อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบหมอฟัน

อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบหมอฟัน

อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบหมอฟัน
1.สังเกตลักษณะฟันว่ามีความผิดปกติ เช่น ฟันเริ่มมีรูสีดำๆ มีคราบหินปูนเกาะหนาตัว
2.หลังแปรงฟันเเล้วเริ่มมีเลือดออกตามไรฟัน
3.เริ่มมีอาการปวดฟัน หรือเสียวฟัน
4.เริ่มมีกลิ่นปาก
5.ฟันเริ่มโยก หรือมีโพรงที่เห็นได้

นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ ที่ควรไปพบหมอฟัน เช่น

  • ฟันแตกหรือหัก
  • ฟันหลุด
  • เหงือกบวมแดง
  • รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองในปาก
  • มีแผลในปาก
  • รู้สึกเจ็บเมื่อเคี้ยวหรือกลืน
  • รู้สึกเจ็บเมื่อเปิดปาก

โดยทั่วไปแล้ว ควรไปพบหมอฟันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันอย่างละเอียด หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ควรไปพบหมอฟันทันที เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น

สำหรับเด็ก ควรพาไปพบหมอฟันตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่เนิ่น ๆ และป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคโนโลยี Air Abrasion

เทคโนโลยี Air Abrasion

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลมแรงพ่นอนุภาคขนาดเล็กของวัสดุขัดฟันเพื่อขจัดคราบหินปูน ฟันผุ และคราบจุลินทรีย์ออกจากผิวฟัน เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการเดียวกับการขัดฟันด้วยสายยาง แต่มีความละเอียดมากกว่า จึงสามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน

เทคโนโลยี Air Abrasion มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ความแม่นยำ สามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน
  • ความสะดวก ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • ความสบาย ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง

เทคโนโลยี Air Abrasion นิยมใช้ในการรักษาทางทันตกรรมหลายประเภท เช่น

  • การขูดหินปูน
  • การอุดฟัน
  • การฟอกฟันขาว
  • การเตรียมฟันเพื่อใส่รากฟันเทียม

เทคโนโลยี Air Abrasion กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการทันตกรรม ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถให้บริการทางทันตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของเทคโนโลยี Air Abrasion ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  • เครื่อง Air Abrasion ประกอบด้วยถังบรรจุวัสดุขัดฟัน หัวฉีดลม และหัวฉีดวัสดุขัดฟัน
  • วัสดุขัดฟัน โดยทั่วไปเป็นอนุภาคขนาดเล็กของอลูมิเนียมออกไซด์หรือซิลิกา
  • ลมแรง ใช้ในการพ่นอนุภาควัสดุขัดฟันออกจากหัวฉีด

ขั้นตอนการขจัดคราบหินปูนด้วยเทคโนโลยี Air Abrasion มีดังนี้

  1. ทันตแพทย์จะสวมหน้ากากป้องกันและแว่นตาป้องกันให้กับผู้ป่วย
  2. ทันตแพทย์จะเลือกหัวฉีดที่เหมาะสมกับการรักษา
  3. ทันตแพทย์จะปรับแรงลมและปริมาณวัสดุขัดฟันที่เหมาะสม
  4. ทันตแพทย์จะพ่นอนุภาควัสดุขัดฟันไปยังบริเวณที่ต้องการขจัดคราบหินปูน
  5. ทันตแพทย์จะตรวจสอบความสะอาดของผิวฟัน

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้สึกสบายตัวระหว่างการรักษาและไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Air Abrasion ได้แก่

  • สามารถขจัดคราบหินปูนได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายเนื้อฟัน
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวกว่าการขัดฟันด้วยสายยาง
  • สามารถใช้ในการรักษาทางทันตกรรมหลายประเภท

ข้อจำกัดของเทคโนโลยี Air Abrasion ได้แก่

  • ราคาเครื่องมือและวัสดุค่อนข้างสูง
  • อาจต้องใช้ยาชาในบางกรณี

โดยสรุป เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการรักษาทางทันตกรรม ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา และช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวยิ่งขึ้น

Air Abrasion ข้อดีข้อเสีย

“Air Abrasion” เป็นเทคนิคในการรักษาฟันโดยไม่ใช้ดอกเจาะฟัน แต่ใช้เครื่องฉีดอนุภาคเล็กๆ เช่น แอลูมินา (aluminum oxide) เพื่อนำออกส่วนที่เสื่อมหรือเปลี่ยนสีของฟัน ดังนั้นมีข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้:

ข้อดี:

  1. ไม่สร้างเสียง: ผู้ป่วยจะไม่รับรู้เสียงเจาะจิ๊กที่เกิดจากเครื่องเจาะฟัน, ทำให้ผู้ป่วยมีความสบายและไม่รู้สึกกังวล
  2. ลดความรู้สึกเจ็บ: ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกน้อยลงเมื่อเทียบกับการเจาะฟัน
  3. ไม่ต้องการยาระงับปวด: ในบางกรณี, การรักษาด้วย Air Abrasion ไม่ต้องการยาระงับปวด
  4. ความแม่นยำ: สามารถทำการขูดเอาเฉพาะส่วนที่เสื่อมโดยไม่กระทบกับส่วนที่สมบูรณ์
  5. การรักษาเร็ว: เนื่องจากไม่จำเป็นต้องรอยาระงับปวดให้เริ่มทำผล

ข้อเสีย:

