โครงการ-ฟันเทียม-รากฟันเทียม-เฉลิมพระเกียรติ

สธ. ตั้งเป้า ปี 66-67 ผู้สูงอายุ ใส่ฟันเทียม 72,000 คน ฝังรากฟันเทียม 7,200 คน

สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวโครงการ “ฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567” โดยมี นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว

นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ในปี 2566 ซึ่งปัญหาเรื่องหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ ปัญหาสุขภาพฟันและสุขภาพช่องปาก ผู้สูงอายุที่เสียฟันทั้งปากจะเคี้ยวอาหารได้ไม่ดี กินได้เฉพาะอาหารอ่อน และการใส่ฟันเทียมจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการใส่ฟันเทียมแบบครอบเหงือกทั้งปาก ได้มีการพัฒนาเป็นสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของทั้ง 3 สิทธิ มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้ที่ใส่ฟันเทียมแบบครอบเหงือกมานาน จะมีปัญหาฟันเทียมหลวม และต้องเพิ่มการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม เพื่อเป็นที่ยึดเกาะของชุดฟันเทียม แต่เนื่องจากรากฟันเทียมที่มีคุณภาพดีต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาแพง อัตราค่าบริการรากเทียมจากยุโรป ค่าบริการรากละ 55,000 – 100,000 บาท และรากเทียมในเอเชีย ค่าบริการรากละ 25,000 – 40,000 บาท กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดทำโครงการ “ฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบสานโครงการจากพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการแก้ปัญหาให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปากได้รับฟันเทียม และรากฟันเทียม เพื่อการกินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยโครงการนี้มีเป้าหมายใส่ฟันเทียมจำนวน 72,000 คน และฝังรากฟันเทียมจำนวน 7,200 คน ในระยะเวลา 2 คือ ปี 2566-2567

            นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ พร้อมจัดระบบบริการสุขภาพที่ครอบคลุม เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะการบริการด้านสุขภาพช่องปาก กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาระบบการดูแลเรื่องการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งขณะนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังมีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก 270,000 ราย อยู่ในสิทธิประโยชน์ทุกสิทธิ ทั้งสิทธิบัตรทอง กรมบัญชีกลาง และประกันสังคม ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อรับบริการได้ที่โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่ง ของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนการฝังรากฟันเทียมรองรับฟันเทียมทั้งปาก เป็นเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพการใช้งานฟันเทียมทั้งปากให้แน่นขึ้น โดยมีความจำเป็นประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ขณะนี้มีโรงพยาบาลที่มีความพร้อม มีทันตแพทย์ที่สามารถให้บริการได้ในโรงพยาบาล ประมาณ 180 แห่งทั่วประเทศ

            นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สุขภาพช่องปากเป็นปัญหาที่ยังคงพบได้สูงในคนไทยทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะวัยทำงานตอนปลายและผู้สูงอายุ หากโรคในช่องปากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เด็ก และมีการสะสมโรค จะทำให้ปัญหามีความรุนแรงซับซ้อนขึ้น จนนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพระดับประเทศทุก 5 ปี ของกรมอนามัย พบว่า ผู้สูงอายุ 60 – 74 ปี มีฟันแท้เฉลี่ย 18 ซี่ต่อคน และเมื่ออายุ 80-85 ปี ลดลงเหลือเพียง 10 ซี่ต่อคน และมีผู้สูงอายุที่สูญเสียทั้งปาก ร้อยละ 8.7 โดยบางส่วนได้รับการใส่ฟันเทียมไปแล้ว การสูญเสียฟันทั้งปาก ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย และคุณภาพชีวิตชัดเจน กรมอนามัยจึงได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพช่องปากที่ดี มีการใช้เทคโนโลยี Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ควบคู่กับการสื่อสารผ่านเครือข่ายแกนนำชุมชน เพื่อนำไปสู่การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถดูแล เฝ้าระวังอนามัยช่องปากตนเอง และเข้ารับบริการเมื่อจำเป็น เพื่อเก็บรักษาฟันให้ใช้งานได้ตลอดชีวิต

            นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ   การสูญเสียฟันทั้งปากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย ตลอดจนด้านจิตใจผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก โดยเฉพาะในขากรรไกรล่าง ถึงแม้จะมีการทำฟันเทียมอย่างดีแล้ว แต่ในผู้ใส่ฟันเทียมบางรายที่มีสันเหงือกเตี้ย หรือใส่ฟันเทียมมานาน กระดูกขากรรไกรอาจละลาย ทำให้ฟันเทียมหลวมไม่กระชับ เคี้ยวอาหารไม่ได้ เคี้ยวแล้วเจ็บ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีการควบคุมของกล้ามเนื้อบริเวณช่องปากได้ไม่ดี จะผลให้การยึดอยู่ของฟันเทียมไม่ดีเช่นกัน ดังนั้น การนำเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูงมาใช้แก้ไขในกรณีนี้คือ การฝังรากฟันเทียม 2 รากในขากรรไกรล่าง เพื่อรองรับฟันเทียมชิ้นล่าง ซึ่งในประเทศไทย ได้มีการผลิตนวัตกรรมรากฟันเทียมขึ้นมา ในโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550-2557 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานฟันเทียมทั้งปากชิ้นล่าง ด้วยการฝังรากเทียม 2 รากในผู้สูงอายุ 18,400 ราย ทั้งนี้ กรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรมเป็นหน่วยประสาน การดำเนินงานรวมถึงพัฒนาศักยภาพทันตบุคลากร ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายบริการจำนวน 301 แห่งทั่วประเทศ และมีการดูแลผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องมาถึงในปัจจุบัน

            ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า ปี 2546 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีกระแสพระราชดำรัสว่า “คนเราเวลาไม่มีฟัน กินอะไรก็ไม่อร่อย ทำให้ไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่สบาย ร่างกายก็ไม่แข็งแรง” หน่วยทันตกรรมพระราชทานจึงสนองกระแสพระราชดำรัส โดยพัฒนาให้มีการใส่ฟันเทียม ในหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ และทรงพระราชทานรถใส่ฟันเทียมเคลื่อนที่คันแรกของประเทศไทย ต่อมาในปี 2547 พบว่า ผู้สูงอายุสูญเสียฟันทั้งปากจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปากถึง 300,000 คน ซึ่งส่งผลต่อการเคี้ยว กัด กลืนอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ทั้งด้านกายภาพ อารมณ์ และสังคม แต่ขณะนั้นสามารถใส่ฟันเทียมทั้งปากได้เฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่บางแห่งเท่านั้น รวมแล้วจัดบริการใส่ฟันเทียมทั้งปากทั้งประเทศได้ปีละ 2,000 ราย หน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคีเครีอข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินงานโครงการฟันเทียมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยกรมอนามัยเป็นหน่วยประสานการดำเนินงาน ทั้งพัฒนาระบบบริการ ระบบส่งต่อ และพัฒนาศักยภาพทันตแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทุกโรงพยาบาลสามารถใส่ฟันเทียมทั้งปากได้ เฉลี่ยปีละกว่า 35,000 รวมตั้งแต่ปี 2548 ผู้สูงอายุได้รับการใส่ฟันทั้งปากแล้ว รวม 720,000 ราย

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษาครั้งนี้ โดยสปสช. ตระหนักถึงปัญหาผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันที่ควรได้รับการดูแล รวมถึงผู้ที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ที่จำเป็นต้องใส่ฟันเทียม จึงได้บรรจุบริการฟันเทียม ทั้งกรณีการใส่ฟันเทียมทั้งปากและการใส่ฟันเทียมบางส่วนที่ถอดได้ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา จากข้อมูล ปี 2564 มีประชาชนที่เข้าบริการใส่ฟันเทียมทั้งปาก และฟันเทียมบางส่วนแบบถอดได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 62,717 คน แต่การใส่ฟันเทียมในผู้ป่วยบางรายเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีฟันมาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งสันกระดูกขากรรไกรล่างแบน จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดใส่รากฟันเทียมที่มีค่าใช้จ่ายสูงเพื่อยึดติดฟันเทียม ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ได้อนุมัติเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์การผ่าตัดใส่รากฟันเทียมสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันทั้งปากที่มีข้อบ่งชี้ และมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 ให้กับคนไทย

สอบถามเพิ่มเติม
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ฟันเทียม #รากฟันเทียม #ฟันเทียมผู้สูงอายุ #สธนนทบุรี

ทำไมเราต้องไปขูดหินปูนทุก 6 เดือน

ทำไมเราต้องไปขูดหินปูนทุก 6 เดือน

หินปูนคืออะไรแล้วทำไมเราต้องไปขูดหินปูนทุก 6 เดือน วันนี้ทีมงานได้รวบรวมข้อมูลสาระดีๆ เนื่องจากมีเพื่อนๆหลายคนที่สงสัยว่า หลังทำการขูดหินปูนแล้วฟันห่างจริงหรือเปล่า? ขูดหินปูนบ่อยๆมีโอกาสฟันจะสึกแค่ไหน?

