเยื่อปริทันต์ เมื่อฟันและกระดูกที่ล้อมรอบรากฟันได้รับความกระทบกระเทือน, เพื่อตรวจหาฟันคุด, ฟันเกินและหาตำแหน่งที่แน่นอนของฟันดังกล่าว

2.1 Bitewing (ภาพรังสีด้านประชิด)

เป็นการตรวจหารอยผุแรกเริ่มทางด้านประชิดของฟัน รวมทั้งรอยผุที่เพิ่งลุกลามเข้าสู่เนื้อฟันด้านบดเคี้ยวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า รวมถึงเพื่อประเมินขนาดของรอยผุเดิมว่าใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง นอกจากนี้การเอกซเรย์ชนิดนี้ยังช่วยหารอยรั่วของวัสดุอุดฟันหรือครอบฟันได้ด้วย

2.2 Periapical (ภาพรังสีรอบปลายราก)


เป็นการแสดงภาพฟันทั้งซี่ตั้งแต่ตัวฟันจนถึงกระดูกที่พยุงฟัน เพื่อประเมินการสร้างรากฟันว่าสมบูรณ์หรือไม่, ประเมินรอยแตกในตัวฟัน รากฟัน ในคนที่เกิดการบาดเจ็บที่ฟัน และติดตามผลระยะยาวของฟันที่ได้รับบาดเจ็บว่ามีความผิดปกติหรือไม่ นอกจากนี้ ยังช่วยประเมินรอยฟันผุลุกลามได้อีกด้วยค่ะ

2.3 Occlusal (ภาพรังสีสบกัด)


            เป็นการแสดงภาพช่องปากอย่างชัดเจนเพื่อดูการสบกันของขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง การเอกซเรย์แบบนี้จะใช้ตรวจพัฒนาการฟันของเด็ก เพื่อดูฟันน้ำนมและฟันแท้
จากข้างต้นเราก็ทราบกันแล้วถึงการเอกซเรย์ฟันประเภทต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยสุขภาพช่องปากซึ่งพบได้บ่อยในคลินิกทันตกรรมทั่วไป และจะดำเนินการโดยทันตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ครั้งต่อไป หากคุณต้องได้รับการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์ฟัน จะได้ช่วยให้เข้าใจคุณสมบัติต่าง ๆ ได้ดีขึ้นนะคะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน X-Ray ฟัน

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#covid19 #คลินิกทันตกรรม #BPDC

ขั้นตอนการจัดฟัน

ขั้นตอนการจัดฟัน

ฟันของแต่ละคนมีการเรียงตัวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างฟัน ขนาดฟัน ฟันเขี้ยว ฟันเก ฟันเหยิน ฟันซ้อน ฟันห่าง สบฟันไม่ดี รวมถึงความสัมพันธ์ของขากรรไกรฟัน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ขาดความมั่นใจ รวมถึงบุคลิกภาพไม่ดี  การจัดฟันจึงเป็นการรักษาและแก้ไขปัญหาของฟันเรียงตัวไม่เหมาะสม เพื่อให้ฟันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง นอกจากนี้การจัดฟันยังช่วยลดปัญหาการเคี้ยวอาหาร ช่วยให้เคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดฟันเนื่องจากฟันมีการเรียงตัวเป็นระเบียบ สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยให้โครงสร้างฟันมีการเรียงตัวเป็นระเบียบช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย และป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือกด้วย

ขั้นตอนการจัดฟัน

  1. ปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเพื่อวางแผนการรักษา ฟังคำแนะนำ แนวทางการรักษา รวมถึงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการรักษา
  2. หากต้องการจัดฟัน ทางทันตแพยทย์จะส่งตัวไป X Ray ฟันเพื่อจัดฟัน หลังจากนั้นจึงพิมพ์ปากแบบจำลองฟันเรา เพื่อดูสบฟัน แล้วนำมาวางแผนการรักษา
  3. ก่อนจัดฟัน จะมีการเคลียร์ช่องปากก่อน เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของผู้จัดฟัน
  4. หลังจากนั้นทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อทำการติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน โดยทางทันตแพทย์อาจเลือกติดตั้งเครื่องมือบน หรือล่างก่อน เพื่อดูการเคลื่อนที่ของฟัน เพื่อประกอบการวางแผนรักษา
  5. หลังจากนั้น ทางทันตแพทย์จัดฟันจะนัดทุกๆ 1 เดือนเพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน โดยใช้เวลาการรักษา 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและปัญหาของผู้จัดฟัน

ข้อแนะนำ ควรหมั่นแปรงฟันให้สะอาด หรือขูดหินปูนทุก 6 เดือน เพราะการใส่เหล็กจัดฟันอาจทำให้ทำความสะอาดฟันไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาเหงือกบวม หรืออักเสบ รวมถึงฟันผุได้

  1. เมื่อทำการรักษาเสร็จสิ้น ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟัน และทำรีเทนเนอร์ให้ใส่เพื่อคงสภาพฟันไว้  ระยะเวลาการใส่รีเทนเนอร์ขึ้นอยู่กับผู้รับบริการแต่ละราย  และควรกลับมารับการตรวจเช็คประจำทุกปี หลังจัดฟันแล้วเสร็จ พร้อมนำรีเทนเนอร์ มาตรวจความสมบูรณ์ด้วย

 

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมาย

โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#covid19 #คลินิกทันตกรรม #BPDC