  1. ข้อจำกัดทางเทคนิค: Air Abrasion ไม่สามารถใช้ในการรักษาฟันที่มีการเสียหายอย่างหนัก หรือในการทำงานที่ต้องการการขุดลึก
  2. ความรู้สึกไม่สบาย: การฉีดอนุภาคอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือแรงดันลมเย็นสู้ฟัน
  3. ความต้องการอุปกรณ์: คลินิกทันตกรรมต้องมีเครื่อง Air Abrasion และอุปกรณ์สนับสนุนที่สำคัญ เพื่อให้สามารถให้บริการด้วยเทคนิคนี้
  4. ค่าใช้จ่าย: อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในการซื้อและบำรุงรักษาอุปกรณ์
  5. ความฝุ่น: การใช้ Air Abrasion อาจทำให้มีฝุ่นขึ้นมากขึ้น ทำให้ต้องมีการดูแลเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมภายในห้องรักษา

เทคโนโลยี Air Abrasion เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทันตกรรมนำมาใช้งาน แต่การตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษาควรพิจารณาจากข้อดีและข้อเสีย และความเหมาะสมกับกรณีรักษาของแต่ละคน.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคโนโลยี CADCAM คืออะไร

เทคโนโลยี CAD/CAM คืออะไร

เทคโนโลยี CAD/CAM คือระบบที่ส่งผลระหว่างการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ (CAD) และการผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CAM) เพื่อใช้ในการสร้างหรือผลิตสิ่งต่างๆ

  • CAD (Computer-Aided Design): เป็นการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในการสร้างหรือวาดรูปแบบ 3 มิติ (3D) ของวัตถุหรือสิ่งที่ต้องการผลิต
  • CAM (Computer-Aided Manufacturing): เป็นการใช้ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการผลิตสิ่งนั้นๆ ตามที่ได้รับการออกแบบจาก CAD

ในวงการทันตกรรม, เทคโนโลยี CAD/CAM ได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างฟันเทียม, ครอบฟัน, และอุปกรณ์ทันตกรรมต่างๆ การใช้ระบบนี้ช่วยลดเวลาในการผลิตฟันเทียมลง และยังสามารถทำให้ได้ฟันเทียมที่มีความแม่นยำและเข้ากับฟันของผู้ป่วยได้ดีมากขึ้น

เทคโนโลยี CAD/CAM มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • ความแม่นยำ ชิ้นงานที่ทำด้วยเทคโนโลยี CAD/CAM มีความแม่นยำสูง เนื่องจากใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบและควบคุมการผลิต
  • ความรวดเร็ว การผลิตชิ้นงานด้วยเทคโนโลยี CAD/CAM สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถคำนวณและควบคุมกระบวนการผลิตได้อัตโนมัติ
  • ความยืดหยุ่น เทคโนโลยี CAD/CAM สามารถใช้ในการผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูงและหลากหลายรูปแบบ

เทคโนโลยี CAD/CAM นิยมใช้ในการผลิตชิ้นงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นต้น

ในอุตสาหกรรมทันตกรรม เทคโนโลยี CAD/CAM นิยมใช้ในการผลิตชิ้นงานทันตกรรม เช่น ครอบฟัน สะพานฟัน รากฟันเทียม เป็นต้น เทคโนโลยี CAD/CAM ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถผลิตชิ้นงานทันตกรรมที่มีความแม่นยำและสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาในการผลิตชิ้นงานทันตกรรมอีกด้วย

ตัวอย่างเทคโนโลยี CAD/CAM ในอุตสาหกรรมทันตกรรม ได้แก่

  • เครื่องสแกนฟันดิจิทัล (Digital Dental Scanner) ใช้สแกนฟันของคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน 3 มิติ
  • เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printer) ใช้พิมพ์ชิ้นงานทันตกรรมจากแบบจำลอง 3 มิติ
  • เครื่องกัด CNC (Computer Numerical Control) ใช้กัดชิ้นงานทันตกรรมจากวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก โลหะ เป็นต้น

เทคโนโลยี CAD/CAM กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมทันตกรรม ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถให้บริการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของเทคโนโลยี CAD/CAM ในทันตกรรม:

  1. ความแม่นยำ: ด้วยการออกแบบดิจิทัล, ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความแม่นยำและเข้ากับฟันของผู้ป่วยได้ดี
  2. ความรวดเร็ว: สามารถผลิตฟันเทียมหรือครอบฟันได้ภายในวันเดียว
  3. ลดความต้องการใช้กิ๊บ: ไม่จำเป็นต้องใช้กิ๊บที่มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย
  4. ความทนทาน: ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากระบบนี้มีคุณภาพและความทนทานสูง

เทคโนโลยี CAD/CAM (Computer-Aided Design/Computer-Aided Manufacturing) ในทันตกรรมเป็นการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกแบบและผลิตฟันเทียม, ครอบฟัน, และสิ่งทอนัยยะสนับสนุนต่างๆ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

ข้อดี:

  1. ความแม่นยำ: เนื่องจากเป็นการออกแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์, สามารถรับประกันได้ว่าฟันเทียมที่สร้างขึ้นจะตรงกับความต้องการของผู้ป่วยอย่างแม่นยำ
  2. ความรวดเร็ว: สามารถผลิตฟันเทียมหรือครอบฟันภายในเวลาที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการดั้งเดิม
  3. ลดความต้องการใช้กิ๊บ: ไม่จำเป็นต้องสร้างกิ๊บ (dental impressions) ในบางกรณี, ลดความไม่สบายสำหรับผู้ป่วย
  4. การปรับเปลี่ยน: การแก้ไขหรือการปรับเปลี่ยนแบบฟันเทียมเป็นเรื่องง่ายเมื่อใช้ระบบ CAD/CAM
  5. ความทนทาน: ฟันเทียมที่ผลิตด้วยระบบนี้มักจะมีคุณภาพและความทนทานสูง