หินปูนมักจะเกิดบริเวณซอกฟัน ช่องว่างของฟัน โดยเฉพาะบริเวณที่เราทำความสะอาดไม่ทั่วถึงมักจะเกิดคราบพลัค แบคทีเรีย เกาะตามคอฟัน เนื่องจากในช่องปากที่มีน้ำลาย เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่มักจะตกตะกอนกับแคลเซียม จนบ่มกลายเป็นหินปูน ที่อยู่ตามซอกฟันและบริเวณที่เราแปรงฟันไม่ทั่วถึงนั่นเอง สรุปง่าย ๆ ก็คือ หินปูนเกิดจากการตกตะกอนของแคลเซียมที่อยู่ในน้ำลายนั่นเอง

ขูดหินปูนทุก 6 เดือนมันจะดีอย่างไร

เมื่อเกิดหินปูนขึ้นแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป ถ้ามีคราบหินปูนไม่เยอะมากนัก คุณหมอมักจะแนะนำให้ใช้วิธีการขูดหินปูน ที่เป็นการขูดบริเวณเหนือเหงือกในช่องปากของคนไข้ จากนั้นก็จะเหลือคราบนิดๆหน่อยๆ ถ้าเราดูแลความสะอาดได้ดีหรือหมั่นขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เนิ่น ๆ ทุก ๆ 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยคนไข้ควรหมั่นมาพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบง่าย ๆ เช่น การดูแลรักษาความสะอาดบ้าน หากเราดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็จะยิ่งสร้างความสกปรกมากเท่านั้น เช่นเดียวกับฟันของเรานั่นเอง ถ้าหากหมั่นมาตรวจเช็คสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์อยู่สม่ำเสมอ ปัญหาหินปูนก็จะน้อยลงตามไปนั่นเอง

รู้หรือไม่ว่า หากไม่มีขี้ฟัน หรือคราบอาหารติดตามซอกฟัน โอกาสที่แคลเซียมในน้ำลายที่ทำให้เกิดหินปูนที่มักจะตามไปเกาะอยู่บริเวณคอฟันจะมีน้อยลงอีกด้วย ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การแปรงฟัน เป็นขั้นตอนการรักษาความสะอาดบริเวณซอกฟันที่ดีที่สุดนั่นเอง จึงมีคนไข้จำนวนไม่น้อยที่ดูแลรักษาความสะอาดช่องปากได้ดี ส่งผลให้ระยะเวลาในการขูดหินปูนก็อาจจะยืดไปถึง 1 ปีอีกด้วย

หากรู้วิธีป้องกัน เชื่อว่าหินปูนไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และถ้าเราไม่มีหินปูนโรคที่ตามมาก็จะไม่มี

หินปูนทำให้เกิดโรคได้นะรู้ยัง? โรครำมะนาดหรือโรคเหงือก เกิดจากหินปูนที่เยอะขึ้นและกัดเซาะฟันลึกขึ้น เกาะตามบริเวณคอฟันกระดูกที่เคยโอบรากฟัน ทำให้เนื้อกระดูกก็จะน้อยลงไปตามหินปูนที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ฟันที่มีก็จะเริ่มโยกและเริ่มคลอน เหงือกก็จะเริ่มอักเสบหรือเป็นหนอง รวมทั้งมีกลิ่นปาก แรกๆคนไข้หลายคนคิดว่าเป็นอาการเล็กๆน้อยๆ แต่หากปล่อยปละละเลย อาการก็จะเป็นมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นลำดับถัดมาหลังจากที่เราขูดหินปูนแล้ว หากไม่ดูแลรักษาช่องปากให้ดี จากโรคเหงือกอักเสบเล็กๆน้อยๆก็จะกลายเป็นโรคเหงือกหรือที่เรียกว่า โรครำมะนาด ที่เกิดจากหินปูนที่กัดเซาะฟันนั่นเอง

โรครำมะนาดที่เกิดจากหินปูนนั้น จะมีอาการอักเสบรวมทั้งเหงือกร่นตามมา ส่งผลให้ฟันโยกเอียงไปมา เนื่องจากหินปูนกัดเซาะกระดูกให้ละลาย จนบางเคสเห็นรากฟัน บางเคสมีอาการเสียวฟัน หรือขณะแปรงฟันมีเลือดออก และรูปทรงฟันที่เปลี่ยนไป เช่น แลดูยาวขึ้น เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นสัญญาณของโรครำมะนาด  หลายคนเข้าใจผิดมาโดยตลอด ถึงอาการข้างต้นคือ ผลของฟันเสื่อมสภาพตามวัย แต่รู้หรือไม่ว่า ฟันสามารถอยู่กับเราได้ตลอดชีวิตถ้าทุกคนรักษาความสะอาดจริงจัง แต่หากดูแลไม่ดี ก็สามารถกลายมาเป็นโรครำมะนาดได้นั่นเอง

หากหินปูนกัดเซาะกระดูกฟันเยอะแล้ว จำเป็นต้องอาศัยการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือทันตแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด หรือ บางเคสต้องมาปลูกกระดูกฟันเพิ่ม ดังนั้น การป้องกันไม่ให้คราบหินปูนเกิดขึ้นจนฝั่งแน่น จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ

เนื่องจาก โรครำมะนาดไม่ใช่ว่าเป็นแล้วจะสามารถหายได้เอง เนื่องจากกระดูกฟันของเรานั้นโดนกัดเซาะจนทำให้เหงือกร่นโอกาสที่ฟันหลวมและหลุดง่ายขึ้น กระดูกเนื้อฟันบางและบางเลย เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราปล่อยปละละเลยจากการขูดหินปูนที่เกาะตามบริเวณคอฟัน โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรครำมะนาดยิ่งมากขึ้นเช่นกัน

บางรายเป็นเยอะก็อาจจะไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิม เช่น มีการถอนฟันและใส่รากเทียมแทนนี่ถือเป็นอีกเรื่องที่น่าเสียดายที่เกิดจากการที่เราไม่ได้ขูดหินปูนอย่างต่อเนื่อง ทุก 3 หรือ 6 เดือน

หากเป็นแบบนี้จะรักษาอย่างไร

วิธีรักษาโรครำมะนาดที่เกิดจากหินปูนเมื่อเราไม่ได้ขูดหินปูนจนปล่อยให้หินปูนลึกขึ้น กระดูกก็จะเริ่มมีการละลาย คุณหมอจะเริ่มรักษาด้วยการทำการ deep clean หรือขูดลึกขึ้นด้วยเครื่องมือพิเศษในการขูด แม้ฟันจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แต่ฟันจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนเดิมเนื่องจากกระดูกที่มีความร่นไปแล้วก็จะไม่กลับขึ้นมาได้นั่นเอง

หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงสงสัยไม่น้อยว่า หากเราขูดหินปูนบ่อยๆ ฟันจะมีโอกาสห่างจริงหรือไม่

เนื่องจากคนไข้หลายท่านเมื่อทำการขูดหินปูน ปรากฏว่า เห็นซอกฟันเพิ่มขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าขูดเสร็จแล้วฟันเรามีช่องจึงเป็นที่มาของถามของหลายๆคนที่มักสงสัยว่าขูดหินปูนแล้วทำฟันห่างลงหรือบางลงนั่นเองแต่จริงๆแล้วฟันไม่ได้ห่างแต่เนื่องจากจำนวนหินปูนที่เกาะบริเวณฟันหลังจากคุณหมอขูดออก เห็นได้ชัดถึงพื้นที่ว่างที่หินปูนเคยเกาะอยู่นั่นเอง และกอปรกับจำนวนหินปูนที่ยิ่งมากก็ยิ่งทำให้เหงือกร่นจนทำให้เกิดช่องว่างของฟันมากยิ่งขึ้นตามมานั่นเอง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายขูดหินปูน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#หินปูน #ขูดหินปูน

