วิธีจัดฟันใสแบบไม่ต้องเสียเงินมาก

วิธีจัดฟันใสแบบไม่ต้องเสียเงินมาก

การจัดฟันแบบใสเป็นวิธีที่นิยมและราคาไม่แพงในการแก้ไขฟันของคุณ แต่ก่อนที่คุณจะไปรับ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจต้นทุนและประโยชน์ของการจัดฟันแบบใส คุณไม่ต้องเสียเงินเพื่อจัดฟันแบบใส โดยไม่ต้องเสียเงินกับความซับซ้อนและความยุ่งยากมากมาย ความจริงแล้วคุณสามารถประหยัดเงินและยังได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการจัดฟันแบบใสโดยไม่ต้องเสียเงินมากมาย ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ 5 ข้อที่จะช่วยตัดสินใจว่าการจัดฟันแบบใสเหมาะกับคุณหรือไม่

การจัดฟันแบบใส Invisalign ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพแทนการจัดฟันแบบโลหะสำหรับการจัดฟันให้ตรง พวกเขาใช้อุปกรณ์จัดฟันพลาสติกใสที่ทำขึ้นเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งทำให้แทบมองไม่เห็นเมื่อสวมใส่ เครื่องมือจัดฟันยังสามารถถอดออกได้ ทำให้การรับประทานอาหารและการแปรงฟันง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับเครื่องมือจัดฟันแบบโลหะ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ Invisalign จะขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีและความรุนแรงของปัญหาการจัดฟัน การปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อพิจารณาว่า Invisalign เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณหรือไม่

การจัดฟันแบบใสคืออะไร

การจัดฟันแบบใสเป็นฟันปลอมประเภทหนึ่งที่ใช้เพื่อช่วยให้ฟันของคุณมีความแม่นยำมากขึ้น เครื่องมือจัดฟันแบบใสทำจากวัสดุพลาสติกที่มีความโปร่งแสงเล็กน้อยและมีพื้นผิวด้านหน้าแบบใส จากนั้นจึงติดเข้ากับฟันของคุณโดยใช้สกรูและวิธีการอื่นๆ

หัวข้อย่อย 1.2 การจัดฟันแบบใสช่วยปรับปรุงความแม่นยำของฟันของคุณในขณะเดียวกันก็รักษารอยยิ้มของคุณให้ดูดี เครื่องมือจัดฟันแบบใสมีพื้นผิวด้านหน้าที่ชัดเจนซึ่งช่วยให้คุณมองเห็นได้ดีขึ้นเมื่อคุณกิน ดื่ม หรือนอนหลับ นอกจากนี้ยังช่วยให้ฟันของคุณสะอาดและแข็งแรงโดยป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์

ส่วนย่อย 1.3 สามารถใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใสเพื่อช่วยปรับปรุงความแม่นยำของฟันของคุณในขณะที่ยังคงรอยยิ้มของคุณให้ดูดี เมื่อใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใส สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้:

1) ตรวจสุขภาพกับทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุดจากการจัดฟันแบบใส

2) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใช้วัสดุอุดหลุมร่องฟันกับทุกส่วนของแบร็กเก็ตของคุณที่โลหะมาบรรจบกับพลาสติก (ซึ่งจะช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย)

3) ใช้ไหมขัดฟันและเทคนิคการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ฟันของคุณสะอาดและมีสุขภาพดี สิ่งนี้จะช่วยป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันของคุณ

วิธีจัดฟันใสแบบไม่ต้องเสียเงินมาก

เครื่องมือจัดฟันแบบใสสามารถหาซื้อได้ทางอินเทอร์เน็ต แต่มีบางสิ่งที่คุณควรทราบก่อนเริ่ม ก่อนอื่นคุณควรศึกษาประเภทของเครื่องมือจัดฟันที่เหมาะกับคุณที่สุด การจัดฟันมีสามประเภทหลักๆ ได้แก่ การจัดฟันแบบสัมผัส (หรือการจัดฟันแบบใส “มาตรฐาน”) แบบก้าวหน้า (ซึ่งจะเพิ่มชั้นให้ฟันของคุณมากขึ้นในแต่ละวัน) และแบบเต็มเวลา (ซึ่งต้องเข้าถึงฟันของคุณตลอดเวลา)

ข้อดีของการจัดฟันแบบใส:

ลักษณะที่ชัดเจนและแทบมองไม่เห็น ทำให้เป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อเครื่องสำอางมากกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องมือจัดฟันแบบโลหะทั่วไป ถอดออกได้ ทำให้การรับประทานอาหารและสุขอนามัยช่องปากง่ายขึ้น
สวมใส่สบายกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องมือจัดฟันแบบโลหะทั่วไป โดยไม่ต้องใช้ลวดโลหะหรือเหล็กจัดฟันที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองภายในช่องปาก ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งช่วยให้การรักษาแม่นยำและตรงเป้าหมาย
การเยี่ยมชมสำนักงานไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับการจัดฟันแบบดั้งเดิม


ข้อเสียของการจัดฟันแบบใส:

ราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับการจัดฟันแบบโลหะ ต้องการความยินยอมของผู้ป่วยในระดับสูง เนื่องจากต้องใส่อุปกรณ์จัดฟันอย่างน้อย 22 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจไม่เหมาะกับกรณีการจัดฟันที่มีความซับซ้อน เช่น ปัญหาการสบฟันที่รุนแรง หรือกรามไม่ตรงแนว อาจทำให้รู้สึกไม่สบายในช่วงแรกเนื่องจากอุปกรณ์จัดฟันออกแรงกดบนฟัน ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวอาจใช้เวลานานกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเมื่อเทียบกับการจัดฟันแบบดั้งเดิม ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

บทสรุป

การจัดฟันแบบใสเป็นฟันปลอมประเภทหนึ่งที่ใช้เพื่อช่วยปรับปรุงความแม่นยำของฟันของคุณในขณะที่ยังคงรอยยิ้มของคุณให้ดูดี การจัดฟันแบบใสโดยไม่ต้องเสียเงินมากสามารถปรับปรุงความแม่นยำและความสวยงามของรอยยิ้มได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องมีกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวและติดตามข่าวการเงินล่าสุดเพื่อที่จะนำหน้าเส้นโค้งในตลาดหุ้น สุดท้าย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับฉบับ

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน BPDC DENTAL

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน BPDC DENTAL

คลินิกทําฟัน ใกล้ฉัน หรือคลินิกทันตกรรมที่อยู่ใกล้บ้านของคุณ เพียงเปิด Google map เพื่อที่จะแนะนำ ให้คุณได้รู้จักกับคลินิกทันตกรรม ใกล้ๆ บ้านคุณ

บริการทำฟัน ใกล้คุณ

การบริการทำฟันของที่นี่มีคุณภาพเกินราคา ไม่ว่าจะอุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟันคุด รักษาโรคเหงือก เอ็กซเรย์เพื่อวางแผนจัดฟัน คุณหมอที่นี่ก็มีความสามารถและทักษะที่เชี่ยวชาญ เครื่องมือแพทย์ วัสดุที่ต้องใช้ทำฟันล้วนได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล อีกทั้งยังทันสมัย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการรักษาฟันสูง แต่ราคากลับไม่แพงเลย ทำฟันแต่ละรายการมีราคาที่สมเหตุสมผล บางช่วงยังมีโปรโมชั่นดีๆที่คืนกำไรให้กับลูกค้าอีกด้วย