ข้อเสีย:

  1. ราคา: อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ CAD/CAM มักจะมีราคาสูง, ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
  2. การฝึกอบรม: การใช้งานซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เหล่านี้ต้องการการฝึกอบรมเฉพาะเจาะจง
  3. ข้อจำกัดทางเทคนิค: ไม่สามารถใช้ในทุกกรณีการรักษา, บางรายการอาจต้องใช้วิธีดั้งเดิม
  4. การซ่อมแซม: หากเครื่องมีปัญหาหรือชำรุด, อาจต้องรอเวลาในการซ่อมแซมหรือหาอะไหล่ทดแทน
  5. การปรับตัว: สำหรับทันตแพทย์หรือทีมงานที่เคยใช้วิธีดั้งเดิม, อาจต้องใช้เวลาปรับตัวในการเรียนรู้และปรับใช้ระบบใหม่

รวมทั้งนี้, เทคโนโลยี CAD/CAM ยังคงได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความสะดวกสบายของทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วย.

เทคโนโลยี CAD/CAM ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของทันตแพทย์และแลปทันตกรรม ทำให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำในการรักษามากขึ้น.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องทำอะไรบ้าง

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นขั้นตอนที่ควรทำเป็นประจำเพื่อคอยตรวจสอบและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก โดยทั่วไปการตรวจสุขภาพช่องปากจะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้:

  1. ประวัติผู้ป่วย: ทันตแพทย์หรือผู้ช่วยทันตแพทย์จะถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพรวม, ประวัติสุขภาพช่องปาก, การใช้ยา, และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  2. ตรวจภายนอก: ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ช่องปาก เช่น ขากรรไกร, คอ, ริมฝีปาก เพื่อตรวจหาความผิดปกติหรืออาการของโรคต่างๆ
  3. ตรวจภายในช่องปาก: ทันตแพทย์จะตรวจสอบฟัน, เหงือก, ฟันคุด, เพดาน, ลิ้น, และด้านในของแก้ม เพื่อตรวจหาตำแหน่งที่มีการเสียดทาน, ฟันที่มีปัญหา, การอักเสบที่เหงือก, แผลหรือตุ่มที่อาจเป็นโรคมะเร็งช่องปาก
  4. ตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ: เช่น การใช้เครื่องวัดความลึกของร่องเหงือก เพื่อตรวจหาอาการของโรคเหงือก
  5. ถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ฟัน (X-ray): เพื่อตรวจหาปัญหาภายในเช่น การเปลี่ยนแปลงในกระดูกฟัน, ฟันฝัง, หรือการติดต่อกันของฟัน
  6. ทำความสะอาดฟัน: ถ้าเป็นการตรวจสุขภาพประจำปี มักจะมีการทำความสะอาดฟัน และอาจจะเก็บคราบหรือคราบปูนที่สะสมอยู่บนฟัน
  7. แนะนำการดูแลสุขภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟัน, การใช้ไหมขัดฟัน, และการดูแลสุขภาพช่องปากอื่นๆ
  8. วางแผนการรักษา: หากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก, ทันตแพทย์จะแนะนำแผนการรักษาและวิธีการแก้ไขปัญหา

การตรวจสุขภาพช่องปากควรทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพช่องปากของคุณอยู่ในสภาพที่ดี.

ตรวจสุขภาพช่องปาก ต้องตรวจปีละกี่ครั้ง

การตรวจสุขภาพช่องปากที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสามารถช่วยในการตรวจจับและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือกในระยะเริ่มต้น ทำให้เกิดการรักษาที่เร็วขึ้น และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับผู้ที่มีสุขภาพช่องปากที่ดี:

  • ควรตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ปีละ 1-2 ครั้ง

สำหรับผู้ที่มีปัญหาทันตกรรมหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหา:

  • อาจต้องการการตรวจเป็นระยะทางสั้นกว่า ในบางกรณีอาจเป็นการตรวจทุก 3-6 เดือน

ผู้ที่ควรมีการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นระยะทางสั้นกว่าปกติ:

  1. ผู้ที่มีโรคเหงือก
  2. ผู้ที่มีประวัติการเกิดฟันผุ
  3. ผู้ที่สูบบุหรี่หรือใช้ยาสูบ
  4. ผู้ที่เป็นเบาหวาน
  5. ผู้ที่มีฟันแน่นเกินไป ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด
  6. ผู้ที่เคยได้รับการรักษาทันตกรรมหรือผ่าตัดฟันในช่องปาก

การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยในการรักษาและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับฟันและเหงือก แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับความถี่ในการตรวจสุขภาพช่องปากที่เหมาะสมสำหรับสภาพของคุณ.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอมหรือฟันสังเคราะห์มีหลายแบบ การเลือกเลือกฟันปลอมขึ้นอยู่กับความต้องการ, งบประมาณ, และคำแนะนำจากทันตแพทย์ โดยทั่วไปมีแบบดังนี้:

  1. ฟันปลอมแบบถอนได้ (Removable Dentures)
    • Partial Denture: ใช้เมื่อขาดฟันบางซี่ สามารถถอนออกได้ มักมีส่วนของโลหะเป็นโครงสร้าง
    • Full Denture: ใช้เมื่อขาดฟันทั้งช่องปาก สามารถถอนออกได้
  2. ฟันปลอมแบบเต็ม (Fixed Prosthodontics)
    • Dental Crowns: เป็นฟันปลอมที่หุ้มฟันที่เสียหาย สามารถใช้กับฟันที่สึกหรือกรามหลังจากการอัดฟัน
    • Dental Bridge: ใช้เมื่อมีการขาดฟัน 1-3 ซี่ โดยจะใช้ฟันข้างเคียงเป็นสนับสนุน สร้าง “สะพาน” เชื่อมข้ามที่ฟันขาด
  3. Implants (ฟันปลูก)
    • เป็นการวางโครงสร้างที่ทำจากโลหะ (ส่วนมากเป็นไททาเนียม) ลงในกระดูกของกรามฟัน แล้วค่อยหุ้มด้วย crown เพื่อให้ดูเหมือนฟันจริง
  4. ฟันครอบแบบ Crown
    สำหรับฟันที่เสียหายแต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ ฟันครอบจะถูกทำขึ้นมาเพื่อครอบหุ้มฟันที่เสียหาย
  5. ฟันสะสมแบบถาวร (Bridges)
    เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝังตะกร้า แต่ต้องการฟันที่เหมือนฟันจริงมากกว่าฟันสะสมนิ่ม

คำแนะนำในการเลือกฟันปลอม:

  • ควรปรึกษากับทันตแพทย์เกี่ยวกับสถานะการสูญเสียฟัน, ฟันที่เหลือ, และกระดูกฟัน เพื่อวินิจฉัยและแนะนำรูปแบบของฟันปลอมที่เหมาะสม
  • พิจารณางบประมาณ: ราคาการรักษาแตกต่างกันอย่างมาก โดยทั่วไป implants จะมีราคาสูงกว่าแบบอื่น
  • ความสะดวกสบาย: การรักษาและการดูแลรักษาหลังการรักษาจะต่างกัน ต้องการความคิดมากหรือน้อยเพียงใด
  • ความทนทานและการทำงานในระยะยาว: ฟันปลูก (implants) มีความทนทานและใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด แต่ก็ต้องการการดูแลในระยะยาว

ในทุกกรณี, การตัดสินใจเลือกฟันปลอมควรตามคำแนะนำของทันตแพทย์และความสะดวกสบายของผู้รับการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันคุดแบบไหนอันตราย

ฟันคุดแบบไหนอันตราย

ฟันคุด (ฟันปรีชาญาณ) คือฟันที่เติบโตมาเป็นที่สุดในวัยผู้ใหญ่ และมักจะเป็นฟันที่มีปัญหาส่วนใหญ่มากที่สุดเมื่อเทียบกับฟันชนิดอื่นๆ ภายในช่องปาก เนื่องจากตำแหน่งของฟันคุดมักจะอยู่ด้านในสุดของช่องปาก ทำให้การเติบโตของฟันคุดมักจะมีปัญหา เช่น ฟันคุดไม่สามารถเติบโตออกมาในทิศทางที่ถูกต้อง หรือฟันคุดที่เติบโตแนบเนียนกับฟันข้างเคียงแล้วทำให้เกิดการอักเสบ

ฟันคุดที่อาจก่อให้เกิดความอันตรายและควรพิจารณาการถอน มีดังนี้:

  1. ฟันคุดที่ไม่สามารถเติบโตออกมาได้เต็มที่ (Impacted Wisdom Teeth): หากฟันคุดไม่มีพื้นที่เพียงพอในช่องปากหรือมีการโตในทิศทางที่ผิดปกติ อาจจะทำให้ฟันคุดเป็นฟันฝังในเนื้อเยื่อหรือกระดูก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการอักเสบ และก้อนเนื้อแผลเป็นรอบ ๆ ฟันคุด
  2. ฟันคุดที่ทำให้เกิดการอักเสบ: การอักเสบรอบ ๆ ฟันคุดสามารถก่อให้เกิดการระบาดเชื้อแบคทีเรียไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  3. ฟันคุดที่ทำให้เกิดการเสียดทานกับฟันข้างเคียง: ฟันคุดที่เติบโตในทิศทางที่ผิดปกติอาจจะทำให้เกิดการเสียดทานกับฟันข้างเคียง
  4. ฟันคุดที่ทำให้เกิดปัญหาที่เหงือก: เนื่องจากตำแหน่งของฟันคุดอยู่ด้านในสุดของช่องปาก การทำความสะอาดฟันคุดอาจจะยาก และเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่เหงือก ทำให้เกิดการอักเสบที่เหงือก

ถึงแม้ว่าฟันคุดในบางกรณีอาจไม่แสดงอาการปัญหา แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสถานะของฟันคุดและการรักษาที่เหมาะสม.