การรักษารากฟัน 2022

การรักษารากฟัน 2022

เชื่อว่าหลายท่านมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า การรักษารากฟัน เนื่องจากคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่ามีอาการฟันโยก ฟันคลอน การรักษารากฟัน จะสามารถช่วยตอบโจทย์ในการจัดการฟันให้กลับมาแน่นขึ้น ลดการคลอนหรือโยกของฟันได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด วันนี้ทีมงานจึงได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการรักษารากฟันอย่างแท้จริงมาฝากกันค่ะ

 จริงๆแล้วการรักษารากฟันก็คือการเอาคลองประสาทฟันหรือโพรงรากฟันที่เกิดการอักเสบอยู่แล้วออกไป โดยสาเหตุที่จำเป็นจะต้องเอาคลองประสาทฟันที่อักเสบออกไป เนื่องจากว่า ทันตแพทย์มักจะพบว่าคนไข้ที่มีอาการฟันผุ คือสาเหตุหลักที่ทำให้มีการติดเชื้อไปถึงประสาทฟันซี่นั้นๆ หลังจากคุณหมอหรือทันตแพทย์ได้ทำการรักษารากฟัน โดยการนำคลองประสาทฟันออกแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็จะทำความสะอาดช่องปากและคลองประสาทฟันด้วยการใส่ยาฆ่าเชื้อและใช้วิธีการอุดรากฟันตามไปทีหลัง โดยทั้งนี้ เมื่อมีการอักเสบในคลองประสาทฟันก็จะมีการปวดฟันตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น การรักษารากฟันจึงถือเป็นการลดอาการปวดและอักเสบของฟัน รวมทั้งยังกำจัดอาการปวดฟันให้หายไปโดยสิ้นเชิง หรือเรียกได้ว่ารักษาแบบถอนรากถอนโคนเลยนั่นเอง และการรักษารากฟัน ยังเป็นวิธีการในการที่จะเก็บฟันซี่นั้น ๆ ของคนไข้เอาไว้ได้นานที่สุด โดยฟันยังสามารถกลับไปใช้งานได้ตามปกติอีกด้วย ซึ่งไม่ต้องถอนฟันทิ้งนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฟันซี่ที่ทำการรักษารากฟันไปแล้วนั่น ส่วนใหญ่มักจะพบว่ามีโอกาสเนื้อของฟันเกิดอาการเปราะและแตกง่ายเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น การใช้วิธีรักษารากฟันจึงจำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องมีการใช้วิธีทำการครอบฟันร่วมด้วยนั่นเอง

โดยลักษณะของฟันที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษารากฟัน ส่วนใหญ่ทันตแพทย์หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาจากข้อต่อไปนี้ 1.ฟันซี่นั้น เกิดมีรูผุเสียหายจนถึงคลองประสาทฟันและแสดงอาการปวดชัดเจน 2. ฟันซี่นั้นมีสีคล้ำลงผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในไรฟันอีกด้วย 3. เป็นฟันซี่ที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงหรือได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุ 4. เป็นลักษณะของฟันซี่ที่มีรอยร้าวหรือมีรอยแตก บิ่น ซึ่งคนไข้มักจะมีอาการปวดและเสียวฟันร่วมด้วย 5. เป็นลักษณะของฟันที่มีการรักษาโดยการอุดฟันไว้อยู่แล้ว แต่เกิดมีตุ่มหนองขึ้นบริเวณของฟันให้เห็นเด่นชัด

การรักษารากฟันหรือโพรงประสาทฟันนั้น มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เพื่อไม่ให้คนไข้มีอาการเจ็บหรือปวดในระหว่างการรักษาคุณหมอหรือทันตแพทย์จะมีการใส่ยาชาให้ก่อน เพื่อลดอาการเจ็บปวด โดยหลังจากยาชาทำการออกฤทธิ์เต็มที่แล้วนั้น ทันตแพทย์จะทำการใส่แผ่นยางกันน้ำลายหรือที่เรียกว่า rubber Dam เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของน้ำลายเข้าไปปะปนในบริเวณคลองรากฟันที่กำลังทำการรักษาอยู่ 2. คุณหมอหรือทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มด้วยขั้นทำความสะอาดคลองรากฟัน โดยทำการใส่ยาไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยคุณหมอจะเริ่มนัดในรอบถัดไปเพื่อทำการรักษาขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะมีการขยายคลองรากฟันต่อ ด้วยการใส่ยา ซึ่งหากคุณหมอหรือทันตแพทย์แน่ใจแล้วว่า การติดเชื้อบริเวณคลองรากฟันนั่นได้ถูกกำจัดออกไปหมดเกลี้ยงแล้ว ก็จะเริ่มขั้นตอนของการอุดคลองรากฟัน ก็ถือเป็นการจบกระบวนการรักษารากฟัน โดยภายหลังเมื่อทำการรักษารากฟันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็จะทำการรักษาต่อ โดยการอุดตัวฟันด้านบนเพื่อให้คนไข้สามารถใช้งานฟันซี่ต่อไป เช่น ขบเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ซึ่งภายหลังคุณหมอก็จะทำการนัดตรวจเช็คช่องปากและตรวจเช็คอาการหลังทำการรักษารากฟัน โดยจะทำการนัดคนไข้เป็นเวลา 1-2 ครั้งซึ่งจะใช้ระยะเวลา 2-3 เดือนหลังจากนัน ทันตแพทย์หรือคุณหมอแน่ใจว่าไม่มีอาการหรือพบผลข้างเคียงใดๆ ขั้นตอนสุดท้าย นั่นก็คือ จะทำการใส่เดือยฟันและใส่ครอบฟันให้แก่คนไข้ต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรากฟันของคนไข้ให้ฟันซี่ที่ทำการรักษาสามารถกลับมาใช้งานได้ปกติที่สุดนั่นเอง

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายรักษารากฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#รักษารากฟัน #รากฟันเทียม

ข้อควรรู้เกี่ยวกับยางจัดฟัน

คนจัดฟันต้องรู้! รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับยางจัดฟัน มีกี่แบบ ทำไมต้องเปลี่ยน

คนจัดฟันต้องรู้! รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับยางจัดฟัน มีกี่แบบ ทำไมต้องเปลี่ยน

สำหรับคนจัดฟันแล้ว อุปกรณ์ที่ใช้ติดเข้ากับฟันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นอกจากจะช่วยปรับและย้ายตำแหน่งของฟันให้อยู่ในจุดที่ถูกต้องแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากคือยางจัดฟัน ที่จะช่วยดึงให้ฟันของเราเข้าที่ได้ง่ายขึ้น แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมคะ ว่ายางจัดฟันมีกี่แบบ แล้วที่คนจัดฟันต้องไปเปลี่ยนยางกันอยู่ทุกเดือนมันจำเป็นขนาดไหน เรารวบรวมข้อควรรู้เกี่ยวกับยางจัดฟันมาฝากกัน

ทำความรู้จักยางจัดฟัน

ยางจัดฟัน คือตัวรัดแบล็กเกตกับลวดให้อยู่กับที่เพื่อทำให้ฟันเรียงตัวตามตำแหน่งที่ติดเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญที่มีส่วนในการปรับการเคลื่อนที่ของฟัน หากใครที่คิดจะจัดฟันก็จะต้องใส่ยางจัดฟันไว้ตลอดเวลาหรือใส่เฉพาะบางเวลา

ยางจัดฟันมีกี่แบบ

ในปัจจุบันคลินิกส่วนใหญ่จะมียางจัดฟันอยู่ 3 แบบ ซึ่งจะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  1. โอริง

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “โอริง” กันมาบ้าง โอริงหรือยางมัดเครื่องมือ ใช้กับการจัดฟันแบบโลหะ มีลักษณะเป็นห่วงกลม ๆ มีขนาดที่แตกต่างออกไปทั้งใหญ่และเล็ก บางอันอาจจะเป็นเส้นยาว มีความยืดหยุ่นน้อย ซึ่งโอริงจะทำหน้าที่ยึดระหว่างแบล็กเกตกับลวดเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ตัวลวดค่อย ๆ เคลื่อนฟันไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม

  1. เชน

เชน เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำหน้าที่ปิดช่องว่างระหว่างฟัน หมายความว่าตัวเชนจะเป็นตัวทำให้ฟันเคลื่อนที่เข้าหากันและช่วยร่นระยะช่องห่างของฟัน ซึ่งจำนวนของเชนที่ใช้นั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและเงื่อนไขฟันของแต่ละบุคคล

  1. ยางดึงฟัน

ยางดึงฟันจะเป็นยางยืดที่ทำหน้าที่ยึดระหว่างขากรรไกรหรือระหว่างซี่ให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน โดยใช้วิธีการเกี่ยวยางไปในตำแหน่งต่าง ๆ ที่ต้องการปรับตำแหน่ง แต่จะเกี่ยวในแนวราบเพื่อป้องกันฟันเคลื่อนที่ในขณะที่กำลังนอนหลับ

ความสำคัญของยางจัดฟัน

นอกจากเรื่องสีสันที่สวยงามแล้ว ยางจัดฟันยังมีความสำคัญต่อการจัดระเบียบฟันให้เข้าที่อีกด้วย กล่าวคือยางจัดฟันจะช่วยให้ฟันเรียงตัวสวยและเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ติดเครื่องมือไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนฟันบนไปข้างหลังและเคลื่อนฟันล่างมาข้างหน้า หรือเคลื่อนฟันบนมาข้างหน้าและเคลื่อนฟันล่างไปข้างหลัง

ทำไมคนจัดฟันจะต้องเปลี่ยนยางจัดฟันทุกเดือน

หลายคนพอ ๆ จัด ๆ ฟันแล้ว รู้สึกขี้เกียจจะไปพบทันตแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาว โดยหารู้ไม่ว่าการไม่เปลี่ยนยางในแต่ละเดือนจะเกิดผลเสียกับฟันมากกว่า เราต้องอย่าลืมว่าเราใส่ยางจัดฟันกันแบบ 24 ชั่วโมง ดังนั้นยางจัดฟันก็จะต้องมีเสื่อมสภาพกันบ้าง ตัวยางจะมีอาการล้าจากแรงดึงฟัน สูญเสียการยืดหยุ่น นั่นยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการดึงฟันเพื่อเคลื่อนย้ายตำแหน่งเสียไป หรือตัวยางอาจจะมีการเปลี่ยนสีไป นำไปสู่การสะสมและก่อเชื้อโรคภายในช่องปากไปจนถึงระดับที่รุนแรงได้

ไม่เปลี่ยนยางจัดฟันได้ไหม

ไม่เปลี่ยนยางจัดฟันได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีตามมา เพราะอย่าลืมว่ายางจัดฟันมีอายุการใช้งาน เมื่อใช้ไปนาน ๆ ย่อมมีการเสื่อมสภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของฟัน อีกทั้งยังอาจจะทให้เกิดโรคภายในช่องปากอย่างโรคปริทันต์ นำไปสู่เหงือกอักเสบและสูญเสียฟันได้อีกด้วย

เห็นไหมล่ะคะ ว่ายางจัดฟันสำคัญมากสำหรับคนจัดฟันอย่างไรบ้าง ส่วนเราควรจะใช้ยางแบบไหนนั้น ทางทันตแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนยางก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาดอีกด้วย

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#จัดฟัน #ยางจัดฟัน

รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรีเทนเนอร์

รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรีเทนเนอร์ ไขทุกข้อสงสัยของคนจัดฟัน

รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรีเทนเนอร์ ไขทุกข้อสงสัยของคนจัดฟัน

ใครว่าความลำบากของคนจัดฟันจะอยู่แค่ที่ช่วงเวลาของการจัดฟัน ที่ต้องใช้เครื่องมือจัดฟันที่แสนจะทรมานและใช้ชีวิตยากลำบาก เพราะเมื่อจัดฟันเสร็จแล้ว ความลำบากก็ยังไม่หมด เพราะยังต้องใส่ “รีเทนเนอร์” อุปกรณ์ประจำตัวที่คนจัดฟันเสร็จแล้วทุกคนต้องใส่แบบสม่ำเสมอ ซึ่งหลายคก็อาจจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการใส่รีเทนเนอร์ หรือคนที่กำลังจะจัดฟันเสร็จ ต้องเตรียมตัวเลือกรีเทนเนอร์ เรารวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรีเทนเนอร์เอาไว้ที่นี่แล้ว

รีเทนเนอร์มีกี่ประเภท และควรเลือกแบบไหนดี?

สำหรับคนที่กำลังจะจัดฟันเสร็จ ก็คงมีแพลนเตรียมตัวที่จะต้องเลือกรีเทนเนอร์เอาไว้หลังจากนี้ ซึ่งก็ต้องมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกันก่อนว่ารีเทนเนอร์ที่ใช้กันโดยทั่วไปแล้วจะมี 4 ประเภท ได้แก่

  1. รีเทนเนอร์แบบลวด

รีเทนเนอร์แบบลวดเป็นรีเทนเนอร์ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน มีลักษณะเป็นอะคริลิคพร้อมโครงลวดอาจจะมีสีพื้นหรือลวดลายต่าง ๆ โดยจะมีส่วนที่ใช้ยึดกับฟันที่เป็นเส้นลวด แล้วจึงมีอะคริลิคครอบทับอีกที
ข้อดี : ทำความสะอาดได้ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานประมาณ 2-3 ปี จึงสามารถที่จะคงสภาพฟันและการสบฟันได้เป็นอย่างดี หากมีปัญหา สามารถปรับแต่งได้ง่ายอีกด้วย อีกทั้งสีสันสวยงาม เลือกได้ตามใจชอบ
ข้อเสีย : สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เลยไม่สวยงามเท่าที่ควร มีขนาดใหญ่ ดูเทอะทะ ซึ่งหากใครที่ใส่รีเทนเนอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการออกเสียง พูดไม่ชัดบ้าง

  • รีเทนเนอร์แบบใส

รีเทนเนอร์แบบใส ก็เป็นรีเทนเนอร์อีกประเภทที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน จะมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกใส ที่จะล้อมฟันของเราเอาไว้ทั้งหมด ทั้งด้านนอกและด้านใน แต่จะไม่ครอบไปทั้งเพดานเหมือนแบบแรก มีความหนาไม่มาก จึงสามารถใส่ได้แบบสบาย ๆ
ข้อดี : ให้ความสวยงาม ความมั่นใจ ยิ้มแล้วไม่เห็นลวดเหมือนแบบแรก หมดปัญหาการออกเสียงไม่ชัด
ข้อเสีย : ทำความสะอาดได้ยาก อายุการใช้งานสั้นกว่าแบบลวดอยู่ที่ประมาณ ครึ่งปี – 1.5 ปี แตกหักหรือ
สึกหรอได้ง่ายในผู้ที่มีการนอนกัดฟัน และไม่สามารถคงสภาพฟันได้ดีเมื่อตัวรีเทนเนอร์เกิดการสึกหรอ

  • รีเทนเนอร์แบบติดแน่น

รีเทนเนอร์ประเภทนี้พบได้น้อยแต่ก็ยังมีบางคนใช้บ้าง จะเป็นรีเทนเนอร์ที่มีลักษณะลวดเส้นเดียวยึดติดกับด้านในของฟัน มักใช้ในกรณีที่ฟันมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่กลับมาได้ง่าย หรือใช้ยึดฟันสำหรับใส่ฟันปลอมในอนาคต
ข้อดี : สะดวกสบาย ไม่ต้องถอดเข้าถอดออก ป้องกันฟันล้มได้ดีมาก
ข้อเสีย : ทำความสะอาดได้ยากเพราะอยู่ด้านใน มีโอกาสหลุดได้ง่าย และต้องหมั่นไปพบทันตแพทย์เพื่อเช็คสภาพทุก 6 เดือน

  • รีเทนเนอร์แบบเหล็ก (ใส่กินข้าวได้)

ประเภทสุดท้ายเป็นรีเทนเนอร์แบบเหล็ก ที่จะช่วยให้จบปัญหารีเทนเนอร์หายได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไม่ต้องถอดลืมหาย เหมาะมากสำหรับใครที่ขี้ลืม
ข้อดี : ใส่กินอาหารได้เลย ไม่ต้องคอยถอดเก็บ
ข้อเสีย : มีเวลาตอนกัดฟัน เมื่อฟันบนกับฟันล่างมาประกบกันสุดแล้ว อาจจะชนลวด ส่งผลกระทบกับตัวฟัน มีเจ็บฟันแน่นอน

เราควรเลือกรีเทนเนอร์แบบไหนดี?