บริการทำฟันของที่นี่ราคาไม่แพง การติดต่อสอบถามหรือนัดปรึกษาปัญหาฟันก็สะดวกรวดเร็ว คุณหมอของคลินิกทำฟันแห่งนี้จะถนัดและเชี่ยวชาญในการจัดฟันและรักษาโรคเหงือกเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าจะจัดฟันออกมาแล้วพัง เพราะคุณหมอและคุณผู้ช่วยจะคอยให้คำแนะนำ ติดตามดูอาการอย่างสม่ำเสมอ

วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ของที่นี่ได้มาตรฐานสากล เทคโนโลยีที่นำมาใช้ร่วมกันก็มีประสิทธิภาพสูง มั่นใจได้เลยว่าการทำฟันของที่นี่มีคุณภาพเกินราคาแน่นอน

ติดต่อนัดปรึกษาปัญหาฟันได้สะดวก มีระบบการจัดการที่ดี เจ้าหน้าที่สามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ และมีบางครั้งที่มีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ เจ้าหน้าที่ของคลินิกทำฟันก็สามารถให้บริการได้อย่างไม่ติดขัด คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาฟันเบื้องต้นก็ช่วยไกด์แนวทางให้ลูกค้าได้เยอะ ทำให้หลายๆคนประทับใจในการบริการทำฟันของที่นี่ และกลับมาใช้บริการที่คลินิกอยู่เป็นประจำ

การให้บริการทันตกรรม

เจ้าหน้าที่ให้บริการดี คอยแนะนำโปรโมชั่นและแนวทางการรักษาฟันได้ดีมากๆ สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการ ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คอยอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อทำนัด มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำฟันแต่ละรายการก็สามารถตอบและไขข้อสงสัยนั้นๆได้ ถือว่าเป็นคลินิกทำฟันอีกแห่งหนึ่งที่อบรมและให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพ

บริการเกี่ยวกับทันตกรรม

– บริการจัดฟัน จัดฟันด้วยเครื่องมือเทคโนโลยี ทางการแพทย์ ที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย

– อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ใช้สิทธิประกันสังคม900บาท/ปีได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

– บริการฟอกสีฟัน ด้วยเทคโนโลยีที่สะอาดและรวดเร็วในการบริการ

– บริการเคลือบฟลูออไรด์ สำหรับเด็กๆ และนักเรียน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

เทคนิคในการเลือกทันตแพทย์จัดฟัน

ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น การศึกษา ประสบการณ์ ชื่อเสียง และวิธีการรักษาของทันตแพทย์จัดฟัน คุณอาจต้องการพิจารณาสถานที่และชั่วโมงการฝึก รวมถึงตัวเลือกค่าใช้จ่ายและการชำระเงิน ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางส่วนที่คุณสามารถปฏิบัติตามเพื่อเลือกทันตแพทย์จัดฟันได้:

กำหนดความต้องการในการจัดฟันของคุณ: ทำรายการข้อกังวลและเป้าหมายในการจัดฟันของคุณ เช่น การจัดฟันให้ตรง แก้ไขฟันเหยิน หรือปรับปรุงการสบฟันของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้คุณพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีประสบการณ์ในการรักษาปัญหาเฉพาะเหล่านี้

วิจัยทันตแพทย์จัดฟันในพื้นที่ของคุณ: มองหาทันตแพทย์จัดฟันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งอเมริกา (AAO) คุณยังสามารถขอคำแนะนำจากทันตแพทย์ทั่วไปหรือเพื่อนและครอบครัว

กำหนดการให้คำปรึกษา: ติดต่อทันตแพทย์จัดฟันหลายคนและนัดหมายการปรึกษาหารือเพื่อพบพวกเขาด้วยตนเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีในการถามคำถามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพและวิธีการรักษาของพวกเขา

ประเมินการปฏิบัติ: พิจารณาสถานที่และชั่วโมงของการปฏิบัติ ตลอดจนความเป็นมืออาชีพและความเป็นมิตรของพนักงาน นอกจากนี้ คุณยังอาจต้องการสอบถามเกี่ยวกับประเภทของตัวเลือกการรักษาที่มี เช่น การจัดฟันแบบดั้งเดิมหรือการจัดฟันแบบใส

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงิน: การจัดฟันอาจมีราคาแพง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและตัวเลือกการชำระเงินก่อนตัดสินใจ สอบถามเกี่ยวกับความคุ้มครองของประกันและตัวเลือกทางการเงิน เช่น แผนการชำระเงินหรือส่วนลดสำหรับการชำระเงินล่วงหน้า

ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ คุณจะพบทันตแพทย์จัดฟันที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีประสบการณ์ และเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

วิธีทำความสะอาดการจัดฟัน

สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน เช่น เหล็กจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟัน เพื่อป้องกันฟันผุและโรคเหงือก เคล็ดลับในการทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟันของคุณมีดังนี้

แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงทุกพื้นผิวของฟัน รวมถึงด้านหน้า ด้านหลัง และด้านบน อย่าลืมแปรงไปรอบ ๆ และใต้ลวดและเหล็กจัดฟันของคุณ

ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน: ใช้แปรงซอกฟันหรือไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างฟันและใต้ลวดจัดฟัน

บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก: ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและทำให้ลมหายใจสดชื่น

ทำความสะอาดเครื่องใช้ของคุณ: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือแปรงอุปกรณ์จัดฟันค่อยๆ ทำความสะอาดเครื่องมือจัดฟันหรือเครื่องมือจัดฟันของคุณ คุณยังสามารถแช่เครื่องมือจัดฟันในสารละลายที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำเพื่อช่วยขจัดคราบพลัคและแบคทีเรีย

ไปพบทันตแพทย์จัดฟันของคุณเป็นประจำ: ปฏิบัติตามกำหนดเวลาที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำสำหรับการตรวจสุขภาพและการปรับ ในระหว่างการนัดตรวจเหล่านี้ ทันตแพทย์จัดฟันของคุณจะตรวจสุขภาพฟันและเหงือกของคุณ และทำการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่จำเป็น

เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะสามารถช่วยรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี และรักษาสุขภาพฟันและเหงือกให้แข็งแรงขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

อาการร้อนในเกิดขึ้นได้..ก็รักษาได้

“อาการร้อนใน” แผลเล็กๆในช่องปากที่สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ  และนำมาซึ่งความรำคาญใจให้กับผู้ที่เป็น ทั้งยังสร้างความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาแปรงฟันหรือรับประทานอาหาร โดยส่วนใหญ่มักพบบริเวณกระพุ้งแก้ม พื้นช่องปากด้านข้างลิ้นหรือใต้ลิ้น และริมฝีปากด้านใน นอกจากนั้น “ร้อนใน” ยังเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว ให้กลับมาดูแลตัวเอง นอกจากนั้น อาการร้อนใน สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เลือกเวลา สิ่งที่สำคัญคือการกลับมาดูที่ต้นเหตุเพื่อจะได้รักษาและป้องกันได้ไม่ให้ลุกลามร้ายแรงต่อไป

ร้อนในมีอาการอย่างไร

ร้อนใน หรือแผลร้อนใน (Aphthous Ulcers) เป็นแผลที่มีขนาดเล็กและตื้น มีสีเหลืองหรือสีขาวล้อมรอบด้วยสีแดง เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือที่เหงือก ในบางรายพบบริเวณด้านในริมฝีปาก แก้มหรือลิ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเวลารับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือการพูดคุยทั่วไป

สาเหตุของอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัยกระตุ้นเสริมดังต่อไปนี้