ฟันปลอม มีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

ฟันปลอมหรือฟันสังเคราะห์มีหลายแบบ การเลือกเลือกฟันปลอมขึ้นอยู่กับความต้องการ, งบประมาณ, และคำแนะนำจากทันตแพทย์ โดยทั่วไปมีแบบดังนี้:

  1. ฟันปลอมแบบถอนได้ (Removable Dentures)
    • Partial Denture: ใช้เมื่อขาดฟันบางซี่ สามารถถอนออกได้ มักมีส่วนของโลหะเป็นโครงสร้าง
    • Full Denture: ใช้เมื่อขาดฟันทั้งช่องปาก สามารถถอนออกได้
  2. ฟันปลอมแบบเต็ม (Fixed Prosthodontics)
    • Dental Crowns: เป็นฟันปลอมที่หุ้มฟันที่เสียหาย สามารถใช้กับฟันที่สึกหรือกรามหลังจากการอัดฟัน
    • Dental Bridge: ใช้เมื่อมีการขาดฟัน 1-3 ซี่ โดยจะใช้ฟันข้างเคียงเป็นสนับสนุน สร้าง “สะพาน” เชื่อมข้ามที่ฟันขาด
  3. Implants (ฟันปลูก)
    • เป็นการวางโครงสร้างที่ทำจากโลหะ (ส่วนมากเป็นไททาเนียม) ลงในกระดูกของกรามฟัน แล้วค่อยหุ้มด้วย crown เพื่อให้ดูเหมือนฟันจริง

คำแนะนำในการเลือกฟันปลอม:

  • ควรปรึกษากับทันตแพทย์เกี่ยวกับสถานะการสูญเสียฟัน, ฟันที่เหลือ, และกระดูกฟัน เพื่อวินิจฉัยและแนะนำรูปแบบของฟันปลอมที่เหมาะสม
  • พิจารณางบประมาณ: ราคาการรักษาแตกต่างกันอย่างมาก โดยทั่วไป implants จะมีราคาสูงกว่าแบบอื่น
  • ความสะดวกสบาย: การรักษาและการดูแลรักษาหลังการรักษาจะต่างกัน ต้องการความคิดมากหรือน้อยเพียงใด
  • ความทนทานและการทำงานในระยะยาว: ฟันปลูก (implants) มีความทนทานและใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด แต่ก็ต้องการการดูแลในระยะยาว

ในทุกกรณี, การตัดสินใจเลือกฟันปลอมควรตามคำแนะนำของทันตแพทย์และความสะดวกสบายของผู้รับการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

จัดฟันต้องจัดกี่รอบ

จัดฟัน ต้องจัดกี่รอบ

การจัดฟันไม่ได้แบ่งตาม “รอบ” หรือ “เซสชัน” เป็นหลัก, แต่มักจะแบ่งตามระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดฟันเพื่อให้ฟันอยู่ในที่ต้องการ ระยะเวลาในการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับ:

  1. ความซับซ้อนของปัญหาฟัน: บางครั้งอาจเป็นเพียงการจัดฟันเล็กน้อย, แต่บางครั้งก็อาจเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลานาน
  2. เทคนิคการจัดฟัน: มีเทคนิคการจัดฟันหลายประเภท เช่น braces แบบประดิษฐ์, braces แบบใส, หรือแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ (เช่น Invisalign)
  3. ความร่วมมือของผู้รับการรักษา: การเข้าพบทันตแพทย์ตามนัด และการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลฟันเป็นสิ่งสำคัญ

โดยทั่วไป, การจัดฟันด้วย braces แบบประดิษฐ์ หรือ braces แบบใส มักต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหา แต่หากเป็นแผ่นจัดฟันแบบถอนได้ เช่น Invisalign การรักษาอาจสั้นลงเป็น 6-18 เดือน ในกรณีที่ฟันมีปัญหาเล็กน้อย

แต่อย่างไรก็ตาม, ควรปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความต้องการและสถานะฟันของคุณเพื่อประเมินระยะเวลาและขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสม.

จัดฟัน ขั้นตอน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการเวลานานและการดูแลจากทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อปรับปรุงการจัดวางของฟันและกรามฟันให้เป็นเส้นตรงและสวยงามขึ้น ขั้นตอนในการจัดฟันประกอบด้วย:

  1. การประเมิน: ก่อนเริ่มการจัดฟัน คุณต้องประเมินสภาพฟันและกระดูกฟัน ซึ่งอาจรวมถึงการถ่ายภาพ X-ray ของฟัน, การสร้างรูปฟันจากโมเดล และการตรวจสอบประวัติสุขภาพช่องปาก
  2. การวางแผนการรักษา: ทันตแพทย์จัดฟันจะเสนอแผนการรักษา รวมถึงการเลือกวิธีการจัดฟัน อาจเป็น braces แบบดั้งเดิม, Invisalign, หรือวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาของคุณ
  3. การติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน: หากคุณเลือกใช้ braces, ทันตแพทย์จะติดตั้งและปรับเครื่องมือจัดฟันตามการวางแผนการรักษาที่กำหนดไว้
  4. การปรับเครื่องมือจัดฟัน: คุณจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน ทุกๆ 4-6 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำ
  5. การดูแลรักษาระหว่างการจัดฟัน: ควรทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำจากทันตแพทย์ เพื่อให้กระบวนการจัดฟันเป็นผล
  6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน: เมื่อเสร็จสิ้นการรักษา ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟันออก และให้คุณใส่ retainers หรือเครื่องมือที่ช่วยรักษาการจัดวางของฟันให้คงที่
  7. การใช้ Retainers: หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟัน คุณจะต้องใส่ retainers เพื่อป้องกันฟันย้ายกลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยปกติจะต้องใส่เต็มวันในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดลงเป็นเฉพาะเวลากลางคืน

การจัดฟันเป็นกระบวนการที่ต้องการความอดทนและความร่วมมือจากผู้รับการรักษา การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์และการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การรักษาเป็นผลดีที่สุด.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ฟันซ้อน แก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง

ฟันซ้อน แก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง

ฟันซ้อนหรือ Overlapping Teeth คือฟันที่ซ้อนทับกัน และมักเกิดจากการขาดพื้นที่ในโครงกระดูกที่ฟันขึ้น ฟันซ้อนสามารถทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพช่องปาก และแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการทำความสะอาดฟันที่ถูกฟันอื่น ๆ ทับท่วม ซึ่งสามารถทำให้เกิดฟันผุ โรคเหงือก และปัญหาด้านการเคี้ยวอาหาร

การรักษาฟันซ้อนสามารถทำได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการซ้อน รวมถึงสุขภาพช่องปากและความต้องการด้านความสวยงามของผู้ป่วย รวมถึง:

  1. การดัดฟัน: ผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมจะใช้เครื่องดัดฟันเพื่อเปลี่ยนแปลงการจัดวางของฟันและทำให้ฟันแนบเนียนกันได้ดีขึ้น นี่เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีฟันสุขภาพดี
  2. การจัดฟันด้วยวิธีอื่น: สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่องดัดฟันได้ แพทย์อาจแนะนำวิธีการอื่น เช่น การขัดฟัน เพื่อให้พื้นที่กว้างขึ้นสำหรับฟันที่ซ้อน หรือการใช้รากฟันเทียมหรือสะพานฟันเพื่อแทนที่ฟันที่ถูกนำออก
  3. การผ่าตัดทันตกรรม: ในบางกรณี ฟันที่ซ้อนอาจต้องถูกนำออกด้วยการผ่าตัดทันตกรรม เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับฟันอื่น ๆ

การรักษาฟันซ้อนจะต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา การรักษาที่ถูกเลือกก็จะต้องพิจารณาถึงสภาพสุขภาพช่องปากและความต้องการของผู้ป่วยเอง.

ฟันซ้อนอันตรายหรือไม่

ฟันซ้อนในตัวเองไม่ได้อันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลทางลบต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตได้ ฟันซ้อนสามารถทำให้การทำความสะอาดฟันและเหงือกม difficult.

  1. ปัญหาการทำความสะอาด: ฟันที่ซ้อนทับกันอาจทำให้การแปรงฟันหรือใช้เฟลอสฟันยากขึ้น ทำให้เกิดฟันผุ และโรคเหงือก เพราะความสามารถในการล้างและกำจัดแบคทีเรียและคราบที่สะสมบนฟันและระหว่างฟันลดลง
  2. ปัญหาการเคี้ยวอาหาร: ฟันซ้อนอาจทำให้การเคี้ยวอาหารยากขึ้น หรือทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายหรือปวดเมื่อเคี้ยว
  3. ปัญหาทางเสียงพูด: ในบางกรณี ฟันซ้อนอาจส่งผลต่อการสร้างเสียงพูด ทำให้มีความไม่ชัดเจนในการพูด
  4. ปัญหาทางจิตใจ: ฟันซ้อนอาจส่งผลต่อความมั่นใจในการยิ้มหรือพูด และอาจมีผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับการตนเอง

ดังนั้น ถึงแม้ฟันซ้อนจะไม่ใช่สภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่การรักษาฟันซ้อนสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทั้งทางการแพทย์และทางจิตใจ รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทั่วไปของผู้ป่วย.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

ศัลยกรรมช่องปากคืออะไร

ศัลยกรรมช่องปากคืออะไร

ศัลยกรรมช่องปากคือสาขาศัลยกรรมที่มุ่งเน้นไปที่การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับช่องปากและกระดูกใบหน้า ซึ่งรวมไปถึงฟัน กระดูกขากรรไกร ผิวหนังและเนื้อเยื่อของช่องปาก ลิ้น และเหงือก

ศัลยกรรมช่องปากเป็นสาขาที่มีความซับซ้อนและครอบคลุมหลากหลายโรค อาทิเช่น การถอนฟันภูมิซึ่ง การประสานกระดูกที่ขาดหาย การรักษาการอักเสบที่รากฟัน การดำเนินการศัลยกรรมต่อมน้ำลาย การทำศัลยกรรมกระดูก การทำศัลยกรรมเสริมสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อ และการทำการผ่าตัดลิ้น กระดูกใบหน้า และเนื้อเยื่ออื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคอักเสบ มะเร็ง หรือการบาดเจ็บ

ศัลยกรรมช่องปากมีความสำคัญในการรักษาสุขภาพช่องปากและกระดูกใบหน้า และมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างความสวยงามและฟังก์ชันที่ถูกต้องของช่องปากและกระดูกใบหน้า.

ศัลยกรรมช่องปาก มีอะไรบ้าง

ศัลยกรรมช่องปากหรือ Oral and Maxillofacial Surgery ครอบคลุมหลากหลายประเภทของการผ่าตัดที่เกี่ยวกับช่องปาก กระดูกใบหน้า และโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นลักษณะไม่ฉุกเฉินและฉุกเฉิน การผ่าตัดมักจะดำเนินการโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง หรือศัลยแพทย์ที่มีการฝึกอบรมในด้านนี้ การผ่าตัดบางแบบสามารถดำเนินการได้ที่คลินิกทันตกรรม ในขณะที่การผ่าตัดที่ซับซ้อนหรือใหญ่ขึ้นอาจต้องดำเนินการในโรงพยาบาล