คุณจะต้องตอบตัวเองให้ได้ว่ากโอเคกับการใช้ชีวิตแบบไหน เช่น เลือกแบบลวด หากโอเคที่ยิ้มแล้วจะเห็นลวด เลือกแบบใส ใส่แล้วยิ้มสวย ไม่เห็นลวด แต่ต้องไปพบทันตแพทย์บ่อย ๆ

ทำไมจัดฟันเสร็จแล้วต้องใส่รีเทนเนอร์ จำเป็นขนาดไหน?

บางคนเข้าจ่าพอจัดฟันเสร็จแล้วก็จะสบาย นั่นเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะเมื่อจัดฟันเสร็จแล้ว คุณก็ยังต้องใส่รีเทนเนอร์เพื่อช่วยคงสภาพฟันไม่ให้เคลื่อน หากไม่ใส่รีเทนเนอร์หลังจัดฟัน ก็อาจทำให้ฟันล้ม แนวฟันบิดเบี้ยว หรือกลับกลายเป็นสภาพช่วงก่อนจัด

เราควรใส่รีเทนเนอร์นานแค่ไหน?

สำหรับระยะเวลาที่ควรใส่รีเทนเนอร์นั้นจะมากหรือน้อย ไม่สามารถระบุหรือฟันธงลงไปได้เลย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสภาพฟันของแต่ละบุคคลด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะเน้นช่วงแรก ๆ หลังจัดฟันเสร็จว่าควรใส่รีเทนเนอร์ทุกวัน เพราะสภาพกระดูกและเหงือกหุ้มฟันต้องใช้เวลาในการปรับสภาพให้เข้ากับตำแหน่งใหม่ หลังจากนั้นทันตแพทย์จะแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

เมื่อไหร่ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนรีเทนเนอร์ใหม่?

โดยมากแล้วคนที่จะเปลี่ยนรีเทนเนอร์ใหม่คือจะพบปัญหาต่าง ๆ เช่น รีเทนเนอร์หาย ถอดและลืม, รีเทนเนอร์แตกหัก, ฟันเคลื่อนจนใส่ไม่พอดีจากการใส่รีเทนเนอร์ไม่สม่ำเสมอ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่ารู้ที่คนจัดฟันสงสัยกันมาก เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมที่จะเลือกรีเทนเนอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและใส่รีเทนเนอร์กันเป็นประจำด้วยนะคะ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทำรีเทนเนอร์ #จัดฟัน

เคล็ด(ไม่)ลับ-รักษาแผลร้อนในที่เหงือก-ให้หายเร็ว

เคล็ด(ไม่)ลับ รักษาแผลร้อนในที่เหงือก ให้หายเร็ว

เคล็ด(ไม่)ลับ รักษาแผลร้อนในที่เหงือก ให้หายเร็ว

เคยเป็นกันไหมคะ แผลร้อนใน ซึ่งเป็นที่ปากหรือกระพุ้งแก้มยังไม่เท่าไร แต่เมื่อไรที่เป็นแผลร้อนในที่เหงือกนี่สิ เจ็บจนน้ำตาไหลเลยค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่กินอาหารรสจัด มันแสบซี้ดเกินจะบรรยาย ซึ่งหลายคนก็มีแผลร้อนในเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ในขณะที่บางคนก็แทบไม่เคยเป็นเลย วันนี้เราจึงมีเคล็ด(ไม่)ลับดี ๆ มาฝากกัน ที่รับรองเลยว่าใครที่ทดลองวิธีที่แนะนำ แผลหายเร็วแน่นอน

แผลร้อนในเป็นอย่างไร

แผลร้อนในเป็นแผลขนาดเล็กและตื้น มีสีเหลืองหรือขาวล้อมรอบด้วยสีแดง เกิดขึ้นที่เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือเหงือก บางรายก็พบว่าเกิดขึ้นบริเวณด้านในริมฝีปาก แก้มหรือลิ้น เป็นแผล ทำให้เจ็บ และทำให้กินอาหารหรือพูดคุยได้ลำบาก ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและจำนวนแผลด้วยค่ะ

สาเหตุของแผลร้อนในที่เหงือก

  • เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในช่องปาก
  • ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือที่เราเรียกว่าโรคภูมิแพ้ตัวเอง
  • การขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอหรือมีภาวะเครียด
  • การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือน
  • การกินอาหารเผ็ดร้อนหรือของทอดมากเกินไป
  • เกิดการเสียดสีหรือกระแทกที่เหงือกจนเป็นแผลและกลายมาเป็นแผลร้อนใน
  • การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของโซเดียมรอริลซัลเฟต
  • การกินของร้อนมากเกินไป

อาการแผลร้อนในที่เหงือก

อาการแผลร้อนในที่เหงือกไม่ต่างจากแผลร้อนในทั่วไปเลยค่ะ จะเป็นแผลแดงและเจ็บ ต่อมาบริเวณแผลจะกลายมาเป็นสีเหลืองหรือขาวเป็นวงกลมหรือรี บวมแดงและมีอาการเจ็บที่แผล บางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวม เป็นไข้ หรือรู้สึกไม่สบายได้อีกด้วย

อาการแผลร้อนในที่เหงือกแบบไหนควรต้องรีบไปพบแพทย์

  • มีแผลร้อนในใหญ่กว่าปกติ
  • แผลเดิมก็ยังอยู่ แต่เกิดแผลใหม่ขึ้น และพบว่าเป็นแผลร้อนในอยู่บ่อย ๆ
  • เป็นแผลร้อนในที่เหงือกนานกว่า 2 สัปดาห์
  • เป็นแผลร้อนในที่มาพร้อมกับมีไข้สูง
  • เป็นแผลที่ลุกลามไปยังบริเวณริมฝีปาก

การรักษาแผลร้อนในที่เหงือกด้วยตัวเองทำอย่างไร

  • ใช้น้ำผสมเกลือเพื่อกลั้วปากเช้า-เย็น
  • ทายาในบริเวณที่เป็นแผล เช่น Triamcinolone เป็นยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์
  • พยายามดื่มน้ำระหว่างวันให้มาก ๆ
  • งดอาหารรสเผ็ดหรือเปรี้ยวไปก่อน รอให้แผลหายดีจึงจะกินได้
  • ใช้แผ่นแปะแก้ร้อนใน ช่วยให้แผลการสัมผัสน้ำลาย ฟัน หรืออาหารน้อยลง และมีตัวยาที่ช่วยรักษาแผล
  • พยายามฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังอย่างพอเหมาะ และลดความเครียดฃ

แผลร้อนในที่เหงือกป้องกันได้หรือไม่

หากแผลร้อนในสามารถรักษาหายได้ ก็สามารถป้องกันได้เช่นกันค่ะ ซึ่งวิธีป้องกันนั้นก็ง่าย ๆ ไม่แพ้กับการรักษาด้วยตัวเอง ซึ่งทำได้ดังนี้

  • ดูแลรักษาความสะอาดสุขภาพช่องปากให้ดี เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • ไม่ใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงแข็งเกินไป เพื่อนั่นจะทำให้เหงือกเกิดบาดแผลได้ง่ายและนำไปสู่การเกิดแผลร้อนในที่เหงือก
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อลดแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารทอดหรืออาหารรสจัดมาก ๆ
  • ออกกำลังกายเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและยังลดความเครียดได้ด้วย

เห็นไหมล่ะคะ ว่าการดูแลรักษาแผลร้อนในที่เหงือกไม่ได้ยากเกินไปเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราควรต้องดูแลตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หากเมื่อไรที่เราขาดความเอาใจใส่ บอกได้เลยว่าแผลร้อนในพร้อมจะกลับมาหาเราได้ทุกเมื่อจริง ๆ

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายตรวจสุขภาพฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ตรวจสุขภาพฟัน #แผลร้อนใน

ทำฟันเด็กยุคใหม่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ทำฟันเด็กยุคใหม่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมเคล็ดลับดูแลสุขภาพฟันเด็ก

ทำฟันเด็กยุคใหม่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมเคล็ดลับดูแลสุขภาพฟันเด็ก