  • บุคคลในครอบครัวมีประวัติของการเป็นแผลร้อนใน ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงห่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน
  • ความเครียด ความกังวลใจ และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก และธาตุเหล็ก เป็นต้น และการดื่มน้ำน้อยจนเกินไป
  • การตอบสนองต่อแบคทีเรียภายในช่องปาก หรือเชื้อไวรัส
  • เกิดการบาดเจ็บภายในช่องปาก
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การแพ้อาหาร
  • มีแผลกดทับหรือเสียดสีจากฟันปลอมที่หลวมเกินไป หรือเหล็กดัดฟันไม่พอดีกับฟัน
  • การกัดกระพุ้งแก้มของตนเอง

อาการร้อนในลักษณะไหนที่ควรไปพบแพทย์

โดยส่วนใหญ่แผลจากอาการร้อนในจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งอาการดังกล่าว ได้แก่

  • แผลร้อนในที่ใหญ่กว่าปกติ
  • แผลเดิมยังไม่หาย  แต่ก็มีแผลใหม่เกิดขึ้นอีก และมีแผลในช่องปากเกิดขึ้นบ่อยๆ
  • เป็นแผลร้อนในนาน 2 สัปดาห์หรือมากกว่า
  • แผลที่เกิดจากอาการร้อนในลุกลามไปยังบริเวณริมฝีปาก
  • ไม่สามารถรักษาแผลให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
  • เป็นแผลร้อนในพร้อมกับมีไข้สูง

การรักษาอาการร้อนใน

อาการร้อนในสามารถรักษาได้ทั้งด้วยตนเองและรักษาตามแนวทางทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้

การรักษาด้วยตนเอง

ถึงแม้ว่าอาการร้อนในจะสามารถหายเองได้ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องรักษาความสะอาดภายในช่องปากควบคู่กันไปด้วย เช่น กลั้วปากด้วยน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน,ควรแปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก,หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดเพื่อให้แผลหายได้เร็วขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลร้อนในได้ เช่น ยาไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)

การรักษาตามแนวทางทางการแพทย์

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นแผลร้อนในมานานมากกว่า 2 สัปดาห์ และรักษาด้วยตัวเองแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ เช่น มีอาการเจ็บและลำบากในการพูดและการรับประทานอาหาร ,มีอาการอ่อนเพลีย,มีไข้ และเกิดการอักเสบของผิวหนังบริเวณข้างเคียง แนะนำไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ยาบ้วนปากต้านแบคทีเรีย หรือยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) หรือยาลิโดเคน (Lidocaine) เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวด ไม่เพียงเท่านั้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาประเภทคอร์ติโคสเตอรอยด์ เช่น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone)ร่วมด้วย

การป้องกันอาการร้อนใน

อาการร้อนใน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถป้องกันได้ เพื่อลดความถี่ในการเกิดแผลร้อนในให้น้อยลงได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  1. การดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปาก
    การดูแลสุขภาพภายในช่องปากด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ช่วยลดการเกิดอาการร้อนในภายในช่องปากได้ ดังนี้
  2. แปรงฟันหลังมื้ออาหารเป็นประจำหรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะทำให้ไม่มีเศษอาหารตกค้างที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในขึ้นได้
  3. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อหลังรับประทานอาหารและก่อนนอน โดยให้เลือกน้ำเกลือที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ใส ไม่มีสิ่งเจือปน
  4. ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟต
  5. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง
  6. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
    ให้พยายามเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภททอด อาหารรสจัด อาหารรสเปรี้ยวจัดอาหารเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ รับประทานผัก ผลไม้หรืออาหารประเภทธัญพืชมากขึ้น งดดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้แผลในปากที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้นมาได้

“ร้อนใน” นอกจากจะเป็นอาการที่สร้างความรำคาญใจแบบเจ็บแปลบให้กับผู้ที่เป็นแล้ว ยังอาจเป็นอาการที่แสดงถึงโรคอื่นๆตามมาด้วยโรคซีลิแอ็ก (ลำไส้เล็กทำงานผิดปกติ) โรคโครห์น (ทางเดินอาหารอักเสบอย่างรุนแรง) หรือ โรคโลหิตจาง ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยต่อไป และนอกจากนั้น อาการร้อนใน ยังแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังเหนื่อยล้า  จึงเป็นเวลาที่จะหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและเพื่ออาการร้อนในเหล่านี้จะไม่มารบกวน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ

รู้จักยาแก้เหงือกอักเสบ พร้อมวิธีการเลือกใช้อย่างถูกต้อง

“เหงือก” อวัยวะที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบภายในช่องปาก ที่ทำให้หน้าที่สำคัญในการยึดเกาะฟันไว้ให้ติดกับกระดูกขากรรไกรและเป็นอวัยวะที่ช่วยรองรับแรงในการบดเคี้ยวอาหาร มีลักษณะเป็นขอบเรียบและเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมาย และแน่นอนว่าถ้ามีอาการผิดปกติที่เหงือก อาการก็จะออกมาอย่างชัดเจนและสังเกตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเหงือกบวม หรือเลือดออกตามไรฟัน หรืออาจจะเข้าขั้นสู่การเป็นโรคเหงือกอักเสบเลยก็เป็นได้ โรคเหงือกอักเสบมีที่มาที่ไปอย่างไร และมียาตัวไหนที่สามารถรักษาหรือบรรเทาอาการได้บ้าง เราจะไปเรียนรู้จักโรคนี้ด้วยกันค่ะ

โรคเหงือกอักเสบคืออะไร

โรคเหงือกอักเสบ จะมีลักษณะคือสีของเหงือก ซึ่งแต่เดิมเป็นสีชมพูจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด มีอาการบวมและมีเลือดออกขณะแปรงฟัน หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นโรคปริทันต์  ซึ่งมีการทำลายกระดูกร่วมด้วย และที่สำคัญอาจทำให้สูญเสียฟันได้

สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ

โรคเหงือกอักเสบมีสาเหตุมาจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียเป็นเวลานานในช่องปาก ซึ่งเกิดจากการที่แปรงฟันไม่สะอาด หรือทำความสะอาดช่องปากได้ไม่สะอาดเพียงพอจนทำให้เกิดแบคทีเรีย และกลายเป็นหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟัน และเมื่อหมักหมมเป็นเวลานานเข้าเหงือกก็จะมีการอักเสบและบวมได้ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆที่กระตุ้นให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ เช่น ฟันคุดภายในช่องปาก การใส่เครื่องมือจัดฟัน การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด การขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ รวมไปถึงปัจจัยทางพันธุกรรม

ประเภทอาการของเหงือกอักเสบ

เหงือกอักเสบมีหลายอาการให้สังเกตหลักๆดังต่อไปนี้

  • เหงือกบวมแดง อักเสบ
    อาการลักษณะนี้ เหงือกจะเปลี่ยนจากสีชมพูอ่อน กลายเป็นสีแดงเข้มหรือม่วง และมีอาการบวมโตขึ้นเรื่อยๆจนบิดเนื้อฟัน มีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส นอกจากนั้นยังมีเลือดออกตามไรฟันหรือฟันผุร่วมด้วย
  • เหงือกบวม เป็นหนอง
    ไม่เพียงเหงือกจะบวมโต แต่ยังมีหนองร่วมด้วย เนื่องจากว่า หากเหงือกมีการอักเสบหรือติดเชื้อ บริเวณขอบเหงือกจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วงและมีความคล้ำเกิดขึ้น เมื่อลองกดดูจะมีหนองไหลออกมา
  • อาการรากฟันอักเสบ
    รากฟันอักเสบเป็นอาการที่เส้นเลือดในโพรงประสาทฟันเกิดการอักเสบ ทำให้เหงือกมีหนองเกิดขึ้น ส่วนสีของฟันก็จะคล้ำขึ้น จะรู้สึกเจ็บและเสียวฟันเมื่อเคี้ยวอาหาร หากปล่อยเอาไว้อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เช่นอาจทำให้เกิดการสูญเสียฟัน เป็นโรคที่เกี่ยวกับเหงือก หรืออาจจะลุกลามกลายเป็นมะเร็งในช่องปากก็เป็นได้