  1. การถอนฟันภูมิซึ่ง (Wisdom Teeth Extraction): การถอนฟันภูมิซึ่งที่ขึ้นไม่ถูกต้องหรือทำให้เกิดปัญหา เช่น การอักเสบ หรือการกดดันฟันที่อยู่ใกล้
  2. การทำรากฟัน (Endodontic Surgery): ซึ่งรวมไปถึงการฟื้นฟูโครงสร้างที่ภายในของฟัน หรือการดำเนินการศัลยกรรมที่รากฟัน
  3. การประสานกระดูกและฟัน (Corrective Jaw Surgery): ใช้ในการแก้ไขปัญหาในกระดูกขากรรไกรที่อาจทำให้เกิดปัญหาการกัด การหายใจ และปัญหาความสวยงามอื่น ๆ
  4. การเสริมสร้างกระดูก (Bone Grafting): โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการใช้รากฟันเทียม และกระดูกที่เหลือไม่เพียงพอสำหรับการยึดรากฟันเทียม
  5. การทำศัลยกรรมมะเร็งช่องปาก: การผ่าตัดเพื่อลบเนื้องอกหรือมะเร็งที่ช่องปาก กระดูกใบหน้า หรือลิ้น
  6. การทำศัลยกรรมเสริมสวยที่ช่องปาก: เช่น การทำฟันเทียม การขยายขากรรไกร การทำฟันประดิษฐ์
  7. การฟื้นฟูหลังอุบัติเหตุ: การผ่าตัดฟื้นฟูกระดูกใบหน้าหรือฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ

ศัลยกรรมช่องปากมีรายการที่หลากหลาย ตั้งแต่การผ่าตัดที่ง่าย จนถึงการผ่าตัดที่ซับซ้อนและต้องการความชำนาญทางการแพทย์ ดังนั้น การพบปะกับทันตแพทย์หรือศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยและการตรวจสอบถึงการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณเป็นสิ่งที่สำคัญ.

ศัลยกรรมช่องปาก ที่ดี ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

การเลือกศัลยกรรมช่องปากควรจะคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้:

  1. ความคุ้มค่า: การศัลยกรรมช่องปากบางชนิดอาจมีราคาสูง ดังนั้นความคุ้มค่าของการรักษาที่คุณจะได้รับเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรพิจารณาความจำเป็น การทนทาน และคุณภาพชีวิตที่จะได้รับหลังการรักษา
  2. ความชำนาญของศัลยแพทย์: ความชำนาญของศัลยแพทย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คุณควรเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และฝึกอบรมในประเภทของการผ่าตัดที่คุณต้องการ
  3. การวางแผนการรักษา: ความชัดเจนในการวางแผนการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาควรเหมาะสมกับสภาพความเป็นมา ความต้องการ และความสามารถในการฟื้นฟูของคุณ
  4. ฟื้นฟูและการดูแลหลังการผ่าตัด: สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือขั้นตอนการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด การฟื้นฟูอาจจำเป็นต้องใช้เวลาและการดูแลความสะอาด การรับประทานอาหาร และการทำงานร่วมกันกับทีมของแพทย์
  5. สิ่งอำนวยความสะดวก: คุณต้องคำนึงถึงสถานที่ทำการรักษา ตารางเวลาที่เหมาะสม และการเดินทาง การเข้าถึงการดูแลและบริการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ
  6. ความปลอดภัย: ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การเตรียมการผ่าตัดที่เหมาะสม การควบคุมการติดเชื้อ และการจัดการความเจ็บปวดและความไม่สะดวกสบายหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง

ในการตัดสินใจเลือกการศัลยกรรมช่องปาก ควรปรึกษากับแพทย์ของคุณและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู

ใครจะดัดฟันต้องอ่าน 2023

ใครจะดัดฟันต้องอ่าน 2023

“ดัดฟัน” เป็นกระบวนการที่ทำให้ฟันอยู่ในที่ที่ถูกต้องและสวยงาม มักใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการทำ เช่น สายดัดฟัน, Invisalign, หรือเทคนิคอื่นๆ รวมถึงการดัดฟันด้วยวิธีศัลยกรรมทางปาก

การดัดฟันอาจเป็นการรักษาซึ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกัด การจัดวางฟันที่ไม่สมบูรณ์ หรือฟันที่มีรูปร่างที่ไม่ปกติ เช่นฟันเก ฟันคด เป็นต้น การดัดฟันช่วยในการปรับแต่งรูปร่างและลำดับของฟันให้เป็นที่น่าพอใจขึ้น และอาจช่วยในการพัฒนาการหายใจ การเคี้ยว และการพูด

การดัดฟันต้องใช้เวลา และอาจต้องปรับปรุงการดูแลสุขภาพช่องปากของคุณ รวมถึงการขัดฟันเพิ่มเติม การดัดฟันทำให้คุณมีสิทธิ์ที่จะมีรอยยิ้มที่คุณภูมิใจในนั้นและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง. แต่ทั้งนี้ควรปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจว่าการดัดฟันเหมาะสมกับสภาพฟันของคุณหรือไม่.