นอกจากการตัดผมแล้ว สิ่งที่เด็กกลัวมากที่สุดก็คือการไปหาหมอฟัน เรียกว่าปราบเซียนคุณพ่อคุณแม่ในหลาย ๆ บ้านก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีและทักษะของทันตแพทย์ก็ทำให้การทำฟันเด็กไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มดูแลรักษาฟันของลูกตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก เพื่อเป็นรากฐานที่ดีในการดูแลฟันเมื่อโตขึ้น เราจะมาดูกันว่าทำฟันเด็กในยุคนี้มีอะไรบ้าง พร้อมแนะการดูแลสุขภาพฟันเด็กมาฝากกัน

รู้หรือไม่ว่าการทำฟันเด็กจัดว่าเป็นทันตกรรมเฉพาะทาง

ขึ้นชื่อว่าเด็กก็เป็นอะไรที่ทันตแพทย์หลายคนขยาดไม่แพ้กับเด็กที่กลัวหมอฟันเลยค่ะ ทันตกรรมสำหรับเด็ก (Pedodotics) คือ การดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กตั้งแต่ขวบแรกหรือไม่เกิน 6 เดือนหลังจากที่เห็นฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นจนถึง 12 ปี ทั้งการรักษาและป้องกันโรคในช่องปาก ส่วนสาเหตุที่การทำฟันเป็นทันตกรรมเฉพาะทาง เนื่องจากเด็กยังมีระบบฟันที่ยังไม่สมบูรณ์แข็งแรงแตกต่างจากผู้ใหญ่ จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งยังมีโอกาสฟันผุมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากนิสัยการกินของเด็กโดยทั่วไปมีความเสี่ยงมากกว่า โดยมากทันตแพทย์จะเน้นไปที่การป้องกันฟันผุ ผ่านการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับอาการฟันผุรายบุคคล ซึ่งจะให้คำแนะนำวิธีป้องกันที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละคน รวมไปถึงความสะอาดในช่องปากที่สามารถเริ่มได้จากที่บ้าน การใช้ฟลูออไรด์ การเคลือบหลุมร่องฟันเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเคี้ยวผิวฟัน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นการรักษาเชิงป้องกัน

เป้าหมายสำหรับการทำฟันเด็ก คือการปกป้องฟันให้แข็งแรงและมีรอยยิ้มที่สดใสอยู่เสมอ โดยการทำฟันเด็กหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่

  1. ทันตกรรมเชิงป้องกัน เช่น ตรวจฟันผุ รักษาด้วยฟลูออไรด์ เคลือบหลุมร่องฟัน
  2. ทันตกรรมฟื้นฟู เช่น อุดฟัน ใส่ครอบฟัน
  3. การเติบโตและพัฒนาการของฟัน เช่น การกัดฟัน การสบฟัน ฟันซ้อน ฟันเก

การดูแลสุขภาพฟันเด็ก

สิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องฟันของเด็ก ๆ ได้ คือคุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กอย่างถูกต้องตั้งแต่เด็กเป็นการลงทุนในสุขภาพที่สามารถปันผลให้ได้ตลอดชีวิต โดยสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  1. ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการดูแลสุขภาพฟันของตัวเอง

การดูแลสุขภาพปากและฟันของคุณเองอย่างดีเพื่อที่จะแสดงให้เด็กเห็นว่าสุขภาพปากและฟันเป็นสิ่งที่มีค่า นอกจากนี้ อะไรก็ตามที่ช่วยให้เด็กรู้สึกว่าการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นเรื่องสนุก เช่น การแปรงฟันไปกับลูกของคุณ การให้เด็กเลือกแปรงสีฟันด้วยตนเอง ก็จะช่วยให้สนับสนุนการดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างเหมาะสมกับเด็กได้

  1. สอนวิธีการแปรงฟันอย่างถูกวิธีให้กับเด็ก

แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ผ่านการรับรองจาก ADA เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ โดยใช้การแปรงแห้ง โดยไม่บ้วนปากหรือบ้วนเพียงน้ำเดียว และแปรงให้นานเพียงพอด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์และขนแปรงที่อ่อนนุ่ม แปรงทีละซี่ขึ้นลงเบา ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรช่วยแปรงซ้ำในบริเวณที่เด็กแปรงไม่ถึง และต้องไม่ลืมที่จะแปรงลิ้นของเด็กด้วย

  1. ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ

นอกจากการแปรงฟันแล้ว สิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรใช้ไหมขัดฟันให้เด็กเป็นประจำตั้งแต่อายุ 4 ขวบขึ้นไป โดยเด็กส่วนใหญ่จะทำได้เองตอนอายุ 8 ขวบ เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียตามซอกฟันและร่องเหงือก ก่อนที่จะจับตัวแข็งเป็นหินปูน เพราะเมื่อหินปูนก่อตัว ต้องใช้การทำความสะอาดโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

  1. รับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน

ควรจำกัดปริมาณแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสร้างกรดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ เมื่อต้องรับประมานอาหารเหล่านั้น ควรรับประทานไปกับมื้ออาหารหลัก แทนที่จะเป็นอาหารว่าง เนื่องจากน้ำลายที่ถูกผลิตออกมาในปริมาณมากช่วงมื้ออาหารจะช่วยขจัดคราบอาหารออกจากปากได้

  1. พาเด็กไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อตรวจประเมินฟันผุ ทำความสะอาดฟัน และเคลือบฟลูออไรด์

นอกจากการเอาใจใส่จากคุณพ่อคุณแม่แล้ว สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่จะต้องช่วยให้เด็กเห็นความสำคัญต่อการดูแลฟันของตัวเองเพื่อเป็นรากฐานการดูแลที่ดีเมื่อโตขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟันเด็ก
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ทำฟันเด็ก #ทันตกรรมเด็ก

รากฟันเทียม 2022

รากฟันเทียม กับเทคโนโลยีทันตกรรมในปี 2022

รากฟันเทียม กับเทคโนโลยีทันตกรรมในปี 2022

ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากจะสูญเสียฟัน ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องพบได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ ที่หลายครั้งสุขภาพช่องปากก็รับภาระหนัก จนทำเอาเจ้าของฟันถึงกับถอดฟัน อยากจะตัดปัญหาด้วยการถอนฟันซี่ที่มีปัญหานั้นทิ้งเสีย แต่ในปี 2022 เช่นนี้ เทคโนโลยีทันตกรรมก็ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับรากฟันเทียม ที่เดี๋ยวนี้มี “รากฟันเทียมระบบดิจิทัล” เราจะไปทำความรู้จักเจ้าสิ่งนี้กันค่ะ

รากฟันเทียมคืออะไร

รากฟันเทียม หรือรากเทียม คือ วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันทำจากไททาเนียมซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ใช้สำหรับฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อช่วยในการทำฟันเทียมแบบติดแน่น และแบบถอดได้ ปัจจุบันการใส่รากฟันเทียมถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม

  • ฟันเทียมที่ดูเป็นธรรมชาติ และใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด
  • ไม่ต้องกรอแต่งฟันข้างเคียง
  • ป้องกันการสูญเสียฟัน และกระดูกข้างเคียง
  • ให้ความสวยงาม เป็นธรรมชาติมากที่สุด และสามารถบดเคี้ยวได้ตามปกติ

ทำความรู้จักรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

รากฟันเทียมระบบดิจิทัล (Computer Guided Implant Surgery) เป็นการวางแผนการฝังรากฟันเทียมแบบระบบดิจิทัลด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีทางภาพถ่ายรังสีแบบ 3 มิติ (3D Dental CT Scan) เพื่อช่วยในการวางแผนรักษาและกำหนดตำแหน่งฝังรากฟันเทียมที่เหมาะสมที่สุด ภาพถ่ายรังสีแบบ 3มิตินี้ ยังช่วยให้ทันตแพทย์สามารถเลือกขนาดรากฟันเทียมได้สอดคล้องกับตำแหน่งฟันที่จะใส่ทดแทน

โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะหาตำแหน่งและขนาดของรากฟันเทียมที่เหมาะสมที่สุด โดยจะไม่กระทบกับอวัยวะสำคัญภายในช่องปากของคนไข้ที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น เส้นประสาท, หรือ โพรงอากาศข้างแก้ม ซึ่งการทำเอ็กซเรย์แบบ 3 มิตินั้น จะทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในช่องปากได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน เมื่อเราได้ภาพภาพ 3 มิติของตำแหน่งของรากฟันเทียมมาแล้ว ก็จะนำไปพิมพ์เป็นอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งสำหรับการฝังรากฟันเทียม ซึ่งจะเอาไปใช้ในขั้นตอนการผ่าตัดต่อไป