ยาแก้เหงือกอักเสบมีอะไรบ้าง

ยาแก้เหงือกอักเสบ ส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ไม่ยากนัก ใช้รักษาในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก แต่ให้อยู่ในการดูแลของเภสัชกร แต่หากอาการหนักหรือมีการปวดฟันร่วมด้วย แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์  เพื่อป้องกันการใช้ยาผิดประเภทและเพื่อการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งยาที่ใช้ในปัจจุบันมี 5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  1. ยาพาราเซตามอล(Paracetamol)
    เป็นยาสามัญประจำบ้านขั้นพื้นฐานที่บรรเทาอาการปวดทั่วไปได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยขนาดการใช้ยาจะอยู่ที่ 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้ไม่ควรรับประทานยาเกินขนาดหรือในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจเกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้
  • ยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(Nonsteroidal anti-inflammatory drug) หรือ “NSAIDs”
    ยาแก้อักเสบประเภทนี้มีอยู่หลายชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), พอนสแตน (Ponstan), ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) หรือ (Diclofenac) เป็นต้น นำมาใช้บรรเทาอาการปวดที่มีระดับปานกลางไปจนถึงมาก  หากรับประทานมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของไตและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ยาเมโทรนิดาโซล(Metronidazole)
    เป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียในร่างกายได้ ในกรณีที่มีอาการปวดฟัน เหงือกบวม หรือเหงือกอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาชนิดนี้เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ยาเมโทรนิดาโซลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ยาเบนโซเคน(Benzocaine)
    เป็นยาชาเฉพาะที่ที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดแผลในปาก ปวดฟัน ปวดเหงือก หรืออาการปวดหูชั้นกลาง เป้นต้น แต่จัดเป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เอง แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือทันตแพทย์เท่านั้น
  • ยาในกลุ่มต้านเชื้อแบคทีเรียหรือแก้อักเสบ
    ในกรณีที่มีหนองร่วมด้วย นั่นคือสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย ทันตแพทย์จะจ่ายยาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากด้วย เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin), เพนนิซิลิน (Penicillin), เตตร้าซัยคลิน (Tetracyclines) หรือเลโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin) เป็นต้น

การรับประทานยาทุกชนิดมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการใช้ยาสำหรับช่องปากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาเหงือกอักเสบ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารักษาด้วยตัวเอง เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดอันตรายแล้วยังอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ใช้เช่นกัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

จัดฟันต้องทานอาหารแบบไหน

หากจัดฟันทั้งที ต้องทานอาหารแบบไหน ถึงจะไม่ติดเหล็กดัด

เคยไหมที่จัดฟันแล้วรู้สึกอยากทานนั่นนี่ และเห็นเมนูที่ชื่นชอบแล้วน้ำลายสอตามมา แต่พอทานแล้วสัมผัสได้ถึงอุปสรรคที่เข้ามา โดยเฉพาะเศษอาหารเข้าตามเหล็กจัดฟัน จนต้องทำความสะอาดที่ยุ่งยากกว่าเดิมอีก การเลือกอาหารที่เหมาะสมต่อกลุ่มคนที่จัดฟัน ถือว่าสำคัญมาก เพราะการจัดฟัน จะต้องสรรหาอาหารสำหรับคนจัดฟันเช่นเดียวกับการปรับตัวอื่นๆ ในชีวิต ในช่วงสองสามวันแรกนั้นยากที่สุด การได้รับการติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน หมายความว่าช่องปากและฟันช่วงนี้จะไวต่อความรู้สึกในวันหลังได้รับการติดตั้งครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องทานอาหารประเภทอ่อนๆ จึงดีที่สุดในช่วงเริ่มต้น

บางทีมันยากที่จะกินให้ถนัดในวันแรก ไม่เพียงแต่ฟันและเหงือกเจ็บตามมา แต่ยังกระทบกระทั่งในช่องปาก ที่อาจจะทำให้ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป มันอาจจะยากที่จะกินอาหารที่ชอบ ในบทความนี้จะมาแนะนำอาหารสำหรับคนจัดฟันสามารถทานได้ โดยถูกหลักโภชนาการ และปลอดภัยต่อสุขภาพฟันในช่วงจัดฟัน จะต้องเลือกที่ไม่บั่นทอนต่อสุขภาพฟัน จะมีเมนูอะไรบ้าง ซึ่งจะขอแนะนำได้ดังนี้ว่ามีอะไรบ้าง

  1. โยเกิร์ต : โยเกิร์ตเป็นอาหารอ่อนๆ ที่บรรจุโปรตีนแสนอร่อย ซึ่งสามารถรับประทานได้เมื่อจัดฟันครั้งแรก โยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บฟัน เต็มไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามิน B6 และ B12 นอกจากนี้ โยเกิร์ตบางชนิดยังมีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ดี โดยรวมแล้ว โยเกิร์ตนั้นดีสำหรับฟันและกระดูกที่แข็งแรง และเหมาะสำหรับการย่อยอาหารขอแนะนำว่าทานโยเกิร์ตไขมันต่ำเพื่อรักษาสมดุลของอาหาร แต่ต้องระวังหลายๆ ยี่ห้อเพิ่มปริมาณน้ำตาลเพื่อให้โยเกิร์ตไขมันต่ำมีรสชาติที่ดีขึ้น
  2. ซุป : เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ หากนึกภาพคุณแม่ได้เตรียมซุปที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ไม่สบายใจมาเป็นเวลานาน แต่ซุปอุ่นๆ เป็นอาหารสำหรับคนจัดฟันครั้งแรก ซุปทำง่ายมากและเป็นอาหารอ่อน แม้แต่ซุปกระป๋องก็อุ่นได้ หากใครชอบทานก๋วยเตี๋ยวทานได้เลย
  3. มันเทศ หรือมันฝรั่งหวานนึ่งสุก : คุณค่าทางโภชนาการของมันฝรั่งหวานเป็นที่รู้จักกันดี เป็นอาหารอเนกประสงค์และนิ่มมากที่สามารถกินได้ทั้งที่ใส่เหล็กจัดฟัน สามารถเตรียมได้หลายวิธี ทั้งอบ นึ่ง ทอด หรือผัด มันฝรั่งหวานมีรสหวานแป้งและแสนอร่อย
  4. ปลา : เนื่องด้วยปลาที่เป็นขุยมีไขมันต่ำและเต็มไปด้วยโปรตีน ปลายังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูงอีกด้วย โอเมก้า 3 นั้นยอดเยี่ยมสำหรับความสามารถในการต้านการอักเสบ ในฐานะที่เป็นสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติ โอเมก้า 3 ที่พบในปลาสามารถลดสัญญาณของการอักเสบ รวมทั้งความเจ็บปวด บวม แดง หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ได้
  5. ผลไม้ : ผลไม้จัดว่าเป็นอาหารสำหรับคนจัดฟัน และผลไม้หลายชนิดเป็นอาหารอ่อนที่สมบูรณ์แบบเมื่อจัดฟันครั้งแรก หากเริ่มจัดฟันในช่วงฤดูร้อน ผลไม้หลายชนิดจะมีความหวานสูงสุด ผลไม้ที่เติมวิตามินซีมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม และสามารถลดปัญหาเหงือกได้
  6. Smoothie : สมูทตี้เป็นหนึ่งในอาหารสำหรับคนจัดฟันที่ดีที่สุดในขณะที่ติดตั้งเครื่องมือครั้งแรก เนื่องจากสามารถทำสมูทตี้ด้วยส่วนผสมต่างๆ ได้ สามารถเพิ่มผลไม้ ผัก และน้ำผลไม้ต่างๆ เพื่อปรับแต่งเนื้อสัมผัสและรสชาติได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาอาหารให้อ่อนนุ่มสำหรับการจัดฟัน
  7. Protein Shake : โปรตีนเชคไม่ได้มีไว้สำหรับนักเพาะกายและนักกีฬาเท่านั้น โปรตีนเชคเป็นสารอาหารที่สมดุล สามารถทำหน้าที่เป็นอาหารทดแทนเมื่อต้องการอาหารระหว่างเดินทาง และไม่สะสมเศษอาหารตามร่องฟัน และสร้างโปรตีนต่อเหงือกดีขึ้น
  8. ข้าวโอ๊ต : ข้าวโอ๊ตมีเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์และอุ่นพอที่จะบรรเทาอาการเมื่อยขณะขยับปาก ข้าวโอ๊ตเป็นหนึ่งในอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารมากที่สุดในโลก อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น เบต้ากลูแคน ประโยชน์ของหัวใจเหล่านี้มีผลอย่างกว้างขวางและข้าวโอ๊ตสามารถลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในกระแสเลือดและลดโอกาสของโรคหัวใจได้