ดัดฟันขั้นตอน

การดัดฟันมีหลายขั้นตอน ทั้งการวางแผนการรักษา, การติดตั้งเครื่องมือดัดฟัน, การดูแลรักษาและจัดตรวจเมื่อสิ้นสุดการรักษา ขั้นตอนเฉพาะเจาะจงจะขึ้นอยู่กับประเภทของเทคนิคการดัดฟัน แต่สำหรับการดัดฟันด้วยวิธีแบบดั้งเดิม (สายดัดฟัน) ขั้นตอนทั่วไปมักจะเป็นดังนี้:

  1. การประเมินและวางแผน: ทันตแพทย์จะตรวจฟันและสำรวจด้วยเอ็กซ์เรย์เพื่อดูภาพรวมของฟันและกระดูกในปาก ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องทำรูปหล่อเพื่อสำรวจรูปร่างและขนาดของช่องปากและฟันได้อย่างละเอียด ข้อมูลนี้จะใช้ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  2. การติดตั้งเครื่องมือดัดฟัน: หากต้องการสายดัดฟัน ทันตแพทย์จะติดตั้งเบรกเกตที่ฟัน และใช้สายรัดเพื่อเชื่อมต่อสายดัดฟันกับเบรกเกต สายดัดฟันเหล่านี้จะใช้แรงงัดเพื่อย้ายฟันไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
  3. การดูแลรักษาระหว่างการรักษา: คุณจะต้องไปพบทันตแพทย์ในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อตรวจสอบและปรับสายดัดฟัน การดัดฟันมักจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี เทคนิคและเครื่องมือที่ใช้ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความสะดวกสบาย ความเจ็บปวด และความสวยงาม
  4. การจัดการเมื่อสิ้นสุดการรักษา: เมื่อฟันถูกย้ายไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว สายดัดฟันจะถูกนำออก และในบางกรณี คุณอาจต้องใช้รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือที่ใช้รักษาฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

การดัดฟันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเจาะจง คุณควรปรึกษากับทันตแพทย์หรืออรทิสต์ดัดฟันที่มีความรู้ความสามารถเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

ข้อควรระวังในการดัดฟัน

การดัดฟันเป็นกระบวนการที่สามารถเพิ่มความสวยงามและฟังก์ชันของรอยยิ้มของคุณ แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อควรระวังบางอย่าง ดังนี้:

  1. การดูแลรักษาช่องปาก: การดัดฟันทำให้การดูแลรักษาช่องปากยากขึ้น เครื่องมือดัดฟันสามารถสะสมเฝืองและแปลงเป็นฟันผุได้ การขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ การใช้ไหมพรมฟันและน้ำยาบ้วนปากจึงจำเป็นมาก
  2. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งแรงหรือเหนียว เช่น แอปเปิ้ลทั้งผล ขนมปังแข็ง อาหารทอด ขนมกรอบ หรืออาหารที่ต้องกัดด้วยความแรง เพราะอาจทำให้เครื่องมือดัดฟันหลุดหรือเสียหาย
  3. ความเจ็บปวด: การย้ายฟันมักจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบาย แต่ความเจ็บปวดนี้มักจะลดลงหลังจากหลายวัน ถ้าความเจ็บปวดยังคงมีอยู่หลังจากหลายวัน คุณควรติดต่อทันตแพทย์ของคุณ
  4. ระยะเวลาในการรักษา: การดัดฟันอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี การปรับปรุงและการรักษาที่สม่ำเสมอจำเป็นมาก
  5. ฟันหลุด: หากเครื่องมือดัดฟันของคุณหลุดหรือเสียหาย ควรติดต่อทันตแพทย์ทันที
  6. การย้ายฟัน: หลังจากการดัดฟัน ฟันอาจจะย้ายไปจากตำแหน่งที่เหมาะสม การใช้รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือสวมใส่อื่น ๆ ที่ทันตแพทย์ของคุณแนะนำจะช่วยให้ฟันคงที่ที่ตำแหน่งที่ต้องการ
  7. ค่าใช้จ่าย: การดัดฟันอาจเป็นที่สูง ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายและความสามารถในการจ่ายและคุณควรพิจารณาวิธีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายและแผนประกันสุขภาพที่คุณมี

โดยทั่วไป ควรตรวจสอบการดัดฟันของคุณด้วยทันตแพทย์หรืออรทิสต์ดัดฟันที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย.

การดูแลหลังดัดฟัน

การดูแลรักษาหลังจากการดัดฟันเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ฟันทั้งหมดของคุณสามารถยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และความสวยงามที่ได้รับจากการดัดฟันสามารถคงไว้ได้อย่างยาวนาน ต่อไปนี้เป็นข้อควรทำหลังจากดัดฟัน:

  1. การใช้รีเทนเนอร์: ทันตแพทย์ของคุณจะมอบรีเทนเนอร์ให้คุณใช้หลังจากการดัดฟัน รีเทนเนอร์จะช่วยยึดฟันให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ และป้องกันฟันจากการย้ายกลับไปยังตำแหน่งเดิม ควรใส่รีเทนเนอร์ตามที่แพทย์แนะนำ
  2. การดูแลรักษาช่องปาก: การเช็ดฟันและใช้ไหมพรมฟันควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุและโรคเหงือก ควรไปทำคลีนนิ่งที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยทุก 6 เดือน
  3. การตรวจเช็คฟัน: ควรไปตรวจเช็คฟันที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าฟันและเหงือกของคุณยังคงอยู่ในสภาพที่ดี
  4. การรักษาอาการเจ็บปวด: ฟันอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือแข็งขืนเมื่อคุณเพิ่งดัดฟันเสร็จ การใช้ยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์สั่งให้สามารถช่วยลดอาการเจ็บปวด
  5. การปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร: หลังจากดัดฟัน คุณอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารเล็กน้อย อาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียวเพื่อป้องกันการทำลายเครื่องมือดัดฟัน

การดูแลรักษาหลังจากการดัดฟันมีความสำคัญมากในการรักษาผลลัพธ์ที่ได้รับจากการดัดฟัน และทำให้รอยยิ้มของคุณสวยงามตลอดเวลา.

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม #ฟันเป็นรู