ความแตกต่างระหว่างการฝังรากฟันเทียมปกติกับฝังรากฟันเทียมดิจิทัล

การผ่าตัดฝังรากฟันเทียมแบบปกตินั้น จะต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของทันตแพทย์ค่อนข้างมาก เนื่องจากความนิ่งและมือของทันตแพทย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดตำแหน่งของการฝังรากฟันเทียม แต่พอมีการนำเทคโนโลยีการฝังรากฟันเทียมดิจิทัลเข้ามาช่วยในการฝังรากฟันเทียมแบบระบบดิจิทัล
ทันตแพทย์ก็จะทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากทันตแพทย์ในระหว่างการฝังรากฟันเทียมได้มากขึ้นด้วย

ขั้นตอนในการฝังรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

  • ทันตแพทย์จะทำการประเมินสภาพฟันและช่องปากก่อนว่าเหมาะสมที่จะทำรากฟันเทียมระบบดิจิทัล

ได้หรือไม่ ซึ่งมีงื่อนไขว่าคนไข้จะต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามสำหรับทำรากฟันเทียม เพื่อที่จะได้ทราบว่าควรจะต้องฝังรากเทียมทั้งหมดกี่ตำแหน่ง

  • จากนั้นทันตแพทย์จะพิมพ์ปาก ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายที่จะใช้การพิมพ์ปากแบบ 3 มิติ ทำให้สามารถเห็นฟัน

ได้โดยรอบและจัดเก็บข้อมูลเป็นดิจิทัล แล้วจึงนำข้อมูลจากการทำ CT Scan มาเข้าสู่ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อออกแบบตำแหน่งของรากเทียมที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละคน

  • ทันตแพทย์จะส่งข้อมูลไปให้ห้องแล็บทันตกรรม เพื่อพิมพ์เป็นอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งรากเทียม

ออกมา แล้วนำกลับมาใช้ในการผ่าตัด

  • ในวันผ่าตัดเพื่อฝังรากเทียม ทันตแพทย์จะทำการฉีดยาชาเพื่อเปิดเหงือกสำหรับฝังรากเทียม และทำ

การฝังรากเทียมตามที่วางแผนมาผ่านอุปกรณ์กำหนดตำแหน่งรากเทียม

  • หลังจากที่ฝังรากเทียมเสร็จแล้ว ระยะเวลาการพักฟื้นจะขึ้นอยู่กับกระดูกของคนไข้ ถ้าเป็นขากรรไกร

บนจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ส่วนขากรรไกรล่างใช้เวลา 3 เดือน เพื่อให้กระดูกติดกับตัวรากเทียมได้โดยตรง และเมื่อคนไข้กลับมาพบทันตแพทย์ เพื่อจะทำการพิมพ์ปากสำหรับใส่ครอบฟันบนรากเทียมต่อไป

ด้วยเทคโนโลยีฝังรากฟันเทียมระบบดิจิทัลจะช่วยลดการสูญเสียฟันโดยไม่จำเป็น เพราะไม่ว่าอะไรก็ดีไม่เท่าฟันของเราจริง ๆ หรอกค่ะ ดังนั้นแล้ว เราจึงควรถนอมฟันของเราให้มากที่สุด นั่นจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำรากฟันเทียม
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#รากฟันเทียม #ทำรากฟันเทียม

บอกลาฟันเหลือง แนะวิธีคืนความขาวให้กับฟันอย่างได้ผล

บอกลาฟันเหลือง แนะวิธีคืนความขาวให้กับฟันอย่างได้ผล   

บอกลาฟันเหลือง แนะวิธีคืนความขาวให้กับฟันอย่างได้ผล   

ปัญหาหนักอกหนักใจที่ทำให้เราไม่สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ นอกจากฟันที่ไม่เรียบ ไม่เป็นระเบียบแล้ว ก็คงเป็นเรื่องของสีฟันนี่ล่ะ ฟันไม่ขาวสดใส แต่กลับดูเหลือง แม้ว่าในความเป็นจริงฟันคนเราจะไม่ขาวจั๊วะก็ตาม แต่ในบางคนอาจจะมีฟันที่เหลืองกว่าปกติ อาจจะมาจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด หรือการใช้ยาบางตัว ก็สามารถทำให้ฟันมีสีเหลืองได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น หากใครที่อยากจะมีฟันกลับมาขาวเหมือนเดิม ติดตามบทความนี้ให้ดี ๆ เลย

ฟันเหลืองเป็นอย่างไร

ฟันเหลืองหรือคราบเหลืองที่ฟัน คราบที่ว่านั้นครือคราบพลัค เกิดจากการแปรงฟันที่ไม่สะอาด ทำให้ขี้ฟันถับถมกันกลายเป็นคราบพลัคติดแน่นที่ฟัน และมีสีเหลือง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฟันเหลือง

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าปัจจัยที่ทำให้ฟันเหลืองนั้นมีหลากหลายมากมาย ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย
หลัก ๆ ดังนี้

  1. ปัจจัยภายนอกตัวฟัน

ปัจจัยที่เกิดมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเรา และการทานอาหาร เครื่องดื่มบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดฟันเหลืองได้ ซึ่งได้แก่

  • ชาและกาแฟ

ในชาและกาแฟมีกรดและสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งเมื่อเราดื่มเข้าไปจำนวนมากจะเกิดการสะสม ส่งผลให้ชั้นเคลือบฟันตามธรรมชาติบางลง

  • อาหารที่มีสีเข้ม

แน่นอนว่าอาหารที่มีสีมเข้มอย่างสีแดงหรือส้ม เช่น แกงไทย สามารถฟันเปลี่ยนสีได้

  • การสูบบุหรี่

สารเคมีที่เกิดการเผาไหม้ของบุหรี่ มีส่วนประกอบของกำมะถัน ซึ่งจะสะสมอยู่บนผิวฟันและสามารถแทรกซึมเข้าไปในชั้นของเนื้อฟันได้

  • ปัจจัยภายในตัวฟัน

ปัจจัยที่มาจากกรรมพันธุ์ หรือสีฟันดั้งเดิมของแต่ละคน ซึ่งก็จะมีสีตามธรรมชาติที่แตกต่างกัน โดยธรรมชาติแล้ว ฟันของคนเราจะไม่ได้ขาวจั๊วะ แต่ละออกสีขาวเหลืองนวล ๆ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่

  • อายุ

อายุที่เพิ่มมากขึ้นเป็นตัวเร่งให้ฟันของคนเรามีสีเหลืองหรือคล้ำขึ้นนั่นเอง เพราะฟันถูกใจมาเป็นเวลานานเกิดการสึกกร่อนไปบ้าง

  • การใช้ยาบางชนิด

การทานยาบางชนิด เช่น เตตราชัยคริน มีผลทำให้ฟันแท้มีสีที่คล้ำและเหลืองได้

วิธีทำให้ฟันกลับมาขาวขึ้น

  1. แปรงฟันให้ถูกวิธี

นอกจากการแปรงฟันเป็นประจำแล้ว การแปรงฟันอย่างถูกวิธีก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้ฟันของเราขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ หลายคนบอกว่าก็แปรงฟันเป็นประจำ แต่ทำไมฟันไม่ขาวขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าแปรงถูกวิธีไหม ซึ่งการแปรงฟันแต่ละครั้งควรแปรงให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 2 นาที วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง และควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย

  • เลือกใช้ยาสีฟันสูตรฟันขาว

ยาสีฟันสูตรฟันขาว Whitening จะมีส่วนผสมของผงขัดที่จะช่วยขัดฟันของเราให้ขาวขึ้นได้ เนื่องจากจะมีเม็ดบีทเล็ก ๆ ผสมอยู่ นอกจากนี้ ยาสีฟันควรจะมีสารฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะฟันที่ดีไม่ใช่แค่ขาวเพียงอย่างดี แต่จะต้องไม่ผุและแข็งแรงอีกด้วย

  • การขูดหินปูน

ทันตแพทย์แนะนำให้ขูดหินปูนทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากเมื่อเราทานอาหารหรือเครื่องดื่ม คราบแบคทีเรียต่าง ๆ จะเกาะที่ผิวเคลือบฟันของเรา เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้เกิดเป็นหินเกาะติดแน่น ซึ่งการขูดหินปูนนั้นนอกจากจะช่วยขจัดคราบเหล่านั้นแล้ว ยังช่วยให้ฟันของเรากลับมาขาวได้อีกด้วย