เป็นไงบ้างสำหรับอาหารสำหรับคนจัดฟันที่สามารถทานได้ ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดี ทั้งต่อสุขภาพฟันโดยตรงและสุขภาพอื่นๆ ทางอ้อม ช่วงที่จัดฟันนั้น จะเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวจากสิ่งที่ชอบ เมื่อมีเมนูที่ชอบแต่ยังเจ็บอยู่นั้น ให้อดใจไว้ก่อน อย่าเพิ่งทานอาหารที่เหนียวๆ หนืดๆ หรือแสลงต่อการจัดฟันโดยตรง เช่น ทอฟฟี่ หมากฝรั่ง หรือลูกอม ซึ่งจะทำลายต่อผิวฟัน และอุปกรณ์การจัดฟันเข้ามาด้วย การเลือกทานอาหารก็ยังช่วยให้สุขภาพช่องปากดีในระยะยาวอีกด้วย

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร

เลือกไหมขัดฟันอย่างไร ให้เหมาะกับฟันของเราในยุค 2023

หากใครไปตามคลินิกทันตกรรม หรือไปแผนกทันตกรรมตามโรงพยาบาลต่างๆ จะเห็นได้ว่าทุกปัญหาช่องปากจะแนะนำให้ใช้ “ไหมขัดฟัน” เสมอ โดยเหตุผลหลักๆ ของการใช้ไหมขัดฟันช่วยลดเศษอาหารตามซอกฟัน ขจัดคราบหินปูนระหว่างฟัน ช่วยให้ปากและเหงือกแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งความสะอาดของช่องปากที่ไม่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบ เป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือกที่เหงือกบวมและมีเลือดออกง่าย เหงือกที่แข็งแรงจะไม่มีเลือดออกเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน โดยทั่วไปแล้ว ไหมขัดฟันถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความสะอาดช่องปาก โดยใช้กับบริเวณที่คับแคบระหว่างฟัน ยังสามารถใช้ไหมขัดฟันขูดด้านข้างของฟันแต่ละซี่ขึ้นและลงได้

ทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) เพื่อทำความสะอาด โดยเริ่มตั้งแต่เปิดใช้งานจนกระทั่งใช้เสร็จแล้ว ตามหลักการแล้ว ผู้ป่วยหรือผู้มาใช้บริการทันตกรรม จะใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง เวลาที่ดีที่สุดที่จะใช้ไหมขัดฟันคือตอนกลางคืน โดยช่วงก่อนนอนและก่อนแปรงฟันเป็นช่วงที่สำคัญมาก ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เนื่องจากการแปรงฟันจะช่วยขจัดสารใดๆ ที่ขับออกจากปาก แต่ยังเอาออกไม่หมด จึงต้องมีการใช้ไหมขัดฟันเข้ามา

วิธีการเลือกซื้อไหมขัดฟันนั้น ก่อนอื่นจะต้องเลือกชนิดของไหมขัดฟันเสียก่อน โดยมีวิธีเลือกได้ดังนี้

  1. Unwaxed Floss (ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์) : เป็นไหมขัดฟันที่ใช้กันทั่วไปประเภทหนึ่ง ผลิตจากวัสดุไนลอนที่บิดเป็นเกลียวหลายเส้นเข้าด้วยกัน ไหมขัดฟันที่ไม่แว็กซ์ไม่มีสารปรุงแต่ง ซึ่งหมายความว่าไหมขัดฟันประเภทนี้ปราศจากสารเคมี ไหมขัดฟันในรูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันเล็กน้อย เนื่องจากมีความบางกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่นมาก ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่จะทำลายและฉีกขาดในช่องปากได้ง่ายกว่าไหมขัดฟันประเภทอื่น
  2. Waxed Floss (ไหมขัดฟันแว็กซ์) : หรือที่คนไทยเรียกว่า “ไหมเคลือบขี้ผึ้ง” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นไหมขัดฟันที่ถูกสร้างขึ้นคล้ายกับแบบที่ไม่ได้แว็กซ์ด้วยการเติมชั้นแว็กซ์ลงบนไหมขัดฟัน ชั้นเคลือบแว็กซ์นี้ช่วยให้ทนทาน มีความแข็งแรงมากขึ้น จึงไม่ฉีกขาดหรือแตกบนร่องฟันผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทำความสะอาดเลื่อนไปมาระหว่างฟันได้ดีกว่า
  3. Dental Tape (เทปทันตกรรม) : เทปติดฟันหรือเรียกอีกอย่างว่า “แบบหนา” ค่อนข้างคล้ายกับไหมขัดฟันประเภทอื่นๆ ยกเว้นว่ามันหนากว่ามาก มีโครงสร้างที่แบนกว่าซึ่งทำให้นึกถึงเทปธรรมดาชิ้นหนึ่ง เทปติดฟันเหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างขนาดใหญ่และต้องการไหมขัดฟันที่หนากว่า  ในประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหนากว่า เทปพันฟันจึงอาจเข้าไประหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ยาก
  4. Polytetrafluorethylene Floss (PTFE) : ไหมขัดฟันรูปแบบนี้มี Polytetrafluorethylene เป็นวัสดุที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยในรูปแบบของผ้า Gore-Tex วัสดุนี้มีความแข็งแรงมาก แทบไม่ต้องกังวลว่าวัสดุจะฉีกขาดขณะใช้งาน โครงสร้างที่เรียบลื่นทำให้เหมาะสำหรับการเลื่อนเข้าไปในช่องว่างเล็กๆ ระหว่างฟันที่เรียงซ้อนได้ง่าย แต่ต้องระวังสารก่อมะเร็ง
  5. Super floss (ไหมขัดฟันเฉพาะ) : เป็นไหมขัดฟันชนิดพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีสะพานฟัน เครื่องมือจัดฟัน และช่องว่างฟันกว้าง มันมีสามองค์ประกอบหลัก เช่น ไหมขัดฟันธรรมดา ไหมขัดฟันที่เป็นรูพรุน และที่สนปลายแข็ง ผู้ใช้สามารถใช้ไหมขัดฟันใต้สะพานและอุปกรณ์ทันตกรรมอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายเพื่อทำความสะอาดอย่างทั่วถึงเมื่อใช้ที่สนด้าย

วิธีการเลือกไหมขัดฟัน

นอกจากดูชนิดของมันแล้วนั้น จะต้องดูคุณภาพการผลิต คำแนะนำของทันตแพทย์ และวันหมดอายุเสมอ เพื่อเลือกตามลักษณะฟันที่เหมาะสม ไหมขัดฟันแบบหนาอาจทำให้รู้สึกไม่สบายฟันเลย ดังนั้นไหมขัดฟันแบบบางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด รวมถึงไหมขัดฟันแบบขี้ผึ้งสามารถช่วยให้กระบวนการทำความสะอาดช่องปากง่ายขึ้นเล็กน้อย สำหรับคนที่มีฟันห่าง ถ้าใช้ไหมขัดฟันแบบหนาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันอาจต้องการใช้เทปพันฟัน เพียงแต่เทปพันฟัน ไม่ค่อยนิยมมากเป็นวงกว้าง หากใครจะเลือกซื้อจริงๆ อยากให้สอบถามทางเภสัชกร และทันตแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำการใช้ให้เหมาะสมกับสภาพฟันจะดีที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการฟันโยก สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาฟันโยก จะมีความแตกต่างกันระหว่างฟันน้ำนมกับฟันแท้ ในช่วงฟันน้ำนม เป็นสัญญาณของการงอกของฟันแท้ในช่วงเด็กวัย 6-12 ปี หากเป็นฟันโยกของฟันแท้ อาการฟันโยกจะเกิดได้ทั้งการกระแทกของฟัน รากฟันไม่แข็งแรง รวมถึงเกิดจากโรคปริทันต์ โดยจะให้น้ำหนักทางโรคปริทันต์ จะเป็นการติดเชื้อในเหงือกและกระดูกรอบๆ ฟัน ในระยะลุกลามของโรคปริทันต์ อาการฟันโยกเป็นสัญญาณทางคลินิกที่อาจสะท้อนถึงระดับของการทำลายปริทันต์ ที่เกิดจากการติดเชื้อเฉพาะที่ในเหงือกและโครงสร้างรอบๆ ฟัน (เอ็นและกระดูกถุงในฟัน) และกระทบต่อความมั่นคงของเหงือกและฟันในการขบเคี้ยว การติดเชื้อเหล่านี้เกิดจากแบคทีเรีย ที่เกิดจากคราบสิ่งสกปรกสะสมในช่องปากด้วย

ในผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงของอาการฟันโยกค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันแท้ขึ้นครบหมดแล้ว แต่มีความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตบางอย่าง ที่กระทบต่อสุขภาพช่องปาก และเป็นกลุ่มที่พบแผนกทันตกรรมบ่อยมากในวัยนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมฟันผู้ใหญ่จึงมีการโยกออกมา โดยสาเหตุของอาการฟันโยก จะแบ่งได้ดังนี้

สาเหตุของอาการฟันโยก

  1. การบาดเจ็บที่เกิดกับฟันเนื่องจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  หรือการหกล้มอย่างหนักจนมีอาการฟันโยก บางรายอาจจะเกิดจากการเล่นกีฬา เช่น กีฬาต่อสู้ กีฬาฟุตบอล หรือกีฬาที่มีการปะทะหนักๆ
  2. การสบฟันผิดรูป เช่น การสบฟันลึกที่ทำให้ฟันเคี้ยวมากเกินไป ทำให้เคลื่อนตัว การนอนกัดฟันหรือการกัดฟันเป็นนิสัย ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
  3. โรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือก จะมีอาการเหงือกร่น ฝีเหงือก ซีสต์หรือเนื้องอกในขากรรไกร
  4. การสูบบุหรี่ อาการฟันโยกมาจากการสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและช่องปากโดยตรง และทำให้สะสมแบคทีเรียง่ายขึ้น จึงเสี่ยงต่อโรคฟันหรือปริทันต์เข้ามาด้วย

อาการของฟันโยก

อาการฟันโยกที่พบบ่อย ซึ่งสังเกตได้จากความผิดปกติทางกายภาพ โดยเริ่มเสียวฟันโดยรอบ จากนั้นจะมีอาการอื่นๆ ตามมา เนื่องจากสุขภาพช่องปากขาดการดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งจะมีอาการดังนี้

  • ฟันเริ่มโยก
  • รอยแดงของเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน
  • ความเจ็บปวดหรือไม่สบายตามรอบๆ ฟันและเหงือก
  • การเคี้ยวอาหารลำบาก
  • มีอาการเจ็บ หรือมีปัญหาเหงือกที่บอบบาง

หากมีอาการเหล่านี้ ทันตแพทย์จะประเมินสถานการณ์โดยใช้เครื่องมือทางคลินิกและค่อยๆ เช็คช่องปากไปมา หากทันตแพทย์มั่นใจว่ามีอาการฟันโยก ทางทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น บางรายอาจจะต้องเอ็กซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของช่องปากและขากรรไกรร่วมด้วย

วิธีการรักษาฟันโยก

หากตรวจอาการฟันโยกพบว่าเคลื่อนไหวได้เนื่องจากการสบฟันที่ไม่ถูกต้อง จะได้รับคำแนะนำให้รักษาเพื่อแก้ไขการสบฟันเพื่อบรรเทาการบดเคี้ยวที่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพช่องปาก และรบกวนต่อจิตใจ โดยมีวิธีการรักษาได้ดังนี้

  • ในกลุ่มเล่นกีฬาอันตราย จะต้องสวมฟันยางที่ออกแบบโดยทันตแพทย์ เนื่องจากตามร้านอุปกรณ์กีฬา จะไม่ตอบโจทย์ทางทันตกรรมของบุคคลนั้น และไม่รองรับอันตรายต่อฟันได้
  • หากมีซีสต์หรือเนื้องอกทำให้เกิดอาการปวดและเคลื่อนไหวได้ ควรรักษาอาการก่อน แล้วค่อยรักษาอาการฟันโยก เนื่องจากซีสต์จะลุกลามรวดเร็ว และทำให้การบดเคี้ยวไม่ดี
  • การทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีที่คลินิก ซึ่งจะมีการทำความสะอาดโดยทันตแพทย์ การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูน ซึ่งช่วยป้องกันอาการฟันโยกและโรคปริทันต์ได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม
  • ไปที่คลินิกทันตกรรมอย่างน้อยปีละสองครั้ง

อาการผิดปกติของฟันโยก เป็นสัญญาณทางทันตกรรมที่ร้ายแรง ไม่ควรมองข้ามอาการฟันโยกเลย เนื่องจากมันเป็นอาการเสี่ยงของโรคปริทันต์ ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายอย่างมากของสุขภาพช่องปาก อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยในช่องปากที่ดี เริ่มจากการรักษาความสะอาดที่บ้าน ทุกคนอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟันโยก จนกระทั่งฟันหลุดจากสาเหตุใดๆ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ แต่การดูแลช่องปาก ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น เว้นแต่ในกรณีอาการฟันโยกเกิดจากอาการผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ อยากให้ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรงเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ รวมถึงการรักษาในลำดับต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

รากฟันอักเสบ..ภัยเงียบที่คุกคามช่องปาก

รากฟันอักเสบ..ภัยเงียบที่คุกคามช่องปาก

“รากฟันอักเสบ” ภัยเงียบที่เป็นปัญหาใหญ่ คุกคามภายในช่องปาก ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระบบหรือส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตา ,ลำคอ,โพรงไซนัส,สมอง ทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอีกด้วย รากฟันอีกเสบเกิดมาจากอะไร ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จะมีความอันตายมากแค่ไหน และจะมีวิธีรักษาหรือป้องกันได้อย่างไรบ้าง เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับรากฟันอักเสบด้วยกัน