  • ฟอกสีฟัน

อีกหนึ่งวิธีที่ได้เห็นอย่างชัดเจนและรวดเร็ว คือการฟอกสีฟัน ซึ่งปัจจุบันทำได้อยู่ 2 วิธี ได้แก่ ทำโดยทันตแพทย์ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง และฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งควรฟอกสีฟันทุก ๆ 6 เดือน – 1 ปี

  • การทำวีเนียร์ เคลือบผิวฟัน

หากลองทำทุกข้อที่ว่ามาแล้ว แต่ไม่ได้ผล การทำวีเนียร์ถือเป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจค่ะ เพราะสามารถแก้ปัญหาฟันเหลืองได้อย่างชะงัด

ทีนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าต้นตอของฟันเหลืองมีอะไรบ้าง สิ่งสำคัญคือการดูแลรักษาฟันของเรา และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ฟันของเราเหลืองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายทำฟัน ฟอกสีฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#ฟันขาว #ฟอกสีฟัน

7 สียางจัดฟันยอดฮิต ใส่สีไหนแล้วฟันดูขาวสวย

7 สียางจัดฟันยอดฮิต ใส่สีไหนแล้วฟันดูขาวสวย

7 สียางจัดฟันยอดฮิต ใส่สีไหนแล้วฟันดูขาวสวย

เมื่อพูดถึงการจัดฟัน หลายคนจะนึกถึงแต่อาการปวดฟันจากการดึงฟันให้ แต่สิ่งหนึ่งที่คนจัดฟันชอบที่สุดในช่วงจัดฟัน เห็นทีว่าจะหนีไม่พ้น “การเลือกสียางจัดฟัน” นี่ล่ะค่ะ เพราะแต่ละอาทิตย์จะต้องมานั่งนึกว่าจะใส่สีอะไรดี สีไหนที่ใส่แล้วฟันดูขาว สดใส เพราะบอกเลยว่าถ้าเลือกสีผิด ถ่ายรูปออกมาแล้วจะไม่สวยเลย มาดูกันดีกว่าค่ะว่า ยางจัดฟันสีไหนที่เขาฮิตกัน ใส่แล้วฟันจะดูขาวกันบ้าง

  • สีแดง

เปิดมาที่สีแรก “สีแดง” ถ้าไม่แดง ก็ไม่มีแรงเดิน สีแงเป็นสีที่มาแรงจริง ๆ ค่ะ โดยเฉพาะในหมู่ของสาว ๆ บางคนอาจจะคิดว่าถ้าใส่แล้วจะเหมือนพริกติดฟันหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ ถ้าหากสาว ๆ ดูแลสุขภาพฟันและแปรงฟันให้ขาวสะอาดอยู่สม่ำเสมอ ใส่สีนี้แล้วดูน่ารัก ดูโดดเด่นไปอีกแบบนะเออ ที่สำคัญสีแดงทำให้ฟันของเพื่อน ๆ ดูขาวมากยิ่งขึ้นด้วย

  • สีชมพู

สีที่สาว ๆ หลายคนโปรดปราน เห็นแล้วแทบกรี๊ด ซึ่งสีนี้เรียกได้ว่าเป็นสีคลาสสิคสำหรับสาว ๆ ก็ว่าได้ มีให้เลือกทั้งสีชมพูเข้ม ชมพูอ่อนตามความชอบของเรา ข้อดีของสีนี้เลย คือพอใส่แล้วยิ้ม ก็จะช่วยให้ใบหน้าของเราดูสว่างขึ้นด้วย ยิ้มได้แบบไม่ต้องอายใคร ถึงจะเป็นสาวหวาน หรือสาวไม่หวานก็คิดว่าเหมาะทั้งนั้นเลย แต่ถ้าหนุ่ม ๆ คนไหนชอบสีชมพูเหมือนกัน บอกเลยว่าไม่ติดนะคะ ใส่แล้วก็ดูเป็น Cute boy จะตาย

  • สีน้ำเงิน

สียอดฮิตที่ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สีนี้เป็นสีที่มีความพิเศษกว่าสีอื่นค่ะ เพราะว่าสีน้ำเงินเป็นสีเข้ม พอนำมาใส่เข้าไปก็ยิ่งช่วยขับสีฟันให้ดูขาวขึ้น คล้ายกับว่าสาว ๆ กำลังโฆษณายาสีฟันยังไงอย่างงั้น แล้วยิ่งเป็นสีน้ำเงินประกายเพชรก็จะยิ่งทำให้ฟันของเราดูเลอค่า ยิ้มแล้วดูสวยเป็นประกายมากขึ้นด้วย อีกทั้งด้วยความที่เป็นสีเข้มทำให้พอใส่ไปเรื่อย ๆ พอเข้าปลายสัปดาห์ สียางไม่เปลี่ยนหรือดร็อปลงด้วยค่ะ

  • สีฟ้าอ่อน

สำหรับสีฟ้าอ่อน หากใครเป็นคนผิวขาว บอกเลยว่าสีนี้ใส่แล้วคาวาอี้มาก ๆ เป็นสีโทนเย็นที่มีความ
พาสเทลอ่อน ๆ ฟรุ้งฟริ้ง ออกหวานหน่อย ๆ ก็ดีใช่เล่น เพราะจะช่วยเสริมลุคให้ดูดี น่ารักสดใส อีกทั้ง ช่วยขับให้หน้าใส ฟันขาว ดูดีมากขึ้น ทั้งนี้ควรระวังสียางที่อ่อนเกินไป เพราะอาจทำให้หน้าดูจืดได้

  • สีม่วง

อีกหนึ่งเฉดสีที่น่าสนใจ มีมาตั้งแต่ม่วงอ่อนยันม่วงเข้ม ที่บอกเลยว่าสีนี้ หนุ่ม ๆ อย่าไปกลัวค่ะ เพราะใส่แล้ว ทำให้หน้าดูสว่าง ฟันดูขาวขึ้นมาไม่แพ้สีน้ำเงินเลย แนะนำว่าให้ลองใส่สีม่วงเข้มสลับกับสีอ่อนสีอื่น ๆ ดู มันเป็นอะไรที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว รับรองว่าพอยิ้มทีนี่หนุ่ม ๆ จะต้องทึ่งในไอเดียและความคิดของสาว ๆ อย่างแน่นอน

  • สีเขียว

สิ่งที่หลายคนกลัวมากที่สุด คือการเลือกสียางจัดฟันอย่างสีเขียวมาใส่แล้ว ดูเหมือนมีผักติดฟัน นั่นเป็นเพราะคุณจะต้องเลือกเฉดสีความเข้มอ่อนยังไงล่ะคะ ที่ควรหลีกเลี่ยงมาก ๆ เลย คือสีเขียวเข้ม มันคือผักที่แท้ทรู คุณอาจจะเสียความมั่นใจไปเลยก็ได้ แนะนำว่าให้เลือกเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวพาสเทลนวล ๆ พอยิ้มแล้วรับรองน่ารักสะกดสายตาจริง ๆ

  • สองสีสลับกัน

เชื่อเถอะว่าคนจัดฟัน พอจัดฟันไปนาน ๆ จะเริ่มหมดมุกที่จะเลือกสีกันแล้ว คิดไม่ออกว่าจะใช้สีอะไรดี เพราะอาจจะลองมาจนเกือบหมด หรือหัวตันคิดไม่ออกแล้ว เราแนะนำให้ใส่เป็นสองสีสลับกัน นอกจากจะสนุกแล้ว ยังช่วยให้ดูมีลูกเล่นที่น่าสนใจขึ้นด้วย เช่น ชมพู-ฟ้า, ม่วง-เหลือง, น้ำเงิน-แดง

หวังว่าใครที่กำลังมองหาไอเดียสียางจัดฟัน จะลองนำเอาสีที่เราแนะนำไปเลือกใช้กันดูนะคะ ต้องบอกเลยว่าเน้นเลือกสีที่เราชอบนั่นแหละจึงจะดีที่สุด

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายจัดฟัน
โทรศัพท์ 02-0665455 , 092-5187829
Line id: @bpdc หรือ bpdc.dental
https://bpdcdental.com/
ที่อยู่ : คลินิกทันตกรรม BPDC ถนนกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ (มีที่จอดรถใต้ตึก)

#จัดฟัน #จัดฟันแบบโลหะ #จัดฟันแบบใส