สาเหตุของอาการรากฟันอักเสบ

“รากฟันอักเสบ” มักมีสาเหตุมาจาก ปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้

  • ฟันผุหรือฟันที่มีวัสดุอุดลึกจนทะลุไปถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน จนทำให้เกิดอาการปวดฟันขึ้นมาได้  ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะลุกลามไปจนถึงรากฟันข้างใน ยากต่อการรักษามากยิ่งขึ้น
  • ฟันผุซ้ำหรือฟันผุที่เกิดใหม่อยู่ใต้ครอบฟัน
  • ฟันแตกหรือฟันร้าว
  • รากฟันเป็นหนอง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณปลายราก
  • ได้รับแรงกระแทกอย่างหนักที่ฟันหรือมีอุบัติเหตุ ทำให้โพรงประสาทฟันติดเชื้อหรือตาย ทั้งยังสามารถทำลายกระดูกรอบๆฟัน ทำให้มีอาการปวด

สัญญาณเตือนภัยของจุดเริ่มต้นรากฟันอักเสบ

จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังเข้าสู่อาการรากฟันอักเสบ ให้สังเกตจากสักญญาณเตือน ดังต่อไปนี้

  • เหงือกจะมีอาการบวมและแดงมากยิ่งขึ้น จากสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงหรือเป็นสีม่วง
  • รู้สึกเจ็บและเสียวฟันตอนเคี้ยวอาหาร
  • รู้สึกปวดฟันขึ้นมาแบบเป็นๆหายๆ หรืออาจถึงขั้นปวดรุนแรงจนนอนไม่หลับ
  • รากฟันมีตุ่มเป็นหนอง

วิธีการรักษารากฟันอักเสบ

การขั้นตอนการรักษารากฟันอักเสบ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เริ่มจากการกำจัดเนื้อฟันที่ผุ เพื่อเปิดทางเข้าสู่โพรงประสาทฟัน
  2. จากนั้นกำจัดรากฟันที่อักเสบรวมถึงการติดเชื้อต่างๆโดยการล้างด้วยน้ำยาที่มีฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อ
  3. หลายกรณีไม่สามารถรักษารากฟันให้เสร็จภายในครั้งเดียว ทันตแพทย์จะใส่ยาฆ่าเชื้อในคลองรากฟันและอุดวัสดุไว้ชั่วคราว

อาการข้างเคียงจากการรักษารากฟันอักเสบ

หลังจากการรักษารากฟัน จะมีอาการปวดเกิดขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คืออาการปวดระหว่างการรักษาและอาการปวดเมื่อรักษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนี้

  1. อาการปวดระหว่างการรักษา

อาการปวดเกิดขึ้นได้บ่อยๆและเป็นปกติในระหว่างการรักษาอาจจะมีการบวมของเหงือกร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่อาการปวดดังกล่าวหลังการรักษาครั้งแรกนั้นจะเกิดจากการรักษารากฟันในฟันที่มีอาการปวด หรือเริ่มปวด หรือรากฟันกำลังเริ่มอักเสบ แต่จะไม่เกิดในฟันที่ตายแล้วหรือฟันที่เป็นหนอง โดยทันตแพทย์จะขยายและล้างคลองรากฟันโดยไม่ให้เกิดแรงดันที่จะทำให้เศษอาหารถูกดันเข้าไปบริเวณปลายราก

  • อาการปวดหลังการรักษา
    ในกรณีที่คนไข้มีอาการปวดไม่รุนแรงมากนัก ทันตแพทย์จะมีการล้าง ทำความสะอาด แล้วขยายรากฟันหรือกำจัดเส้นประสาทให้หมดก็จะสามารถทำให้อาการปวดทุเลาลงได้ แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการบวมร่วมด้วย ก็อาจจะต้องเปิดระบายโพรงประสาทฟันที่กรอเอาไว้และให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย ซึ่งอาการปวดหลังการรักษา ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่นคลองรากฟันยังไม่สะอาดแล้วอุด ขยายคลองรากฟันไม่หมดหรือฟันแตก ซึ่งอาจจะต้องมีการรื้อและรักษาใหม่ และถ้าหากรักษาไม่ได้อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งในที่สุด

ข้อควรปฏิบัติหลังการรักษารากฟัน

หลังการรักษารากฟันอักเสบ มีข้อควรปฏิบัติเพื่อเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้

  1. ควรระมัดระวังการใช้งานซี่ฟันที่กำลังรักษาราก เนื่องจากเนื้อฟันมีปริมาณที่น้อยลงและฟันจะมีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น
  2. ระหว่างการรักษารากฟันอักเสบ หากวัสดุอุดฟันหลุดออกมา ให้รีบกลับไปพบทันตแพทย์ เนื่องจากเป็นโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เชื้อโรคในช่องปากสามารถเข้าสู่คลองรากฟันได้
  3. การรักษารากฟันอักเสบ เป็นสิ่งที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าหากฟันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานๆ จะทำให้เชื้อโรคทำลายกระดูกที่อยู่รอบๆฟัน นำไปสู่การเกิดตุ่มหนองทั้งภายในช่องปากและบริเวณใบหน้าได้ และถ้าหากกระดูกรองรับฟันถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากก็อาจจะทำให้ไม่สามารถเก็บรักษาฟันซี่นั้นต่อไปได้

การรักษารากฟันอักเสบ เป็นกระบวนการรักษาที่มีความต่อเนื่องและค่อนข้างใช้เวลา ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและสภาพฟันของแต่ละท่าน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการรากฟันอักเสบ ควรหมั่นดูแลสุขภาพปากและฟันให้ดี โดยการไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อเช็คความสะอาดภายในช่องปาก เพื่อป้องกันฟันผุที่จะลุกลามและกลายเป็นอาการของรากฟันอักเสบในที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม

ปวดฟันคุด..สัญญาณเตือนภัยร้ายในช่องปาก

ปวดฟันคุด..สัญญาณเตือนภัยร้ายในช่องปาก

“ฟันคุด” หนึ่งในปัญหาช่องปากที่เป็นฝันร้ายและสร้างความรำคาญใจให้กับใครหลายคน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วได้สร้างความเจ็บปวดอย่างมากมายจนวิ่งไปหาหมอฟันแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว และสุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วยการผ่าออก แท้จริงแล้วฟันคุดคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร ถ้าหากปล่อยเอาไว้จะสร้างความเสียหายอย่างไร และจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่ต้องผ่าออก วันนี้เรามีเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับ “ฟันคุด” มาแบ่งปันกันค่ะ

ฟันคุดคืออะไร

ฟันคุด (Impacted Tooth, Wisdom Tooth) เป็นฟันที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรโดยไม่สามารถขึ้นมาได้ตามปกติในช่องปากเหมือนฟันซี่อื่นๆ ซึ่งอาจจะโผล่ออกมาให้เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากฟันคุดขึ้นมาช้ากว่าฟันซี่อื่นจึงทำให้ไม่มีช่องว่างที่จะโผล่ขึ้นมาได้  ซึ่งโดยปกติฟันคุดจะมีทั้งหมด 4 ซี่ด้วยกัน คือในบริเวณด้านในของช่องปากทั้งบนและล่าง เกิดขึ้นได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา สามารถพบได้บ่อยที่บริเวณฟันกรามซี่สุดท้ายซึ่งอยู่ด้านในสุดของกระดูกขากรรไกรล่าง

ฟันคุดเกิดจากอะไร

ปกติแล้วฟันคุดก็คือฟันซี่ที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 16-25 ปี อาจเป็นไปได้ที่จะโผล่ขึ้นมาในลักษณะตั้งตรง เอียงหรือนอนในแนวราบ แต่ฟันคุดคือฟันที่พยายามจะงอกขึ้นมาแต่ไม่สามารถขึ้นมาได้เนื่องจากมีฟันเนื้อเยื่อหรือกระดูกปิดขวางฟันที่กำลังจะขึ้นมานั่นเอง เมื่อฟันคุดพยายามที่จะงอกขึ้นมา ทำให้เกิดแรงผลักดันและเป็นไปได้ว่าจะมีการเบียดฟันซี่ข้างๆ นี่จึงเป็นที่มาของอาการปวดฟันคุดอย่างรุนแรงและสร้างความทรมานให้กับผู้ที่เป็นอย่างมาก

อาการของฟันคุดเป็นอย่างไร

โดยทั่วไป “ฟันคุด” ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยกเว้นในกรณีที่ตัวฟันโผล่ขึ้นมาเหนือเหงือก จะต้องใช้วิธีการเอกซเรย์จึงจะสามารถมองเห็นได้ อาการที่พบส่วนใหญ่คือรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณฟันคุดมากหรือมีการอักเสบรอบๆเหงือก บางรายแก้มบวม อ้าปากได้น้อย กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ หรือที่หนักกว่านั้น ในบางรายอาจมีอาการบวมและติดเชื้อ จนลุกลามไปถึงใบหน้า แก้ม และลำคอได้อีกด้วย

ผลกระทบจากฟันคุด

การปล่อยฟันคุดทิ้งเอาไว้นานๆ สามารถทำให้เกิดโทษหรือผลกระทบกับส่วนอื่นๆในช่องปากได้ เช่น

  • ฟันคุดทำให้เกิดฟันผุ 
    เนื่องจากฟันคุดเป็นฟันที่ผิดรูป ทำให้เป็นแหล่งที่กักเก็บเศษอาหารได้เป็นอย่างดี และอาจจะเนื่องด้วยตำแหน่งของฟันคุดที่อยู่ลึกด้านในใกล้ลำคอ ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด และเกิดฟันผุขึ้นมาได้และนอกจากนั้นยังสามารถลุกลามไปยังฟันซี่ที่อยู่ข้างๆได้ด้วยเช่นกัน
  • ฟันคุดทำให้เหงือกอักเสบ
    ฟันคุดบางซี่ตัวฟันอาจจะโผล่ออกมาเหนือเหงือกไม่หมด เมื่อเหงือกเข้าไปปกคลุมฟัน อาจทำให้เศษอาหารเข้าไปสะสมอยู่ใต้เหงือก ทำความสะอาดได้ยาก เป็นที่มาของเชื้อแบคทีเรียและทำให้เกิดอาการอักเสบ ปวด บวมและเป็นหนองตามมา ที่ร้ายแรงกว่านั้น ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการกระจายเชื้อโรคไปยังส่วนอื่นๆจนเกิดการติดเชื้อ ลุกลามไปยังช่องคอ ทำให้หายใจไม่ออกได้เช่นกัน
  • ฟันคุดมีโอกาสทำให้เกิดถุงน้ำ
    เมื่อเกิดฟันคุดขึ้น เนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบสามารถพัฒนากลายเป็นถุงน้ำหรือเนื้องอกได้ และที่สำคัญฟันคุดที่มักอยู่ติดกับขากรรไกร มันจะเกิดการดัน และเบียดกระดูกขากรรไกร ส่งผลให้ใบหน้าผิดรูปในอนาคต

จำเป็นต้องผ่าฟันคุดออกหรือไม่

ในการผ่าฟันคุดนั้น แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยโดยพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของฟันคุด ระยะห่างของฟันคุดกับเส้นประสาท รวมถึงอายุของคนไข้ด้วย ซึ่งโดยมาก แพทย์มักแนะนำให้ผ่าฟันคุดออกในทุกกรณี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรมีการขอคำแนะนำจากแพทย์ทุกครั้งซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาตามมา

ลักษณะของฟันคุดที่จำเป็นต้องผ่าออก

ลักษณะของฟันคุดที่มีความจำเป็นต้องผ่า เพราะสร้างปัญหาและผลกระทบในช่องปากระยะยาว มีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้

  1. ฟันคุดที่มีเหงือกคลุม (soft tissue impaction) 
    ลักษณะคือตัวของฟันคุดมีลักษณะตั้งตรง แล้วมีเหงือกที่ปกคลุมฟันคุดซี่นั้นเอาไว้ ในกรณีนี้สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าเปิดเหงือกออกร่วมกับการถอนฟันคุด
  2. ฟันคุดที่มีกระดูกคลุม (bony impaction) 
    ลักษณะอาการในกรณีนี้คือมีทั้งเหงือกและกระดูกที่คลุมฟันคุดเอาไว้  ส่วนลักษณะของฟันคุดก็มีทั้งแบบตั้งตรง เอียง หรือนอน การรักษาสามารถทำได้โดยการกรอกระดูกร่วมกับการแบ่งฟันคุดเป็นส่วนๆ เพื่อนำฟันคุดออกมา

อาการข้างเคียงหลังผ่าฟันคุด

อาการแทรกซ้อนหลังจากการรักษาฟันคุดโดยการผ่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น มีเลือดออกบริเวณผ่าตัด ปวดแผลผ่าตัด ซึ่งเป็นอาการปกติทั่วไป แต่ถ้าหากมีอาการที่ผิดปกติ กรณีเช่น มีเลือดไหลจากแผลผ่าตัดมากกว่าปกติ บางรายมีไข้ หรือเกิดการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และถ้าในกรณีที่อาการปวดบวมไม่ทุเลาลงเลย มีกลิ่นปาก เจ็บแปลบหรือเกิดอาการชาที่ใบหน้า ริมฝีปากหรือลิ้น ให้รีบไปพบทันตแพทย์ทันที

ข้อควรปฏิบัติหลังผ่าฟันคุด

หลังผ่าตัดฟันคุดมีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

  • ห้ามบ้วนเลือดหรือน้ำลายทันทีในวันที่ผ่าตัด เพราะอาจจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด แต่ให้กัดผ้าก๊อตประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นให้กลืนน้ำลายตามปกติได้
  • ควรประคบน้ำแข็งบริเวณแก้มในช่วง 3-5 วันแรก เพื่อลดอาการบวม
  • หลังจากที่ผ่าตัดอาจจะมีอาการตึงๆบริเวณแก้มในด้านที่ผ่าตัด ให้บริหารกล้ามเนื้อบริเวณนั้นด้วยการฝึกอ้าปาก
  • สามารถรับประทานยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • ให้รับประทานอาหารชนิดอ่อนๆประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพื่อจะได้ไม่กระทบกระเทือนต่อแผลในช่องปาก
  • สามารถแปรงฟันได้ตามปกติอย่างเบามือ และกลับไปตัดไหมหลังจากที่ผ่าตัดได้ 5-10 วัน

“ฟันคุด” เป็นฟันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในลักษณะที่ผิดปกติ ดังนั้นควรมีการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ เมื่อพบอาการผิดปกติใดๆจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที และในการผ่าตัดรักษาฟันคุดก็ไม่ได้น่ากลัวเกินไป เมื่อเทียบกับโทษที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าหากปล่อยเอาไว้ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคร้ายแล้ว อาจลุกลามสร้างความเสียหายไปยังอวัยวะอื่นได้ด้วยเช่นกัน

สอบถามเพิ่มเติมและตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทันตกรรม #ตรวจสุขภาพฟัน #คลินิกทันตกรรม